ถึงลูกร้ายเพียงใด พ่อแม่ก็ยังรัก

วันที่ 23 พค. พ.ศ.2560

ถึงลูกร้ายเพียงใด พ่อแม่ก็ยังรัก
 

หลักการสร้างความสุขในครอบครัว , Pre-Degree , วัดพระธรรมกาย , DOU , ธรรมกาย , ปริญญาตรี , พรีดีกรี , พระพุทธศาสนา , พุทธศาสตร์ , พระไตรปิฎก , ถึงลูกร้ายเพียงใด พ่อแม่ก็ยังรัก

   การมีลูกในยุคสมัยที่เศรษฐกิจบีบคั้นเช่นนี้ ทำให้พ่อแม่ไม่ค่อยมีเวลาจะเลี้ยงลูกลูกจึงถูกเลี้ยงแบบปล่อยตามใจบ้าง ถูกปล่อยปละละเลยบ้าง โทรทัศน์เลี้ยงบ้าง และอื่น ๆ เพื่อประวิงเวลาการทำงานของพ่อแม่ เด็กก็เลยไม่มีใครสอน กลายเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้ โตขึ้นมาแบบไม่รู้จักเหตุผล ไม่รู้จักดีชั่ว คุมตัวคุมใจของตนเองไม่ได้ในที่สุด ก็เลยรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่ค่อยเป็นที่ถูกใจ ความลำบากตรากตรำของพ่อแม่ที่ทุ่มเทให้ลูกมีเท่าไร ก็มองไม่เห็น ไม่รู้สำนึกในพระคุณของพ่อแม่ เข้าใจผิดว่าพ่อแม่ทำให้เขาเกิดมาแล้ว ก็มีหน้าที่ต้องเลี้ยงดูเขาให้สุข บายเหมือนลูกคนรวยอื่น ๆ ไปจนกว่าเขาจะโต ในที่สุดความลำบากใจต่าง ๆ นานา ก็ย้อนกลับมาสู่พ่อแม่เอง

    เรื่องเหล่านี้ หลายครอบครัวก็ได้เจอเหตุการณ์มาด้วยตนเอง คือมีลูกบางจำพวกคิดน้อยอกน้อยใจว่า พ่อแม่ของตนเองไม่ร่ำรวยเหมือนพ่อแม่คนอื่น แล้วก็พูดจาเป็นหอกเป็นดาบทิ่มแทงค่อนขอดจิตใจพ่อแม่ว่า พ่อแม่ขี้เกียจทำมาหากิน ทำให้บ้านของเรายากจนบ้างชอบทำตัวกระจอกงอกง่อยให้ต้องอายเพื่อนบ้าง บางคนเคี่ยวเข็ญข่มขู่พ่อแม่จะเอาโน่นเอานี่อาละวาดตะบึงตะบอน ทำบาปกรรมกับพ่อแม่ไม่รู้ตัว

  ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในบ้านที่เศรษฐกิจไม่ค่อยดีแล้ว แม้แต่บ้านเศรษฐีก็มีปัญหาถมไม่เต็มนี้เหมือนกัน

    หลวงพ่อรูปหนึ่งท่านเล่าให้ฟังว่า เมื่อประมาณ 78 ปีที่แล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่งมาจากภาคใต้ เดินหน้าแห้งเข้ามาหา มาบอกว่า

   "ช่วยผมที ลูกชายเกเรเหลือเกิน นอกจากเกเรแล้วยังเคี่ยวเข็ญพ่อแม่จะเอานั่นเอานี่พอซื้อให้ไปแล้ว ก็ไปทำเสีย ๆ หาย ๆ บางทีได้ไม่ทันใจก็ด่าพ่อด่าแม่เข้าอีก ผมไม่รู้จะทำอย่างไรกับลูกคนนี้แล้ว"

     หลวงพ่อท่านก็เลยแนะนำเขาไปว่า

   "เนื่องจากลูกของคุณยังไม่เคยเข้าวัดปฏิบัติธรรม จะแนะนำอะไรมากก็ไม่ได้จะบอกให้มาฟังเทศน์ หรือให้ไปนั่งสมาธิให้ใจใสแล้วไปดูเอาเองว่า พ่อแม่มีพระคุณอย่างไรจ้างก็ไม่ฟัง ก็ขนาดพ่อแม่ยังด่าเสียเลย มีหรือจะมาฟังคนอื่น

    เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ก่อนที่พวกคุณจะกลับภาคใต้คราวนี้ ขอให้ชวนลูกชายตัวแสบไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ปากเกร็ด เมืองนนท์สักครั้ง จะอ้างว่าอย่างไรก็ตามใจ ให้เขาได้ไปให้ทานเด็กกำพร้าที่นั่นสักมื้อ แล้วเขาจะเห็นเอง บางทีบุญจะช่วยให้เขาได้คิด แล้วอะไร ๆ จะดีขึ้นเอง"

   "ทำไมหลวงพ่อจึงแนะนำให้เขาไปที่นั่น เหตุผลก็คือ อยากให้ลูกชายของเขาได้ไปเห็นคนที่ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่บ้าง ว่าเป็นอย่างไร ทารุณจิตใจขนาดไหน เพื่อว่าจะได้ข้อคิดอะไรหลาย ๆ อย่าง แล้วจะหันกลับมารักพ่อรักแม่สุดหัวใจ ก็เพราะได้ไปเห็นเด็กพวกนี้เอง

   จำได้ว่าตอนนั้นเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย มีอยู่วันหนึ่งพรรคพวกชวนไปเลี้ยงเด็กกำพร้าที่บ้านปากเกร็ด ที่นั่นมีเด็กอยู่ประมาณ 200-300 คน มีพี่เลี้ยงดูแลเด็กสัก 20 คน เฉลี่ยพี่เลี้ยงคนหนึ่งก็เลี้ยงเด็ก 10-20 คน

    พอพวกเราไปถึง เด็ก ๆ พวกนั้นก็วิ่งเข้ามาตะกาย แย่งกันให้อุ้ม แกเรียกนิสิตชายว่า "พ่อ" เรียกนิสิตหญิงว่า "แม่" เล่นเอานิสิตหญิงหน้าแดงไปตาม ๆ กัน เขา อนให้เรียกอย่างนั้นจริง ๆ แล้วแกไม่รู้หรอกว่าใครเป็นพ่อ ใครเป็นแม่

   เด็ก 3-4 คน ตะกายเข้ามากอดเรา ซุกเข้ามาอย่างกับลูกลิง ฟ้องว่าตลอดชีวิตแกไม่เคยได้รับความอบอุ่นเลย อะไรต่ออะไรคงขาดแคลนไปทั้งหมด แกจึงต้องรีบแย่งชิงไขว่คว้าเอาไว้ให้มากที่สุด เอาขนมไปแจกก็แย่งกันกิน เอาตุ๊กตาไปให้ก็แย่งกันเล่น

    เนื่องจากเราไม่รู้จำนวนเด็กมาก่อนซื้อไปแค่ 40-50 ตัว แต่เด็กมีอยู่ถึง 200-300 คน พอส่งให้ ก็เลยชุลมุนแย่งกัน คนหนึ่งคว้าคอ คนหนึ่งคว้าแขน อีกคนดึงขาพรึบเดียว ตุ๊กตาใหม่ ๆ ขาด ได้ไปคนละท่อนสองท่อน แล้วก็ทุบกันตีกัน

   พวกเราเอาเสื้อไปให้ คนไหนเสื้อตัวเก่าขาดแล้ว พี่เลี้ยงเขาก็เอาเสื้อใหม่เปลี่ยนให้เสื้อของคนไหนยังกลางเก่ากลางใหม่ก็ไม่ได้เปลี่ยน แกก็อิจฉากันเอง เข้าไปดึงไปทึ้ง ในที่สุดเสื้อใหม่ก็ขาด ไม่ได้ใส่

   พอเห็นอย่างนั้นแล้วก็ได้คิด ลดใจวูบเลย ตายจริง เด็กพวกนี้เขามีความรู้สึกนึกคิดไม่เหมือนเรา เมื่อเรายังเด็ก เราอยากได้เพื่อนรุ่นเดียวกันหลาย ๆ คน จะได้เล่นกันให้สนุก เราไม่เคยคิดเลยว่า เพื่อนจะมาแย่งของกิน แย่งของเล่น เพราะท้องเราอิ่ม ของเล่นของเราก็มาก

    แล้วที่สำคัญเรามีความอบอุ่นจากคุณพ่อคุณแม่ เรารู้ว่าท่านรักเรา ใคร ๆ รอบข้างเราล้วนรักเราทั้งนั้น เราจึงมองโลกในแง่ดี รักเพื่อน อยากได้เพื่อนเล่นมาก ๆ บางวันมีตั้ง 20-30 คน เล่นอย่างโน้นเล่นอย่างนี้ เกรียวกราวตึงตัง โดนตีวันละหลาย ๆ รอบ ก็เพราะเรื่องสนุก ๆ นี่ละ

  แต่ว่าเด็กกำพร้าพวกนี้ไม่ได้มีความรู้สึกอย่างพวกเรา เขาไม่ได้มองว่าคนรอบข้างเขา 200-300 คนนี่คือเพื่อน แต่มองว่าเป็นศัตรูที่คอยแย่งของที่ตนอยากได้ แย่งคนที่มารักตนเองแววตาของเขาแห้งผาก ว้าเหว่อย่างน่าใจหาย

   ดังนั้นสิ่งที่หลวงพ่ออยากจะฝากถึงลูก ๆ ที่กำลังคาดคั้นพ่อแม่ให้ทำโน่นทำนี่ให้ตนเองขณะนี้ก็คือ เด็ก ๆ เหล่านี้ เขาไม่มีแม้พ่อแม่จะให้รัก แล้วคนที่มีพ่อแม่เลี้ยงดูมาถึงขนาดนี้แล้วเรายังจะเอาอะไรจากท่านอีก"

  จากเรื่องราวที่หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังนี้ ก็ทำให้ได้ข้อคิดว่า การที่ลูกเรียกร้องจากพ่อแม่ให้ตามใจตนเองสารพัด อีกทั้งยังพูดจาดูถูกให้ท่านเจ็บช้ำน้ำใจสารพัด นับเป็นการใช้คำพูดฆ่าท่านให้อายุสั้นลงไปอย่างโหดร้ายที่สุด แต่ทั้ง ๆ ที่ลูกกำลังฆ่าท่านผ่านวาจาเชือดเฉือนหัวใจอยู่นี่แหละ หากมีใครมาบอกว่า ลูกของท่านไม่ดี ท่านเป็นต้องออกรับป้องกันเต็มที่ว่าลูกฉันดีวันยังค่ำ เพราะขึ้นชื่อว่า "พ่อแม่" ถึงแม้ลูกร้ายกาจเพียงใด ท่านก็สู้หวานอมขมกลืนยังรักลูกของท่านไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าลูกของท่านอาจจะไม่เคยยอมทำดีกับท่านแม้เพียงสักครั้งเดียวก็ตาม

    "ถึงลูกร้ายเพียงใด พ่อแม่ก็ยังรัก"

 

 

*----------------------------------------------------------------------------------------------------------*
หนังสือ PD 001 หลักการสร้างความสุขในครอบครัว
หนังสือเรียน หลักสูตร Pre-Degree

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0021993319193522 Mins