เมื่อดวงธรรมหายไป
ในช่วงแรกๆ ที่คุณยายอยู่ในโรงงานทําวิชชา ท่านเล่าว่าพระเดชพระคุณหลวงปู่ยังไม่ได้สอนอะไร เพียงแต่ให้นั่งวางใจนิ่งๆ เฉยๆ เท่านั้น ประกอบกับเวลานั้นคุณยายไม่สบายพอดีก็พลอยทําให้ดวงธรรม ที่เคยเห็นชัดใสนั้นเลือนหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ เมื่อคุณยายหลับตาแล้วก็เห็นแต่ความมืดมิด ไม่เห็นความสว่างเหมือนเดิม แต่ก็ยังรู้สึกมีความสุขกับการนั่งหลวงพ่อเคยถามคุณยายว่ารู้สึกอย่างไร ท่านตอบว่า ท่านไม่หวั่นไหว ท่านรู้สึกเฉยๆ และมั่นใจว่าในไม่ช้า ก็จะได้เห็นเหมือนเดิม และเมื่อถึงเวลาที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ถามคําถามนักศึกษาวิชชาธรรมกาย ในโรงงานทําวิชชา ท่านจะถามเรียงทีละคน ซึ่งผู้ที่จะตอบคําถามพระเดชพระคุณหลวงปู่ได้ต้องเห็นธรรมะ ภายในชัดแจ่มทีเดียว แต่พระเดชพระคุณหลวงปู่คงทราบว่าคุณยายยังไม่พร้อม เมื่อถึงลําดับที่คุณยายจะต้องตอบคําถาม ท่านก็จะข้ามไป
เมื่อเวลาล่วงผ่านไปได้2–3 วันแล้ว คุณยายก็ยังคงนั่งอยู่กับความมืด แต่ท่านก็รู้สึกเบาสบาย คล้ายกับอยู่ในที่โล่งกว้างเวลากลางคืน ท่านไม่ได้คิด อะไรนอกจากวางใจสบายอยู่ในความมืด สําหรับผู้ที่เคยเห็นความสว่าง แต่อยู่ๆ ดวงธรรมหายไป ยิ่งนั่ง อยู่ใกล้พระเดชพระคุณหลวงปู่ ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายและหมู่คณะผู้รู้เห็นทั้งหลายในโรงงานทําวิชชาแล้ว ยังสามารถทําความรู้สึกนิ่งเฉยเป็นปกติท่ามกลาง ความมืดของใจได้ถือว่าไม่ธรรมดา
ครั้นถึงวันที่ 4 ของการปฏิบัติธรรมในโรงงานทําวิชชา ขณะที่พระเดชพระคุณหลวงปู่เดินขึ้นบันไดมา แผ่นไม้ที่ท่านเหยียบส่งเสียงดัง “เอี๊ยด เอี๊ยด” ในเวลานั้นคุณยายกําลังวางใจนิ่งเฉยอยู่ในความมืด แล้วใจของท่านก็เกิดตกศูนย์ลงไป ณ กลางกาย ทันใดนั้นดวงธรรมใสกระจ่างก็ผุดขึ้นมาสว่างไสวดังเดิม ท่านบอกว่า “พอเราทําใจสบายๆ เดี๋ยวก็กลับมาเห็นได้ใหม่” ที่ท่านพูดดังนี้ก็เพราะธรรมะและดวงธรรม เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวของเรา เมื่อเราวางใจถูกส่วนแล้ว ย่อมเข้าถึงได้อีกครั้ง