เมื่อศีลธรรมบังเกิดขึ้น สิ่งดีๆ จะหวนคืนมา
เมื่อประมาณสัก ๓๐ กว่าปีที่แล้ว หลวงพ่อได้ถามคำถามคุณยาย (หมายถึงคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง) และท่านก็ตอบในตอนนั้น หลวงพ่อฟังแล้าก็ไม่ได้คิดอะไรพอถามเสร็จท่านก็นิ่งเข้าที่หลับตาไม่ถึง ๕ นาทีแล้าก็ตอบ ก็ฟังไปอย่างนั้น แต่ว่าเมื่อสองสามวันนี้ไปอ่านในพระไตรปีฎถที่จะนำมาเทศน์ออกอากาศ มันอัศจรรย์์ใจว่า สิ่งที่คุณยายพูดนั้นบังเอิญไปตรงกับสิ่งที่พระสัมมาสัมทุทธเจ้าท่านสอนภิกษุ เมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปีที่แล้ว
เรื่องก็มีอยู่ว่า ในสมัยอยู่ที่บ้านกัลยาณมิตรหมายเลข ๑ เคยถามคุณยายว่า "ยาย ทำไมพระธาตุดอยสุเทพเดี๋ยวนี้ถึงไม่ศักดิ้สิทธิ์เหมือนสมัยก่อน สมัยก่อนใครไปพลอดรักกันที่นั่นชักตาตั้งกันตรงนั้นเลย เดี๋ยวนี้มีเยอะแยะไปหมดเลย จนมีที่หลบมุมเยอะ มันไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย" ท่านก็นั่งเข้าที่ไปสักไม่ถึง ๕ นาที ท่านก็ตอบว่า "ยามใดที่มนุษย์ขาดศีลธรรม ยักษ์และเทวดาที่เฝ้าสถานอารามศักดิ์สิทธิ์ เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ก็พลอยเสื่อมศีลธรรมไปด้วยแล้วก็ละทิ้งหน้าที่" ยายท่านก็ตอบอย่างนี้ ฟังแล้วก็รูสึกว่าแปลกดี แต่ก็ยังไม่ได้มีความรู้สึกอะไร
ต่อมาหลวงพ่อได้อ่านพบในพระไตรปิฎกว่า สมัยหนึ่งประชาชนขาดศีลธรรม เพราะผู้ปกครองมีโทสจริตไม่ได้พินิจพิจารณาอะไรเสียก่อน แล้วก็สั่งการไล่นักบวชออกนอกประเทศ เพราะเรื่องมีอยู่ว่า มีวิทยาธรตนหนึ่งมีฤทธิ์เหาะได้ พอเหาะไปเห็นมเหสีชองพระราชาก็เกิดจิตปฏิพัทธ์ แล้วเหาะไปตอนพระราชาไม่อยู่ ก็บังคับมเหสี วันรุ่งขึ้นมเหสีก็เล่าให้พระราชาฟังว่า ตัวเองทำอะไรไม่ได้ เหมือนถูกบังคับ เป็นอย่างนี้ถึง ๒ ครั้ง เสร็จแล้ววิทยาธรก็ไปยืนท่าเป็นบำเพ็ญตบะอยู่ในสวนแห่งหนึ่งในพระนคร พระราชาเข้าใจว่าผู้ที่ขึ้นมาได้ต้องเป็นนักบวชที่มีฤทธิ้ เพราะฉะนั้นก็เลยรังเกียจนักบวชทั้งหมด รังเกียจก็เลยไล่ออกไปจากพระนคร
เมื่อนักบวชออกไปจากพระนครทั้งหมด ประชาชนก็ชาดที่พึ่งทางใจ ที่เคยถือศีลก็ละศีล แล้วค่อยๆ ทุศีลไปทีละข้อ บัานเมีองก็โกลาหลกันเป็นการใหญ่ จนกระทั้งร้อนไปถึงท้าวสักกเทวราช พระอินทร์ท่านก็เสด็จลงมายืนอยู่กลางอากาศ แล้วก็บอกความจริงให้แก่พระราชาทราบว่า นักบวชไม่ได้เลวทั้งหมด นั่นเป็นเพราะวิทยาธรเขามีฤทธิ์ด้วยเวทมนตร์ แต่การกระทำตรงนั้นไม่ใช่นักบวชผู้มีศีลทั้งหลายที่พระราชาเคยเคารพกราบไหว้บูชา ท่านก็ไปนิมนต์ให้นักบวชทั้งหลายนั้นกลับคืนสู่พระนคร บัานเมืองก็อยู่เย็นเป็นสุข ฝนตกต้องตามฤดูกาล มนุษย์ก็ยิ้มแย้มแจ่มใสเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน
เพราะฉะนั้น เรื่องที่เราท่าที่ผ่านมาเมื่อรันที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๔ ไม่ใช่เรื่องเล็กๆน้อยๆธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่รวมประชุมแห่งความรู้อันบริสุทธิ์ที่จะนำสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ไปสู่สวรรค์นิพพาน ผู้ที่ทรงจำรักษาไว้คือพระเณร เพราะฉะนั้นพระเณรจึงเป็นห้วใจของโลกและจ้กรวาล ฆราวาสมีเวลาน้อยในการที่จะมาศึกษาธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะต้องทำมาหากิน หาเลี้ยงชีพ เพราะฉะนั้นก็จะได้ใช้โอกาสว่างมาศึกษาธรรมะจากพระจากเณรเพื่อที่จะได้นำไปปฏิบัติ หรืออย่างน้อยเห็นอากัปกิริยาของพระเณรเป็นที่น่าเลื่อมใส ก็เกิดแรงบันดาลใจอยากจะทำความดี และเมื่อศีลธรรมบังเกิดขึ้นในสังคมและขยายไปทั่วประเทศ สิ่งที่ดี ๆ ก็จะหวนคืนมาอีกครั้งหนึ่ง
เพราะฉะนั้น การที่เราทำบุญที่ผ่านมาถวายจีวรแสนผืนอย่างนี้ ถวายภัตตาหารให้เป็นกำลังของท่านเพื่อเอาไปศึกษาธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและก็ถวายทุนการศึกษา นั้นคือการสนับสนุนให้หัวใจของโลกได้อยู่คู่โลก เพื่อใหัเป็นที่พึ่งทางใจ และเป็นแหล่งกำเนิดแห่งความรู้ที่จะนำมนุษย์ทั้งหลายไปสู่สวรรค์นิพพาน ดังนั้นสิ่งที่เราทำเป็นสิ่งที่สำคัญทีเดียว ให้นึกถึงบุญเอาไว้ให้ดีให้ทำความปลื้มปีติในสิ่งที่เราทำไว้ แล้วก็ปีติเพราะพระเณรมาชุมนุมกันมาก ๆขนาดนี้
ถ้าใครไม่เคยอ่านในพระไตรปิฎก ก็ยังไม่ทราบว่าพระแท้ เณรแท้ควรจะเป็นอย่างไร มาใหม่เห็นอย่างนั้นก็ชื่นใจ แม้พวกเราได้เห็นเป็นครั้งที่สองก็ยังชื่นใจ แต่ยังมีสิ่งที่จะต้องพัฒนากันต่อไปให้มันดียิ่งๆ ขึ้น จนกระทั่งพระเณรท่านเกิดความปีติและภาคภูมิใจในตัวของท่าน รู้่สึกทั้งรักทั้งเคารพตัวท่านว่า มีแต่สิ่งที่ดีงามตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่ใด เห็นตัวเองทำแต่ความดีทั้งความคิด คำ พูด และการกระทำก็ปลื้มใจ แม้อยู่ตามลำพังก็ปลื้มใจ เราถึงจะบรรลุวัตถุประสงค์
ถ้าถึง ณ จุดตรงที่ท่านปีติภาคภูมิใจที่ตัวของท่านเองทำความดีเป็นอัตโนมัติ เราจะมีความชื่นบานเหมือนพระเจ้าอโศกมหาราช เห็นสามเณรนิโครธเป็นเหตุให้ท่านวางศาสตราวุธและคิดที่จะเคารพนับถือพระพุทธศาสนาจนกระทั่งได้เป็นพุทธมามกะ ได้สร้างเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ทั่วประเทศและกระทั่งถึงขนาดเป็นญาติของพระศาสนา ให้พระราชโอรส พระราชธิดาออกบวชเป็นพระเป็นเณร จนได้บรรลุมรรคผลนิพพาน
ถ้าภิกษุสามเณรเป็นอย่างนั้น สิ่งนี้จะเกิดขึ้นในใจของทุกๆ คนที่แม้ไม่เคยรู้จักพระพุทธศาสนาเลยก็เลื่อมใส ความเลื่อมใสนำมาสู่การเข้าใกล้พระรัตนตรัย ได้ศึกษาและฝึกฝน จนกระทั่งได้มีประสบการณ์ภายในไม่ใช่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เลยที่เราทำอยู่ ถ้าไปเทียบในโลกในหลายร้อยประเทศ ย้งไม่เคยมีใครชุมนุมนักบวชได้มากขนาดนี้ เพราะฉะนั้นแม้เพียงหนี้งบาทที่ทำในวันนี้ก็มีอานิสงส์ยิ่งใหญ่ปิดประดตูอบายภูมิเพียงบาทเดียวที่ถวายเป็นสังฆทาน ที่มีพุทธปฏิมากรเป็นตัวแทนพระสัมมาส้มพุทธเจ้า มีอานิสงส์ใหญ่มากขนาดนั้น
นอกจากนี้ อานิสงส์ที่เราทำบุญด้วยจีวร นอกจากจะได้บริขารลอยมาครอบคลุมตัว แล้วห่มตัวของเรา เมื่อวันบรรลุมรรคผลนิพพานแล้ว ทุกชาติผ้าจะไม่มีขาดแคลนเลย จะได้ผ้าที่ประณีต ผิวพรรณวรรณะจะผุดผ่อง ผ่องใสเหมือนมีแสงเรือง ๆ ออกมาทีเดียว จิตใจจะเบิกบาน จะแช่มชื่น พูดง่ายๆว่าทุกข์ ไม่เป็น จะมีแต่สุขล้วนๆ เรื่อยไป ตั้งแต่สุขเล็กสุขน้อย สุขปานกลางจนกระทั่งสงสุขอันยิ่งใหญ่ แล้วเรื่องไม่ดีจะไม่ได้เห็น จะไม่ได้ยินไม่เข้าใกล้เราเลย มีแต่ของดีๆ มีสิริมงคลต่างๆ ทั้งคน สัตว์ สิ่งของดีๆ ที่ทำให้เราเบิกบานใจเข้ามาใกล้ สมบัติใช้เท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมดสิ้น และยิ่งถวายภัตตาหารครั้งเดียวเป็นแสนรูปอย่างนี้ นึกแล้วน่าชื่นใจ เพราะฉะนั้นขอให้ชื่นใจก้นให้ดีในสิ่งที่เราทำมา.
จากหนังสือ แม่บท เดินทางข้ามวัฏสงสาร
วันอาทิตย์ที ๒๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๔