อิสรภาพที่แท้จริง
“…เมื่อไปถึงที่สุดของตัวได้ละก็ รักษาตัวได้เป็นอิสระไม่มีใครมาบังคับบัญชา...”
คำว่า “อิสรภาพ” (Autonomy) พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒ ๕๔๒ ให้ความหมายไว้ว่า หมายถึงความเป็นใหญ่, ความเป็นไทแก่ตัว, การปกครองตนเอง
อิสรภาพเป็นสิ่งที่มนุษย์ทั้งหลายล้วนปรารถนา ไม่มีใครอยากถูกลิดรอนอิสรภาพ ถ้าใครตกเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลย ก็จะต้องดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อหาทางประกันตัวออกมา ไม่อยากถูกคุมขังแม้เพียงคืนเดียว ด้วยเหตุนี้ทำให้ในปัจจุบันมีการประกันภัยชนิดหนึ่งเกิดขึ้น เพื่อเป็นทางเลือกและให้ความสะดวกแก่ประชาชนชื่อว่า “ประกันภัยอิสรภาพ” ซึ่งผู้เอาประกันสามารถใช้หนังสือรับรองจากบริษัทประกันไปยื่นแก่เจ้าพนักงาน เพื่อใช้ประกันตัวโดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์อื่นใด
ที่จริงแล้วแม้เราจะไม่ได้ถูกคุมขังอยู่ที่สถานีตำรวจหรือในเรือนจำก็ตาม อิสรภาพที่แท้จริงใด ๆ สำหรับมนุษย์ก็ไม่เคยมีอยู่จริง เพราะไม่เคยมีใครปกครองตนเองได้อย่างแท้จริง เรายังไม่สามารถเอาชนะความแก่ ความเจ็บ ความตาย ที่ทำให้เรามีความทุกข์ได้ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไม่เคยละเว้นใครไม่เคยมีใครใช้หลักทรัพย์ไปไถ่ถอนตัวเองออกมาจากความแก่ ความเจ็บ ความตายได้ ที่สำคัญมนุษย์ทั่วไปไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ศัตรูที่แท้จริงที่คุมขังตัวเอง ที่ส่งความแก่ความเจ็บ ความตายมาให้ คือใคร อยู่ที่ไหน หน้าตาเป็นอย่างไร
เรื่องนี้ พระเดชพระคุณหลวงปู่ท่านกล่าวไว้ว่าความเดือดร้อนใด ๆ ในชีวิตล้วนเกิดจาก
“…มารส่งฤทธิ์ ส่งเดช ส่งอำนาจ ส่งวิชชาที่ศักดิ์สิทธิ์มาบังคับ บังคับบัญชาให้เป็นไป...”
“…พญามารมาบังคับใช้สอยเป็นบ่าวเป็นทาสเขาเขาจะใช้ทำอะไรก็ได้ ให้ด่า ให้ตี ให้ชก ให้ฆ่า ให้ฟันแทงใครก็ได้ มารบังคับ มันบังคับได้อย่างนี้เชียวนะ ให้เป็นบ่าวเป็นทาสเขา ให้เลวทรามต่ำช้า ให้เป็นคนจน อนาถาติดขัดทุกสิ่งทุกอย่าง... ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะตัวไม่ยินดีสละในตัวเพราะตัวไม่เป็นใหญ่ในตัว เพราะตัวไม่รู้จักที่สุดของตัว...”
“…เหมือนความแก่ดังนี้ เราไม่ปรารถนาเลย เขาก็ส่งความแก่มาให้ เราก็ต้องรบอ้ายความแก่นั้นแหละ ความเจ็บล่ะ เราไม่ปรารถนาความเจ็บ เขาก็ส่งความเจ็บมาให้ ความตายล่ะ เราไม่ปรารถนาเลย เขาก็ส่งความตายมาให้ เพราะเหตุไร เพราะเหตุว่าตัวเองไม่เป็นใหญ่ด้วยตัวของตัวเอง คนอื่นเขามาปกครอง...”
แต่ถ้าใครได้ศึกษาวิชชาธรรมกาย ก็จะสามารถเห็นผู้ที่คอยบังคับบัญชาปกครองมนุษย์อยู่ ดังคำกล่าวของท่านที่ว่า
“…มารปล่อยสายมาปกครองมนุษย์ มนุษย์ตกเป็นบ่าวเป็นทาสของโลภะ โทสะ โมหะ (ผลที่ได้คือความเสียหาย) มีแก่ มีเจ็บ มีตาย เช่น สงคราม*ที่แล้วมาเกิดจากโลภะ คือ ความโลภ เป็นเหตุทำให้คนเจ็บ คนตาย...”
“...ลูกชายหญิงมีความหลง โมหะ ว่าตัวเก่งแล้ว พ่อแม่ว่าไม่ได้ มีโทสะ โมโห โต้เถียงไม่กลัวเกรง ที่เป็นเช่นนี้เพราะนายโลภะ โทสะ โมหะเขาปกครอง เขาสั่งให้ทำเช่นนั้น เอาบ้านเมืองมาล่อ เอาความเจ็บความตายมาให้ ปราบมารเหล่านี้เสียได้ มนุษย์จะได้อยู่เป็นสุข มารเหมือนผีเที่ยวสิง บังคับให้เป็นไปตามคำสั่งของเขา เราต้องเข้าวิชชาธรรมกายจึงรู้เห็นหมด...”
สำหรับผู้ปรารถนาอิสรภาพ พระเดชพระคุณหลวงปู่ชี้ทางเอาไว้ดังนี้
“…ให้เอาใจจรดจี้ตัวของตัว กลับให้เข้าถึงกายทิพย์ให้ได้ว่ากายที่สุดของตนอยู่ที่ไหน เมื่อไปถึงที่สุดของตัวได้ละก็ รักษาตัวได้เป็นอิสระ ไม่มีใครมาบังคับบัญชา ถ้ายังไม่ถึงที่สุดของตัวแล้ว หวานเลย เขาจะต้องบังคับบัญชาแกท่าเดียวเท่านั้นแหละ แกจะต้องเป็นบ่าวเป็นทาสของเขา...”
“…เมื่อปรากฏรู้ตัวว่าเป็นทาสพญามารอยู่เช่นนี้ ก็ต้องช่วยรีบเปลื้องตัว ต้องรีบพยายามแก้ตัว ถ้ารีบพยายามแก้ตัวให้พ้นไปเสียได้ ก็จะไม่ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย...”
อันที่จริงแล้ว กรงที่คุมขังมนุษย์และสรรพสัตว์แต่ละชีวิตนั้นมีหลายกรงหลายขนาด หลายรูปแบบ หลายมิติและมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น
แต่…ขึ้นชื่อว่ากรง ไม่ว่าจะเป็นกรงชนิดใดก็ตาม ล้วนทำให้เราขาดความเป็นตัวของตัวเอง ล้วนแต่ยึดเอาอิสรภาพของเราไป และหยิบยื่นความทุกข์ ความอึดอัดขัดข้องใจมาให้เราทั้งสิ้น
ถ้าหากเรามีความตั้งใจจริงที่จะปลดปล่อยตนเองไปสู่หนทางแห่งอิสรภาพ เราก็ทำได้ด้วยการทำสมาธิภาวนา ดำเนินจิตเข้าสู่หนทางภายใน ตามคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงปู่ โดยเริ่มต้นอย่างจริงจังตั้งแต่วันนี้ แล้วสักวันหนึ่งเราจะหลุดพ้นจากพันธนาการของพญามาร ซึ่งใช้โลภะ โทสะ โมหะ มาคุมขังเราบังคับให้เราทำตามอำนาจของกิเลส ทำให้เราต้องทนทุกข์ทรมานมาเนิ่นนานและเป็นวัฏจักรที่มิรู้จบสิ้น และวันนั้น...จะเป็นวันที่เราได้รับอิสรภาพที่แท้จริงตลอดไป
จากหนังสือ คำสอนหลวงปู่ สู่โลกปัจจุบัน