พระรัตนตรัยภายใน

วันที่ 21 มิย. พ.ศ.2560

พระรัตนตรัยภายใน

คู่มือพุทธมามกะ , Pre-Degree , วัดพระธรรมกาย , DOU , ธรรมกาย , ปริญญาตรี , พรีดีกรี , พระพุทธศาสนา , พุทธศาสตร์ , พระไตรปิฎก , สร้างบารมี , หลวงพ่อธัมมชโย , พุทธมามกะ , พระสัมมาสัมพุทธเจ้า , พระรัตนตรัยภายใน

1. พระรัตนตรัยภายในคืออะไร

       พระรัตนตรัยภายในคือรัตนะ 3 ประการที่มีอยู่ภายในตัวของมนุษย์ทุกคน ได้แก่  พุทธรัตนะ  ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำภาษีเจริญได้อธิบายเรื่องพระรัตนตรัยภายในไว้อย่างชัดเจนดังนี้

    พุทธรัตนะ คือ ธรรมกาย หมายถึง กายตรัสรู้ธรรมที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคนธรรมกายนี้เป็นผู้ตรัสรู้อริยสัจ 4 ได้แก่ รู้ทุกข์ รู้เหตุของทุกข์ หรือสมุทัย รู้ความดับทุกข์ หรือนิโรธ และรู้เหตุของความดับทุกข์ หรือมรรคมีองค์ 8

      ธรรมกายมีรูปเหมือนพระปฏิมากรเกตุดอกบัวตูมใสเหมือนกระจกคันฉ่องส่องดูเงาหน้าได้ลักษณะมหาบุรุษครบทั้ง 32 ประการ งดงามไม่มีที่ติ

        ธรรมรัตนะ คือ ดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกาย อยู่ศูนย์กลางกายพุทธรัตนะนั้น มีหน้าที่รักษาพุทธรัตนะไว้ ธรรมรัตนะมีลักษณะเป็นดวง กลมรอบตัว และใสเหมือนกับธรรมกาย

          สังฆรัตนะ คือ ธรรมกายละเอียดที่อยู่ในกลางธรรมรัตนะ มีหน้าที่รักษาธรรมรัตนะไว้

          สำหรับธรรมกายที่เป็นตัวพุทธรัตนะข้างต้นนั้นเรียกว่า "ธรรมกายหยาบ"

       ธรรมกายหยาบเป็นบ่อเกิดแห่งรัตนะทั้งหลาย กล่าวคือ เมื่อเข้าถึงธรรมกายหยาบคือพุทธรัตนะแล้วก็จะทำให้เข้าถึงธรรมรัตนะและสังฆรัตนะด้วย เพราะรัตนะทั้ง 3 ประการนี้เป็นหนึ่งเดียวกัน อาศัยซึ่งกันและกัน ไม่อาจจะแยกจากกันได้

       รัตนะทั้ง 3 นี้เป็นพระรัตนตรัยที่แท้จริงและเป็นเหตุให้เกิดพระรัตนตรัยภายนอกซึ่งเป็นเพียง "เนมิตกนาม" คือ "เป็นชื่อที่เกิดขึ้นตามเหตุ" กล่าวคือ เป็นชื่อที่เกิดขึ้นเพราะได้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว ดังนี้

          พุทฺโธ คือ พระพุทธเจ้า เป็นเนมิตกนาม เกิดขึ้นจาก พุทธรัตนะ

          ธมฺโม คือ พระธรรม เป็นเนมิตกนาม เกิดขึ้นจาก ธรรมรัตนะ

          สงฺโฆ คือ พระสงฆ์ เป็นเนมิตกนามเกิดขึ้นจากสังฆรัตนะ

        เนมิตกนามนั้นมีหลากหลาย เช่น เพราะเหตุที่จิตของพระพุทธองค์บริสุทธิ์ผุดผ่องปราศจากกิเลสทั้งมวล จึงได้พระเนมิตกนามว่า "อรหํ"

       พระสัทธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ มีเหตุผลรับสมกันอยู่เสมอไม่คลาดเคลื่อน จึงสมควรแล้วที่ได้พระเนมิตกนามว่า "สัมมาสัมพุทโธ" อีกอย่างหนึ่งชื่อว่า "สัมมาสัมพุทโธ" เพราะตรัสรู้เองโดยชอบและสอนให้ผู้อื่นตรัสรู้ตาม

      ในทางโลกก็มีเนมิตกนาม เช่น พระนางมัลลิกา เหตุที่มีพระนามอย่างนี้เพราะในขณะพระนางเธอประสูตินั้น มีดอกมะลิร่วงลงมาจากอากาศ พระราชบิดาและพระประยูรญาติถือเอานิมิตดอกมะลินั้น ขนานนามธิดาองค์นั้นว่า มัลลิกา ซึ่งแปลว่า พระนางมะลิ คำว่า มัลลิกา จึงเป็นเนมิตกนาม

       พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำฯ กล่าวถึงพระรัตนตรัยภายในไว้ว่า "มีลักษณะใสเป็นแก้วจริง ๆ จึงเรียกว่า รัตนะ"  ในหนังสือทิพยอำนาจของมหามกุฏราชวิทยาลัยซึ่งเรียบเรียงโดยพระอริยคุณาธาร แห่งวัดเขาสวนกวาง จังหวัดขอนแก่น กล่าวถึงอินทรีย์ของพระอรหันต์ซึ่งเป็นผู้ที่ได้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายในไว้ว่า "อินทรีย์ของพระอรหันต์นั้นแหละ เรียกว่า อินทรีย์แก้ว ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ของท่านเป็นแก้ว คือ ใสบริสุทธิ์ดุจแก้วมณีโชติผู้บรรลุถึงภูมิแก้วแล้ว ย่อมสามารถพบเห็นพระแก้ว คือ พระอรหันต์ที่นิพพานแล้วได้"

     สำหรับพระรัตนตรัยภายนอกคือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมคำสอนของพระองค์และพระสงฆ์สาวกของพระองค์นั้น เรียกว่า พระรัตนตรัย เหมือนกัน แต่เป็นการเรียกโดยเปรียบว่าทั้ง 3 อย่างนี้เปรียบเหมือนแก้ว

       ทำไมจึงต้องเอา พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์มาเปรียบด้วยแก้ว ที่ต้องเปรียบด้วยแก้วเพราะแก้วเป็นวัตถุทำความยินดีให้บังเกิดแก่เจ้าของผู้ปกครองรักษา ถ้าผู้ใดมีแก้วมีเพชรไว้ในบ้านในเรือนมากผู้นั้นก็อิ่มใจดีใจด้วยคิดว่าเราไม่ใช่คนจน แม้คนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของเห็นแก้วเห็นเพชรเข้าแล้ว ที่จะไม่ยินดีไม่ชอบนั้นเป็นอันไม่มี ต้องยินดีต้องชอบด้วยกันทั้งนั้น

       พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำฯ กล่าวไว้อีกว่า พระรัตนตรัยภายใน คือ "พระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะสังฆรัตนะ เป็นตัวจริงของพระพุทธศาสนา เป็นแก่นสารหลักของพระพุทธศาสนาทีเดียว เราเป็นพุทธศาสนิกชนหญิงก็ดี ชายก็ดี เป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิตก็ตาม ต้องรู้จักพระรัตนตรัยนี้ ถ้าไม่รู้จักรัตนะทั้งสามนี้แล้ว การนับถือศาสนาปฏิบัติในศาสนาเอาตัวรอดไม่ได้"

       ส่วนพระรัตนตรัยภายนอกคือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมคือคำสอนของพระองค์และพระสงฆ์สาวกของพระองค์นั้นเป็นเพียงเนมิตกนามเท่านั้น ตัวจริงของพระรัตนตรัยคือพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะซึ่งอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน กล่าวคือ อยู่ในตัวของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า อยู่ในตัวของพุทธบริษัท 4 และอยู่ในตัวของชาวโลกทั้งมวลและมนุษย์ทุกคนก็สามารถเข้าถึงได้โดยไม่จำกัดเพศ อายุ ภาษา ศาสนา และเผ่าพันธุ์ถ้าเจ้าชายสิทธัตถโพธิสัตว์ยังไม่ตรัสรู้ธรรมคือเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว ก็ยังไม่ชื่อว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ยังเป็นเพียงพระโพธิสัตว์เท่านั้น


2. สถานที่ตั้งของพระรัตนตรัย
        พระรัตนตรัยภายในมีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน โดยอยู่ ณ ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 เหนือสะดือ 2 นิ้วมือ1 เนื่องจากพระรัตนตรัยเป็นขันธ์ส่วนละเอียด ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ แม้ผ่าตัดก็มองไม่เห็น ถ่ายเอกซเรย์ก็จับภาพไม่ติดเช่นกัน คนส่วนใหญ่ในโลกจึงไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพระรัตนตรัยภายในนี้ บ้างก็ว่าไม่มี เพราะตนเองมองไม่เห็น แต่ทั้งนี้สิ่งไม่เห็นใช่ว่าจะไม่มีพระรัตนตรัยนี้เราจะเห็นได้ด้วยการปฏิบัติตามหลักมัชฌิมาปฏิปทาเท่านั้น

        มัชฌิมาปฏิปทา มาจากคำว่า มัชฌิมา + ปฏิปทา

        มัชฌิมา แปลว่า กลาง ปฏิปทา แปลว่า ทางดำเนิน และ ความประพฤติ

       ดังนั้น มัชฌิมาปฏิปทา จึงมีความหมาย 2 นัยคือ ทางสายกลาง และความประพฤติอันเป็นกลาง หรือ ข้อปฏิบัติอันเป็นกลาง

        ทางสายกลาง หมายถึง ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 เหนือสะดือ 2 นิ้วมือ

       ข้อปฏิบัติอันเป็นกลาง หมายถึง มรรคมีองค์ 8 ได้แก่สัมมาทิฏฐิ คือ เห็นชอบ สัมมาสังกัปปะ คือ ดำริชอบ สัมมาวาจา คือ กล่าววาจาชอบสัมมากัมมันตะ คือ การงานชอบ สัมมาอาชีวะ คือ เลี้ยงชีพชอบสัมมาวายามะ คือ เพียรชอบสัมมาสติ คือ ระลึกชอบ และสัมมาสมาธิ คือ ตั้งใจไว้ชอบ

      ใครก็ตามที่ได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นชาติใด ภาษาใด นับถือศาสนาอะไร ฐานะทางสังคมเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นพระ มณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าพระอริยสาวกทั้งหลาย พุทธบริษัท 4 ทั้งปวง ตลอดจนยาจก วณิพก พ่อค้า แม่ค้า มนุษย์ชายหญิงทุกคนต่างก็มีพระรัตนตรัยอยู่ในตัว ณ ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 เหนือสะดือ 2 นิ้วมือทั้งสิ้นต่างเพียงแต่ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นคือผู้ที่สามารถตรัสรู้คือเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวได้ด้วยพระองค์เอง เมื่อตรัสรู้แล้วก็ได้ตรัสอนให้ผู้อื่นตรัสรู้คือเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวของเขาด้วยส่วนพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น คือ ผู้ที่ตรัสรู้ได้ด้วยตนเอง แต่ไม่สอนใคร เหล่าพระอริยสาวกคือ ผู้ฟังคำสอนจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วนำมาปฏิบัติตามจนได้ตรัสรู้ธรรมเช่นเดียวกับพระพุทธองค์ พระอริยสาวกทั้งหลายจึงได้ชื่อว่าพระอนุพุทธะคือผู้ตรัสรู้ตาม


3. วิธีการเข้าถึงพระรัตนตรัย
        วิธีการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวคือ การปฏิบัติตามหลักมรรคมีองค์ 8 เมื่อบุคคลปฏิบัติตามหลักนี้ย่อมทำให้กิเล อาสวะคือ โลภะ โทสะ โมหะ ที่ห่อหุ้มจิตอยู่เบาบางไปเรื่อย ๆ เมื่อกิเลสเบาบางไปแล้วก็จะได้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวในที่สุด และพระรัตนตรัยนี้แหละที่จะทำหน้าที่ละกิเลสอย่างละเอียดให้หมดสิ้นไปได้

       ถามว่า การปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 นั้นต้องทำอย่างไร วิธีการที่ลัดที่สุดคือ การเจริญภาวนานั่นเอง ดังพุทธดำรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุหมั่นเจริญภาวนา แม้จะไม่พึงเกิดความปรารถนาอย่างนี้ว่า โอหนอ ขอจิตของเราพึงหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ก็จริงแต่จิตของภิกษุนั้น ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ข้อนั้นเพราะเหตุไร พึงกล่าวได้ว่าเพราะเจริญสติปัฏฐาน 4 ฯลฯ อริยมรรคประกอบด้วยองค์ 8"

        สติปัฏฐาน 4 คือสัมมาสติในอริยมรรคมีองค์ 8

        จากพุทธดำรัสนี้จะเห็นว่า การเจริญภาวนา ก็คือ การได้ปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ 8 นั่นเอง

       ถามว่า การเจริญภาวนาคืออะไร การเจริญภาวนาก็คือ การทำสมาธิ ดังในอรรถกถาที่ว่า "ธรรมชาติใด อันพระโยคีบุคคลอบรมอยู่ เจริญอยู่ฉะนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อว่า ภาวนา, ภาวนาคือสมาธิ ชื่อว่าสมาธิภาวนา"

      สมาธิในที่นี้ คือสัมมาสมาธิในอริยมรรคมีองค์ 8 จึงกล่าวได้ว่าเมื่อปฏิบัติสัมมาสมาธิแล้ว ก็เท่ากับได้ปฏิบัติมรรคองค์อื่น ๆ ไปด้วยสัมมาสมาธิจึงเป็นศูนย์กลางขององค์มรรคทั้งปวงดังพระดำรัสที่ว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลายก็ 'สัมมาสมาธิ' เป็นอริยะอันมีเหตุมีองค์ประกอบคือสัมมาทิฏฐิสัมมาสังกัปปะสัมมาวาจาสัมมากัมมันตะสัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะสัมมาสติ เป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งประกอบแล้วด้วยองค์ 7 เหล่านี้แล เรียกว่าสัมมาสมาธิที่เป็นอริยะ อันมีเหตุบ้าง มีองค์ประกอบบ้าง"

      พระดำรัสนี้ขยายความได้ว่า องค์มรรคทั้ง 7 ตั้งแต่สัมมาทิฏฐิ สัมมาสติ จะเป็นองค์ประกอบของสัมมาสมาธิ เมื่อปฏิบัติสัมมาสมาธิก็เท่ากับได้ปฏิบัติมรรคอีก 7 องค์ที่เหลือไปด้วยกล่าวคือ เมื่อจิตเป็นสมาธิเพิ่มขึ้น จะส่งผลให้มีสัมมาทิฏฐิเพิ่มขึ้นส่งผลให้มีสัมมาสังกัปปะเพิ่มขึ้นส่งผลให้มีสัมมาวาจาเพิ่มขึ้นส่งผลให้มีสัมมากัมมันตะเพิ่มขึ้นส่งผลให้มีสัมมาอาชีวะเพิ่มขึ้นส่งผลให้มีสัมมาวายามะเพิ่มขึ้นส่งผลให้มีสัมมาสติเพิ่มขึ้นด้วย เมื่อปฏิบัติสัมมาสมาธิมากเข้า ๆ จะทำให้จิตบริสุทธิ์จากกิเลสยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนบริสุทธิ์หลุดพ้นในที่สุด

      พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำฯ สอนไว้ว่า ในเวลาทำสมาธินั้นให้เรานำใจมาหยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 อย่างสบาย ๆ และต่อเนื่อง จนถูกส่วนก็จะตกศูนย์คือ ใจหยุดเมื่อตกศูนย์แล้วก็จะเข้าถึง "ดวงปฐมมรรค" เป็นดวงธรรมเบื้องต้นที่จะนำไปสู่การบรรลุมรรคผลนิพพาน เมื่อเข้าถึงดวงปฐมมรรคแล้วก็หยุดใจไว้ในกลางดวงปฐมมรรคนั้นอย่างสบาย ๆ และต่อเนื่อง จนถูกส่วนก็จะเข้าถึงดวงธรรมอื่น ๆ อีก 5 ดวงคือ ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตตติ ดวงวิมุติญาณทัสนะ รวมทั้งหมดเป็น 6 ดวง จากนั้นก็เอาใจหยุดนิ่งไว้กลางดวงวิมุตติญาณทัสนะนั้น พอถูกส่วนก็จะเข้าถึง "กายมนุษย์ละเอียด" หรือ กายฝัน

       ขั้นต่อไปก็เจริญสมาธิภาวนาด้วยเอาใจหยุดนิ่งไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 ของกายมนุษย์ละเอียด พอถูกส่วนก็จะเข้าถึงดวงธรรม 6 ดวงดังกล่าวคือ ดวงปฐมมรรค ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ ดวงวิมุติญาณทัสนะ จากนั้นก็เอาใจหยุดนิ่งไว้กลางดวงวิมุตติ ญาณทัสนะนั้น พอถูกส่วนก็จะเข้าถึง "กายทิพย์หยาบ"

      ขั้นต่อไปก็เจริญสมาธิภาวนาด้วยเอาใจหยุดนิ่งไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 ของกายทิพย์หยาบ พอถูกส่วนก็จะเข้าถึงดวงธรรม 6 ดวงเช่นกัน แล้วก็จะเข้าถึงกายทิพย์ละเอียด... กายรูปพรหมหยาบ... กายรูปพรหมละเอียด... กายอรูปพรหมหยาบ... กายอรูปพรหมละเอียด ... ธรรมกายโคตรภูหยาบ ... ธรรมกายโคตรภูละเอียด... ธรรมกายสกทาคามีหยาบ... ธรรมกายสกทาคามีละเอียด... ธรรมกายอนาคามีหยาบ... ธรรมกายอนาคามีละเอียด... ธรรมกายอรหัตหยาบ... ธรรมกายอรหัตละเอียด ในแต่ละกายเหล่านี้จะมีดวงธรรม 6 ดวงคั่นอยู่เป็นชั้น ๆ ตามลำดับคือดวงปฐมมรรค ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ ดวงวิมุติ ญาณทัสนะ

       เมื่อเข้าถึงพระธรรมกายแล้วก็ได้ชื่อว่าเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว เพราะพระธรรมกายเป็นบ่อเกิดแห่งรัตนะทั้งหลายดังได้กล่าวแล้วว่า

        พุทธรัตนะ คือ ธรรมกายหยาบ

        ธรรมรัตนะ คือ ดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกายหยาบอยู่ ณ ศูนย์กลางธรรมกายนั้น

        สังฆรัตนะ คือ ธรรมกายละเอียดที่่อยู่ที่ศูนย์กลางธรรมรัตนะนั้น

        พระรัตนตรัยนั้นมีหลายระดับตั้งแต่ธรรมกายโคตรภูจนถึงธรรมกายอรหัต

    ตลอดเส้นทางของการปฏิบัติสัมมาสมาธิเพื่อให้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายในนั้นสิ่งสำคัญที่ต้องทำมีเพียงอย่างเดียวคือ การหยุดใจอย่างสบาย ๆ และต่อเนื่องไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 เมื่อหยุดใจได้ถูกส่วนแล้วใจก็จะเคลื่อนเข้าไปภายในเรื่อย ๆ จนเข้าถึงพระธรรมกายในที่สุด

      แต่การที่ใครจะก้าวขึ้นสู่ความเป็นพระอริยสงฆ์หรือพระอริยบุคคลระดับต่าง ๆ ได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับบารมีที่สั่งสมมา หากมีบารมีเพียงพอก็สามารถจะบรรลุเป็นพระอริยบุคคลในระดับต่าง ๆ ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปได้ ถ้าบารมียังไม่มากพออย่างน้อย ๆ ก็จะได้เป็นโคตรภูบุคคลคือ เข้าถึงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมกายโคตรภูได้ ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำฯ ยืนยันอยู่เสมอว่า หากเอาจริงคือตั้งใจปฏิบัติอย่างจริงจังแล้วจะเข้าถึงได้ทุกคน

      ดวงปฐมมรรค แปลว่า หนทางเบื้องต้นมรรคผลนิพพาน คำว่า "ปฐมมรรค" เป็นคำที่ปรากฎอยู่ในคัมภีร์โบราณทางพระพุทธศาสนาชื่อ "คัมภีร์มูลกัจจาย"ส่วนในพระไตรปิฎกเรียกดวงปฐมมรรคว่า ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือเอกายนมรรค แปลว่า ทางเอกสายเดียวคือ เป็นทางสายเดียวที่จะนำไปสู่มรรคผลนิพพานส่วนทางอื่นไม่อาจไปสู่มรรคผลนิพพานได้

      ดวงปฐมมรรคนี้เกิดขึ้นจาก "การประชุมพร้อมกันของมรรคมีองค์ 8 หรือ เรียกว่า มรรคสมังคี" ผู้ที่ทำให้มรรคทั้ง 8 องค์รวมกันเป็นหนึ่งเรียกว่า "บุคคลผู้พรั่งพร้อมมรรค มังคี" หรือ หากเป็นผู้ที่เข้าถึงมรรคสมังคีในระดับโลกุตระก็จะเรียกว่า "อริยมรรคสมังคีบุคคล" ขนาดดวงปฐมมรรคของแต่ละคนจะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับบารมี กล่าวคือ อย่างเล็กจะมี

       ขนาดเท่ากับดวงดาวที่เราเห็นอยู่บนท้องฟ้า อย่างกลางจะมีขนาดเท่าดวงจันทร์ และอย่างใหญ่จะมีขนาดเท่าดวงอาทิตย์ ที่บอกว่าขนาดเท่าดวงจันทร์หรือดวงอาทิตย์นั้น เป็นขนาดตามที่เรามองเห็นจากโลกไม่ใช่เป็นขนาดจริง ๆ ของดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ ดวงปฐมมรรคนี้ใสบริสุทธิ์เหมือนกระจกคันฉ่องส่องเงาหน้าส่วนขนาดของดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติและดวงวิมุติญาณทัสนะ ก็มีขนาดเท่า ๆ กับดวงปฐมมรรค

       วิธีการเข้าถึงพระรัตนตรัยภายในนั้นอธิบายโดยย่อไว้เพียงเท่านี้ก่อน นักศึกษาสามารถเรียนเพิ่มเติมได้ในกลุ่มวิชาสมาธิ ซึ่งแบ่งเนื้อหาออกเป็น 8 เล่ม คือ MD 101สมาธิ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสมาธิ จนถึง MD 408สมาธิ 8 : วิปัสสนากัมมัฏฐาน


4. หลักฐานเกี่ยวกับธรรมกาย
      หลักฐานเรื่องธรรมกายมีปรากฏอยู่หลายคัมภีร์คือทั้งในพระไตรปิฎก อรรถกถาฎีกา วิสุทธิมรรค มิลินทปัญหา หนังสือปฐม มโพธิกถา จารึกลานทอง ศิลาจารึก และหนังสือทางพระพุทธศาสนาอื่น ๆ นอกจากนี้เรื่องธรรมกายยังปรากฏอยู่ในคัมภีร์ฝ่ายมหายานอีกจำนวนมาก ในที่นี้จะนำเสนอเฉพาะหลักฐานในพระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาท ดังนี้

      1) ในอัคคัญญสูตร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า คำว่า 'ธรรมกาย' ก็ดี 'พรหมกาย' ก็ดี 'ธรรมภูต' ก็ดี 'พรหมภูต' ก็ดี ล้วนเป็นชื่อของตถาคต

       2) ในสรภังคเถรคาถา พระสรภังคเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี สิขี เวสสภู กกุสันธะ โกนาคมนะ และกั ปะได้ทรงดำเนินไปโดยทางใดแลพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโคดมก็ทรงดำเนินโดยทางนั้น พระพุทธเจ้าทั้ง 7 พระองค์ ปราศจากตัณหาไม่ทรงยึดมั่น หยั่งถึงความดับ เสด็จอุบัติโดยธรรมกาย ผู้คงที่ ได้ทรงแสดงธรรมนี้ คือ อริยสัจ 4 อันได้แก่ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และทางที่ดำเนินไปให้ถึงความสิ้นทุกข์ด้วยทรงอนุเคราะห์เหล่าสัตว์

      3) ในปัจเจกพุทธาปทาน บันทึกไว้ว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายมีธรรมยิ่งใหญ่มีธรรมกายมาก มีจิตเป็นอิสระ ข้ามห้วงแห่งทุกข์ทั้งมวลได้แล้ว

     4) ในมหาปชาปตีโคตมีเถริยาปทาน พระนางมหาปชาปตีโคตมีเถรีกล่าวไว้ว่า "ข้าแต่พระสุคตหม่อมฉันเคยเป็นมารดาเลี้ยงของพระองค์ ข้าแต่พระธีรเจ้าส่วนพระองค์เป็นบิดาของหม่อมฉัน ข้าแต่พระโลกนาถ พระองค์ทรงเป็นผู้ประทานความสุข ที่เกิดจาก พระสัทธรรมข้าแต่พระโคดม หม่อมฉันเป็นผู้ที่พระองค์ทรงให้เกิดแล้ว ข้าแต่พระสุคต พระรูปกายของพระองค์นี้ อันหม่อมฉันเคยฟูมฟักให้เจริญเติบใหญ่แล้วส่วนพระธรรมกายที่น่าเพลิดเพลินของหม่อมฉัน อันพระองค์ทรงฟูมฟักให้เจริญแล้ว"

      5) ในอัตถสันทัสกเถราปทาน พระอัตถสันทัสสกเถระกล่าวไว้ว่า "อนึ่ง พระพุทธเจ้าผู้ทรงแสดงธรรมกาย ซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งรัตนะทั้งสิ้น ชนทั้งหลายไม่สามารถจะให้กำเริบได้ใครเล่าเห็นแล้วจะไม่เลื่อมใส"

    จากหลักฐานธรรมกายที่กล่าวมานี้มีข้อสังเกตที่สำคัญ 3 ประการซึ่งสอดคล้องกับคำสอนของพระมงคลเทพมุนี พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำภาษีเจริญ ดังนี้

     1) การเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระตถาคตนั้นหมายเอา "การเป็นด้วยธรรมกาย" หรือการได้เข้าถึงพระธรรมกาย ไม่ใช่หมายเอากายมนุษย์หรือกายเนื้อ ดังที่พระสรภังคเถระกล่าวไว้ว่า "พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง 7 พระองค์ เสด็จอุบัติโดยธรรมกาย" หรือที่พระพุทธองค์ ตรัสว่า "ธรรมกายเป็นชื่อของตถาถต"

      2) จากสรภังคเถรคาถาที่ว่า พระพุทธเจ้าทั้ง 7 พระองค์ เสด็จอุบัติโดยธรรมกายแล้วทรงแสดงธรรม คือ อริยสัจ 4 นัยนี้ก็คือ การที่พระองค์ได้ตรัสรู้อริยสัจ 4 ด้วยธรรมกายแล้วจึงแสดงธรรมที่ได้ตรัสรู้ดังกล่าว ประเด็นนี้สอดคล้องกับคำสอนหลวงปู่วัดปากน้ำที่ว่า ธรรมกายนั้นเป็นผู้ตรัสรู้อริยสัจ 4 ได้แก่ รู้ทุกข์ รู้เหตุของทุกข์ หรือสมุทัย รู้ความดับทุกข์ หรือนิโรธ และรู้เหตุของความดับทุกข์ หรือมรรคมีองค์ 8

       3) ธรรมกายมีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน กล่าวคือ มีอยู่ในกายเนื้อของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ มีอยู่ในกายเนื้อของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย มีอยู่ในกายเนื้อของพระสาวกสาวิกาทุกรูป และมีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน ดังข้อความที่ว่า "พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายมีธรรมยิ่งใหญ่ มีธรรมกายมาก" และดังที่พระนางมหาปชาปตีโคตมีเถรีกล่าวว่า "พระธรรมกายที่น่าเพลิดเพลินของหม่อมฉัน อันพระองค์ทรงฟูมฟักให้เจริญแล้ว"

      ด้วยเหตุนี้พระสาวกที่ได้ตรัสรู้ตามพระพุทธองค์จึงมีคำเรียกว่าสาวกพุทธเจ้าบ้างอนุพุทธเจ้าบ้างสุตพุทธเจ้าบ้าง พหุสุตตพุทธเจ้าบ้าง หมายถึง ผู้ได้เข้าถึงพระพุทธเจ้าในตัวหรือเข้าถึงพระธรรมกายในตัวนั่นเอง

      4) ธรรมกายนั้นเป็นบ่อเกิดของรัตนะทั้งหลาย ดังที่พระอัตถสันทั กเถระกล่าวไว้ว่า "อนึ่ง พระพุทธเจ้าผู้ทรงแสดงธรรมกาย ซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งรัตนะทั้งสิ้น" คำว่ารัตนะในที่นี้ตามทัศนะของพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำนั้นหมายเอาพระรัตนตรัย เมื่อผู้ใดได้เข้าถึงพระธรรมกายซึ่งเป็น "พุทธรัตนะ" แล้ว ก็จะได้เข้าถึง "ธรรมรัตนะ" และ "สังฆรัตนะ" ด้วยเพราะรัตนะทั้งสามนี้อาศัยซึ่งกันและกันและรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน


5. อานุภาพของพระธรรมกาย
       พระธรรมกายที่อยู่ภายในตัวของมนุษย์ทุกคนนั้นมีอานุภาพมาก เมื่อเข้าถึงแล้วสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ที่กายมนุษย์ทั่วไปทำไม่ได้ เช่น ระลึกชาติหนหลังได้ หยั่งรู้ใจของผู้อื่นได้หยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ แก้ไขคนที่เจ็บป่วยให้หายได้ ไปนิพพานก็ได้ ไปนรกก็ได้สามารถไปช่วยคนที่ตกนรกได้ อานุภาพที่สำคัญที่สุดของพระธรรมกายคือ ช่วยกำจัดกิเลสในใจให้หมดสิ้นได้

       เรื่องอานุภาพของธรรมกายมีบันทึกไว้มากมาย ในที่นี้จะยกตัวอย่างเรื่องพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ผู้ได้เข้าถึงพระธรรมกายและได้ค้นพบวิชชาธรรมกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่หายสาบสูญไปหลังพุทธปรินิพพาน 500 ปี กลับคืนมาอีกครั้ง

         สมเด็จป๋าหรือสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปุ่น ปุณฺณสิริ) มเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 17 วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ได้บันทึกไว้ว่า...ครั้งหนึ่ง ผู้เขียน (สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ) ได้มาฉันเพลที่วัดปากน้ำ วันนั้นมีประชาชนมากร่วมใจถวายทานแด่พระภิกษุสามเณรทั้งวัดเป็นกรณีพิเศษ เมื่อทายกประเคนอาหารเรียบร้อยแล้ว มีพ่อค้าตลาดสำเพ็งผู้มั่งคั่งคนหนึ่งไปกราบและถามว่า "หลวงพ่อขอรับ วันนี้จะมีผู้บริจาคสร้างกุฏิเพื่อเจริญพระกัมมัฏฐานบ้างไหม" ชาวบ้านไม่น้อยกว่า 20 คน ที่นั่งใกล้ ๆ ได้ยินคำถามนั้น คิดว่าคงตั้งใจฟังคำตอบของหลวงพ่อ ต่างทอดสายตามองหลวงพ่อเพื่อฟังคำตอบ

       เวลานั้นผู้เขียนทั้งโกรธผู้ถาม ทั้งหนักใจแทนหลวงพ่อ และได้มองหน้าผู้ตอบหลวงพ่อมีดวงหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสหลับตาสัก 5 นาที ครั้นแล้วตอบทันทีว่า "มี" ผู้ถามได้ถามย้ำต่อไปว่ากี่หลัง ตอบว่า 2-3 หลัง และย้ำอีกว่าต้องได้แน่

       เวลานั้นผู้เขียนฉันภัตตาหารไม่มีรสโกรธผู้ถามว่า ช่างไม่มีอัธยาศัย คำถามเช่นนั้นเท่ากับเอาโคลนมาสาดรดหลวงพ่อ เมื่อต้องการทราบ ควรถามเฉพาะสองต่อสอง และโกรธหลวงพ่อว่า ช่างไม่มีปัญญาแก้ปัญหาเฉพาะหน้า คิดว่าทำไมนะ หลวงพ่อจึงไม่พูดว่า เวลานี้ยังไม่เป็นโอกาสที่จะพยากรณ์คำถามนั้น ที่ตอบออกไปว่า 2-3 หลังนั้น หมิ่นต่ออันตรายมากนักอาจเป็นคำพูดที่ฆ่าตนเองได้ ดาบของตนฆ่าตนเอง เวลานั้นก็เอาใจช่วยหลวงพ่อขอให้มีผู้บริจาคจริง ๆ เถิด เสร็จจากฉันของหวานแล้ว คำพยากรณ์ของหลวงพ่อก็ยังไม่ปรากฏเป็นความจริงขึ้น ผู้เขียนเรื่องนี้นั่งอยู่ด้วยความอึดอัดใจ นึกตำหนิท่านว่า ไม่รอบคอบพอ

        ได้เวลาอนุโมทนา มีคณะอุบาสกอุบาสิกากลุ่มหนึ่ง เข้ามากราบหลวงพ่อ บอกว่าศรัทธาจะสร้างกุฏิเล็ก ๆ อย่างที่หลวงพ่อสร้างไว้แล้วสัก 2-3 หลัง ประมาณราคา 3-4 ร้อยบาทต่อหนึ่งหลัง ขอให้หลวงพ่อช่วยจัดการให้ด้วย ตอนนี้หลวงพ่อไม่หัวเราะ ยิ้มน้อย ๆ พอสมควรแก่กาละ ครั้นแล้วหลวงพ่อเรียกตัวผู้ถามมาบอกว่า "ได้แล้วกุฏิกัมมัฏฐาน 3 หลัง เจ้าของนั่งอยู่นี่" แล้วท่านชี้มือไปยังเจ้าภาพผู้บริจาค ผู้ถามได้กระโดดเข้าไปกราบที่ตักหลวงพ่อพูดว่า "ยิ่งกว่าตาเห็น" ผู้เขียนดีใจจนเหงื่อแตก ที่ความจริงมากู้เกียรติของหลวงพ่อไว้ได้

       เกรงว่าจะเป็นลูกไม้จึงหาโอกาสนทนากับผู้บริจาคว่า "นัดกับหลวงพ่อไว้หรือว่าจะสร้างกุฏิถวาย" ได้รับคำตอบว่า "พึ่งคิดเมื่อมาทำบุญวันนี้เอง เดินมาเห็นกุฏิเล็ก ๆ สวยดี อยากจะสร้างบ้าง แต่ทุนไม่พอ จึงปรึกษากับพวกพ้องที่บังเอิญมาพบกันวันนี้เห็นดีร่วมกัน จึงได้มอบเงินแก่หลวงพ่อให้จัดการสร้างต่อไป" นี่เป็นเรื่องก่อน งครามโลกครั้งที่ 2 ร่วม 20 ปี

      เมื่ออุบาสกอุบาสิกากลับหมดแล้ว ผู้เขียนจึงได้พูดกับหลวงพ่อต่อไป เบื้องต้นยกย่องว่าหลวงพ่อพยากรณ์แม่นเหมือนตาเห็น แต่น่ากลัวอันตราย ไม่ควรตอบในเวลานั้น ควรจะบอก เฉพาะตัวหรือสองต่อสอง หลวงพ่อถามว่าอันตรายอย่างไร จึงเรียนท่านว่า ถ้าไม่เป็นความจริงดังคำพยากรณ์ ชาวบ้านจะเสื่อมศรัทธา หลวงพ่อพูดว่า "เรามันเซอะ พระพุทธศาสนาเก๊ได้หรือธรรมของพระพุทธเจ้าต้องจริง ธรรมกายไม่เคยหลอกลวงใคร" เมื่อได้ยินดังนั้นก็จำต้องนิ่ง และไม่คิดจะถามความเห็นอะไรต่อไป

        สมเด็จป๋าเองก็เคยได้รับคำพยากรณ์จากพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำฯ เหมือนกันคือเมื่อครั้งที่ท่านยังดำรงสมณศักดิ์ที่พระธรรมดิลกว่า จะได้เป็นใหญ่ในหมู่สงฆ์ แต่ไม่มีใครเชื่อ เพราะว่ามีพระมหาเถระรูปอื่นที่ควรจะได้เป็นสังฆราชก่อนท่านตามลำดับสมณศักดิ์ แต่ใน พ.ศ. 2515 หลังจากที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ มรณภาพไปแล้ว 13 ปี มเด็จป๋าก็ได้เป็นสังฆราชจริง ๆ

      เมื่อสมเด็จป๋าเสด็จมาถวายเครื่องสักการบูชาแด่พระเดชพระคุณหลวงปู่ที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ในวันที่ 8สิงหาคม พ.ศ. 2515 ท่านได้ประทานโอวาทไว้ว่า "ที่มาวันนี้ก็เพื่อจะถวายสักการะหลวงพ่อ ด้วยความตั้งใจของหลวงพ่อที่เคยได้พูดไว้อย่างไร และความตั้งใจของหลวงพ่อนั้นก็ปรากฎตามที่หลวงพ่อได้พยากรณ์ ซึ่งขณะนี้ก็ได้เป็นพระผู้ใหญ่สูงสุดในณะสงฆ์สมความปรารถนาของหลวงพ่อแล้ว จึงได้นำสักการะมาถวายหลวงพ่อเป็นกรณีพิเศษแปลกกว่าปีก่อน ๆ นั้น"

      นี้คืออานุภาพโดยย่อของพระธรรมกายซึ่งนักศึกษาสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในหนังสือสมเด็จป๋าเล่าเรื่องหลวงพ่อวัดปากน้ำ หรือหนังสือเล่มอื่น ๆ อีกหลายเล่ม บุคคลใดก็ตามที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมจนเข้าถึงพระธรรมกายในตัวได้ก็จะเป็นผู้มีอานุภาพดังได้ยกตัวอย่างมานี้ในสมัยพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำฯ นั้น มีผู้ที่ได้เข้าถึงพระธรรมกายกันจำนวนมาก

 

 

*----------------------------------------------------------------------------------------------------------*
หนังสือ PD 004 คู่มือพุทธมามกะ
หนังสือเรียน หลักสูตร Pre-Degree

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0011117021242778 Mins