ลูกติดอบายมุข

วันที่ 24 พค. พ.ศ.2560

ลูกติดอบายมุข

หลักการสร้างความสุขในครอบครัว , Pre-Degree , วัดพระธรรมกาย , DOU , ธรรมกาย , ปริญญาตรี , พรีดีกรี , พระพุทธศาสนา , พุทธศาสตร์ , พระไตรปิฎก , ลูกติดอบายมุข ,เหล้า , บุหรี่ , สุรา

     ความรักลูกทำให้พ่อแม่ทุ่มเทเวลาในแต่ละวัน  ทำงานแลกเงินอย่างหนัก ด้วยตั้งใจว่าจะเอาเงินไปซื้อความสะดวกสบายให้แก่ลูก ไม่ว่าจะเป็นความสะดวกในด้านการศึกษาเล่าเรียน ของเล่น ของใช้ เสื้อผ้าเครื่องแต่งตัว คือทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกไม่น้อยหน้าเพื่อนคนใดในโรงเรียน การรักลูกจนตาบอดนี่เองเป็นสาเหตุให้บางครั้งก็ลืมคิดไปว่า ที่ทุ่มเทไปทั้งหมดนั้นเป็นเพียงการเลี้ยงลูกให้เติบโตแต่ร่างกาย แต่ยังไม่ได้ปลูกฝังความคิดที่ถูกต้องดีงามให้แก่ลูกเลย

        เมื่อรักลูกจนตาบอดอย่างนี้ พ่อแม่ก็ต้องมานั่งเสียใจ เมื่อมารู้ว่า "ลูกรักแอบหนีไปกินเหล้า เมายา มั่วสุมกับคนแปลกหน้าอยู่ในผับ" และตั้งคำถามกับตนเองว่า "เราทำอะไรผิดหรือนี่ ลูกถึงลงโทษความรักของพ่อแม่อย่างนี้"

1. แนวทางการแก้ปัญหาลูกติดอบายมุข
       จากเรื่องราวที่ยกมาเป็นเหตุการณ์ในช่วงต้น ก็อาจทำให้พ่อแม่เกิดความหวั่นเกรงขึ้นมาได้ว่า เรากำลังรักลูกจนตาบอดหรือเปล่า ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงลูกของเราจะเสียอนาคตหรือไม่ เพราะทุกวันนี้ก็มีข่าวทำนองนี้ตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่บ่อย ๆ

          แนวทางการแก้ไขปัญหานี้มี 2 กรณี

         กรณีที่ 1 คือ ใช้วิธีป้องกัน ถ้าบ้านใดยังไม่เกิดปัญหานี้ขึ้น ก็ต้องรีบปลูกฝังให้เด็กรู้จักแยกแยะดีชั่ว และยับยั้งชั่งใจได้ด้วยตนเอง เพราะพ่อแม่ก็คงไม่สามารถตามไปดูเขาได้ตลอดทุกฝีก้าว จึงควรทุ่มให้กับการปลูกฝังวินิจฉัยที่ดี และหักห้ามใจจากความชั่วให้เป็นจะได้ผลกว่า

            กรณีที่ 2 คือ ใช้วิธีแก้ไข ถ้าบ้านใดเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ ก็ต้องถือว่าเป็นปัญหาเร่งด่วน ถ้าแก้ตรงนี้ไม่ตก ก็อาจหมายถึงอนาคตทั้งหมดของลูก


2. กรณีที่ 1 การป้องกันลูกไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข
       ในกรณีที่ครอบครัวใดยังไม่เกิดเหตุการณ์ลูกติดอบายมุข ก็จำเป็นอย่างเร่งด่วนที่พ่อกับแม่จะต้องป้องกัน ด้วยการทำหน้าที่ปลูกฝังคุณธรรมความดีลงในจิตใจของลูกอย่างเต็มที่

       แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ ครอบครัวตอนนี้ก็คือ  พ่อแม่ไม่รู้ว่า นอกเหนือไปจากเลี้ยงร่างกายลูกให้เติบใหญ่แล้วนั้น หน้าที่ในการเพาะเลี้ยงจิตใจลูกมีอะไรบ้าง

       จากการศึกษาค้นคว้า ได้พบว่าในพระพุทธศาสนาสอนเรื่องการทำหน้าที่ของพ่อแม่ไว้อย่างชัดเจนว่า ถ้าพ่อแม่หวังจะให้ลูกโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคต ยืนหยัดอยู่ด้วยลำแข้งของตนเอง รู้จักเลือกคู่ครองที่ดี และเป็นกำลังสำคัญของครอบครัวในอนาคต ก็จะต้องทำหน้าที่สำคัญนี้ ให้ครบ 5 ประการ คือ

1. สอนให้ลูกเว้นจากความชั่ว

2. สอนให้ลูกตั้งอยู่ในความดี

3. ส่งเสริมให้ลูกได้ศึกษาเล่าเรียน จะได้มีวิชาความรู้ในการประกอบอาชีพ และรับผิดชอบตนเองได้

4. เมื่อถึงคราวที่ลูกจะมีคู่ครอง ให้ช่วยคัดเลือก ช่วยอธิบาย ให้เข้าใจว่า ชีวิตครอบครัวต้องเตรียมตัวพบกับความรับผิดชอบในเรื่องใดบ้าง

5. เมื่อถึงเวลาสมควร ก็ยกทรัพย์สมบัติ ยกมรดกให้ลูกไปบริหารให้เกิดดอกเกิดผลเอาเอง

      หน้าที่สำคัญของพ่อแม่มี 5 อย่างนี้ และการที่ลูกมีปัญหาขึ้นมา ก็เพราะว่าพ่อกับแม่ทำหน้าที่ของตนเองไม่ครบนั่นเอง เป็นสาเหตุสำคัญทำไมพ่อแม่ถึง อนให้ลูกเว้นจากความชั่วไม่ได้ ปู่ย่าตายายท่านให้คำตอบไว้อย่างน่าคิดทีเดียวว่า

      "พ่อแม่สมัยนี้ น่าเป็นห่วง อย่าว่าแต่จะไปสอนให้ลูกเว้นความชั่ว ตั้งอยู่ในความดีเลยแม้ตัวคุณพ่อคุณแม่เอง บางท่านก็ยังแยกไม่ออกว่าอะไรถูกผิด อะไรดีชั่ว และไม่รู้แม้กระทั่งเรื่องบุญบาปว่าเป็นอย่างไร บางคนทำตัวอย่างไม่ดีให้ลูกดูเสียด้วย อย่างนี้แหละที่น่ากลัวที่สุด"

       ทำไมพ่อแม่ถึง อนให้ลูกทำความดีไม่ได้ 

       ปู่ย่าตายายท่านบอกว่า

      "สาเหตุเกิดจากคุณพ่อคุณแม่บางคนแยกออกได้ว่า อะไรดี อะไรชั่ว แต่ว่าไม่ค่อยได้สั่งสอนอบรมลูกเท่าที่ควรจะเป็น ความรักความห่วงใยมีมาก ก็เลยทำให้ละล้าละลัง ห้ามลูกไม่ให้ไปโน่นไปนี่ เอาแต่ห้าม ๆ ไม่อธิบายเหตุผล

     คุณพ่อคุณแม่ควรคิดพิจารณาว่า เราจะตามห้าม ตามดูลูกได้สักกี่ครั้ง ในที่สุดเขาก็แอบไปอีกจนได้ เพราะฉะนั้นแทนที่จะเอาแต่ห้ามว่าลูกอย่าไปที่โน่นที่นี่สู้เอาเวลาไปสอนให้ลูกรู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว อะไรถูก อะไรผิด อะไรควร อะไรไม่ควร จะดีกว่า แล้วต้องสอนบ่อย ๆ แบบพร่ำสอนทีเดียว แล้วก็ทำสิ่งที่ดี ๆ ตามที่สอนนั้น ให้ลูกดูด้วย"

      ส่วนในเรื่องของการส่งเสริมให้ลูกเล่าเรียนเขียนอ่านนั้น พ่อแม่ก็พยายามทำกันเต็มที่แต่บางครั้งก็คาดหวังสูงเกินไป ซึ่งปู่ย่าตายายท่านให้ข้อคิดไว้อีกเช่นกันว่า

     "คุณพ่อคุณแม่ยุคปัจจุบัน บางท่านรู้ตัวว่าไม่ค่อยมีเวลาสอนให้ลูกรู้ว่า อะไรดีอะไรชั่ว แต่ว่าก็มีความเป็นห่วงลูกมาก อยากให้ลูกได้ดี รีบเอาลูกไปฝากตามโรงเรียนต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงว่าเป็นชั้นเยี่ยมของเมืองไทย ไปแย่งกันฝากลูกเข้าโรงเรียน จะเสียค่าแปะเจียะเป็นหมื่นเป็นแสนก็ไม่เกี่ยง ขอให้ลูกฉันเข้าได้เถอะ พอให้เข้าได้แล้ว ก็คิดว่าลูกจะเป็นคนดีคนเก่งเพราะครูเขาคงจะสอนให้ดีได้

      ก็ขอฝากไว้ในที่นี้ว่าคุณพ่อคุณแม่คิดผิดแล้ว เพราะการสอนเด็กให้รู้ดี รู้ชั่ว รู้บุญ รู้บาป เป็นเรื่องยาก ต้องอธิบายมากและต้องสอนเดี่ยว ๆ หรือสอนกลุ่มเล็ก ๆ เพียง 2-3 คน ต้องอธิบายกันไป ประคบประหงมกันไป จึงจะสามารถให้ซึมซับเข้าไปในใจ ที่จะหวังให้คุณครูที่โรงเรียนสอนนั้น ขอบอกว่าหวังมากเกินไป เพราะครูคนเดียวต้องดูนักเรียนหลายห้อง และห้องหนึ่งก็มีนักเรียน 30-40 คน

       เวลาที่ลูกอยู่บ้าน พ่อแม่ก็สู้ทำตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนดีกว่า คือ สอนลูกให้ละชั่ว ตั้งอยู่ในความดีให้ได้ก่อน แล้วจึงมุ่งมาที่เรื่องโรงเรียน เรื่องหาคู่ครอง และเรื่องสมบัติตามลำดับของหน้าที่พ่อแม่

      ใครทำได้อย่างนี้ก็เป็นอันสบายใจได้ ไม่ต้องตามห่วงว่าลูกจะไปอย่างนั้นอย่างนี้ลูกจะรู้เองว่าอะไรดี อะไรชั่ว มีคุณและโทษต่อตนเองอย่างไร แม้ในที่สุดจะเป็นเรื่องไปเที่ยวผับเที่ยวเธค กินเหล้า เมายา หรืออบายมุขอะไรที่แปลกใหม่ที่พ่อแม่ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไรเพราะตามโลกไม่ทัน ลูกก็สามารถวินิจฉัยตัดสินใจได้เองว่าควรทำ หรือไม่ควรทำ" นี่คือทัศนะของปู่ย่าตายาย ในการป้องกันลูกไม่ให้ทำความชั่วสอนให้ลูกทำแต่ความดีอย่างถูกวิธี


3. กรณีที่ 2 การแก้ไขลูกให้พ้นจากการติดอบายมุข
    กรณีที่ลูกไปติดอบายมุขเข้าแล้วสิ่งเดียวที่จะเอาลูกกลับมาได้ คือพ่อแม่ต้องพูดด้วยเหตุด้วยผลกับลูก ห้ามใช้อารมณ์โกรธเด็ดขาด ทำให้ลูกได้คิดด้วยความรัก ความห่วงใยความบริสุทธิ์ใจที่เหนือกว่าใคร ๆ ของพ่อแม่ เพราะสาเหตุที่ลูกไปแหล่งอบายมุขอย่างนั้นเข้า เพราะเขาไม่คิดว่านั่นเป็นความผิด ไม่รู้ว่าเขากำลังทำให้พ่อแม่เป็นห่วง กำลังทำร้ายจิตใจของพ่อแม่ ที่ตั้งความหวังไว้กับตัวเขาอย่างมาก

       ขอยกตัวอย่างครอบครัวหนึ่ง ซึ่งก็เกิดเหตุการณ์ทำนองนี้เช่นกัน แต่เพราะว่าพ่อแม่ลูกเปิดใจพูดกัน ลูกจึงเข้าใจถึงความห่วงใยของพ่อแม่ และเอาชนะความเอาแต่ใจของตนเองได้

         วันนั้นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่สองท่านนี้ อธิบายให้ลูกฟัง มี 3 เรื่องใหญ่ ๆ คือ

         1) ความไม่คุ้มค่าของการใช้เงินเที่ยวกลางคืน

         คุณแม่เป็นฝ่ายเริ่มอธิบายว่า

       "ถ้าลูกคิดจะไปเที่ยวกลางคืน เพราะเห็นว่าใคร ๆ เขาก็ไปเที่ยวกัน คนที่ไม่ไปนั่นแหละ เป็นพวกคร่ำครึโบราณเต่าล้านปี พ่อกับแม่ก็มีเรื่องอยากให้ลูกรับรู้ไว้ว่า การไปเที่ยวแต่ละครั้งของลูก ต้องมีค่าใช้จ่ายสูง ถ้าพ่อกับแม่อนุญาต ก็จะต้องควักกระเป๋าหนัก ๆ อย่างแน่นอน ลูกลองคิดดูว่า มันคุ้มกันไหม เมื่อพ่อกับแม่เหนื่อยแทบตายกว่าจะหาเงินมาได้แต่ละบาท เสร็จแล้วเงินนั่นกลับกลายเป็นค่าความสนุกในการเที่ยวกลางคืนของลูกไป ทุกวันนี้กว่าพ่อกับแม่จะหาเงินทองมาได้ ไม่ใช่หาง่าย ๆ นะลูก กว่าจะได้มาแต่ละบาท มันแสนยากลำบาก

       พ่อกับแม่อยากให้หนูมองเรื่องนี้ให้กว้าง ๆ จะได้เข้าใจหัวอกของพ่อกับแม่ว่า รักหนูขนาดไหน วันหนึ่งพ่อกับแม่ต้องแก่ ต้องตายจากหนูไปแน่ ๆ จะช้าจะเร็วก็ไม่รู้ อะไรที่จะเป็นสมบัติทิ้งไว้ให้หนูได้ พ่อกับแม่ก็ยอม ยินดีทุ่มชีวิตจิตใจหามาให้ เก็บไว้ให้ เพราะยังไงก็ดีกว่าจะปล่อยให้มันละลายไป เพราะตามใจหนูเที่ยวกลางคืน

      หนูเองอาจจะแย้งว่า ใคร ๆ เขาก็ไปเที่ยวกันนี่ แต่พ่อกับแม่ก็คิดว่า ยังมีอีกหลายอย่างที่หนูทำแล้ว ไม่น้อยหน้ากว่าใคร ไม่เสียสุขภาพ และวิธีนั้นก็ไม่ต้องใช้เงินอะไรเลย เช่นไปเป็นอาสา มัครอ่านหนังสือให้คนตาบอดฟังก็ได้ เอาเวลาที่ไปเที่ยวกลางคืนไปทำประโยชน์ให้ผู้อื่น ชีวิตของเราจะมีค่ามากกว่านะลูก พ่อกับแม่อยากให้หนูมองตรงนี้ด้วย"

       2) ไปเที่ยวกลางคืนโอกาสห้ามใจไม่อยู่ แล้วทำเรื่องไม่ดีไม่งามมีมากคราวนี้ คุณพ่อเป็นฝ่ายอธิบายบ้างว่า

     "ลูกควรจะรู้จักธรรมชาติของวัยรุ่นด้วยว่า เพื่อน ๆ ของลูกทุกคนล้วนเป็นวัยรุ่นการยับยั้งชั่งใจยังมีไม่มาก อาจห้ามใจตัวเองไม่ไหว ไปทำสิ่งที่ไม่ดีเข้าได้

     วัยหนุ่มวัยสาวเป็นวัยที่กำลังจะต้องศึกษาว่า อะไรดี อะไรชั่ว อะไรบุญ อะไรบาป อะไรผิด อะไรถูก อะไรควร อะไรไม่ควร แม้จะ นใจศึกษาแต่ว่าจะไม่ค่อยถ่องแท้หรอก เพราะชีวิตวัยรุ่นผ่านโลกมาไม่นาน เมื่อรวมกันมาก ๆ โอกาสจะเกิดเรื่องไม่ดีไม่งาม ด้วยความคึกคะนองลองผิดลองถูกก็เกิดขึ้นได้ง่าย เช่น การต่อยตีกัน ชวนกันเสพยาเสพติด มอมยาแล้วพาไปทำร้ายทางเพศ พ่อกับแม่ก็อยากให้ลูกรู้จักธรรมชาติของคนวัยนี้ ลูกจะได้ระวังตัวในเรื่องนี้ด้วย"

      3)ความปลอดภัยมีน้อย อาจตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพได้ง่าย

      คุณพ่ออธิบายต่อว่า

    "เรื่องนี้พ่อกับแม่ห่วงมากที่สุด กลัวลูกจะได้รับอันตราย เพราะคนที่ไปเที่ยวกลางคืนจะอยู่ในสภาพที่ควบคุมตนเองไม่ได้ ความมึนเมากำลังออกฤทธิ์ แม่กับพ่อกลัวลูกบาดเจ็บกลัวลูกจะได้รับอุบัติเหตุจากการทะเลาะวิวาทกัน กลัวบรรยากาศจะจูงใจให้ลูกเผลอไปลองยาแล้วโดนตำรวจจับ กลัวว่าลูกจะโดนมอมยา แล้วถูกพาไปขายตัว กลัวว่าลูกจะต้องติดโรคเอดส์ต้องหมดอนาคต และมาตายก่อนวัยอันควร

       พ่อกับแม่กลัวสารพัด เพราะลูกคือชีวิตของพ่อกับแม่ ที่นั่นไม่ปลอดภัยกับลูกเลย

    แต่ถ้าลูกอยากไปมาก พ่อกับแม่ก็อยากจะขอร้องให้ลูกเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์กับสังคมมากกว่า เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ไม่น่าอาย และลูกจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับคนอื่น ๆ ด้วย แล้วก็ชวนเพื่อน ๆ ที่มีความประพฤติเรียบร้อยไปด้วยกัน ลูกจะได้รู้จักทำงานเป็นทีมร่วมกับคนที่มีเหตุมีผล ควบคุมความคิด คำพูด การกระทำของตนเองได้ แล้วประสบการณ์เหล่านี้จะเป็นส่วนเสริมให้ลูกยืนหยัดอยู่ในโลกกว้างได้อย่างภาคภูมิใจยิ่งกว่าไปเที่ยวผับเสียอีก"

        เมื่อพ่อแม่เปิดใจคุยกับลูกด้วยความรักและเหตุผลเช่นนี้ ก็ทำให้ลูกเข้าใจความรักความห่วงใยของพ่อแม่ที่มีต่อตนเองอย่างมากมายนับไม่ถ้วน และก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ลูกคิดเป็นสอนตนเองเป็น ยับยั้งชั่งใจเป็น รู้จักเลือกคบคนเป็น ตัดวงจรของการคบเพื่อนเลวเดินออกจากเส้นทางอบายมุข หันไปเป็นอาสาสมัครทำประโยชน์ให้กับสังคมร่วมกับเพื่อนดีนั่นเอง

       หากครอบครัวใดกำลังเกิดปัญหาเช่นนี้ ก็น่าจะลองใช้วิธีพูดคุยกันด้วยเหตุด้วยผลไม่ใช้อารมณ์โกรธแบบบ้านนี้ดูบ้าง เพราะลำพังความรักที่พ่อแม่มีต่อลูกนั้น ยังไม่พอต้องประกอบด้วยเหตุผล และความเข้าใจที่มีต่อกันด้วย โอกาสที่จะกอบกู้วิกฤตการณ์ของอนาคตลูกจึงจะมีหวังสำเร็จ โอกาสที่ครอบครัวจะกลับมามีความสุขจึงจะเปิดกว้าง นี่คือแนวทางการแก้ไขปัญหาครอบครัวด้วยความรักและเหตุผลที่ได้ผลมาแล้ว

     คุณพ่อคุณแม่ท่านใดที่ห่วงลูก แล้วไม่รู้จะป้องกันหรือแก้ไขอย่างไร ก็ขอแนะนำว่าให้ทำอย่างที่ปู่ย่าตายายท่านบอกเถิด เชื่อว่าไม่นานหรอก ลูกของเราจะเข้าใจบทบาทของลูกพ่อแม่ก็จะเข้าใจบทบาทของตนเอง จะเกิดความร่มเย็นเป็นสุขทั้งครอบครัว พ่อแม่ได้ลูกแก้วลูกก็ได้พ่อแก้วแม่แก้วไว้กราบไหว้จนวันตาย

 

*----------------------------------------------------------------------------------------------------------*
หนังสือ PD 001 หลักการสร้างความสุขในครอบครัว
หนังสือเรียน หลักสูตร Pre-Degree

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0019095500310262 Mins