หน้าฉาก
หลังฉาก
ฉากหลัง
“...ถ้าบังคับฉากหลังได้ล่ะก็ ก็เลิกเป็นบ่าวเป็นทาสเขามันก็เป็นเจ้าเป็นนายเขาบ้าง นี่เป็นชั้น ๆ นะ...เราจะต้องเริ่มต้นในชาตินี้ทีเดียว เรารอไว้ไม่ได้ ถ้าว่าชาตินี้ยังไม่รู้ฉากหลังยังไม่พบฉากหลัง เราจะต้องยอมตาย...”
คงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าจะกล่าวว่าบรรดาสรรพสิ่งที่พบเห็นกันอยู่โดยทั่วไปรวมทั้งมนุษย์ มักจะมีหน้าฉากและหลังฉากที่ต่างกันราวขาวกับดำ คือ หน้าฉากเป็นอย่างไรไม่ได้หมายความว่าหลังฉากจะเป็นอย่างนั้นเสมอไป
ดังเช่น เรื่องราวหน้าฉากบนเวทีละครที่ดำเนินไปอย่างราบรื่น สวยงาม ดูดีและสมบูรณ์แบบ ล้วนเกิดจากหลังฉากที่ผู้คนหลายสิบชีวิตทุ่มเททั้งกำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์ กำลังสติปัญญา ฟันฝ่าปัญหาและอุปสรรคมากมาย เพื่อให้การแสดงสัมฤทธิ์ผลตามเป้าที่ตั้งไว้ เช่น ตัวละครสามารถตีบทแตก ทำให้ผู้ชมเชื่อว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเป็นเรื่องจริงสามารถสร้างความบันเทิงและสร้างโลกแห่งความฝันที่ผู้ชมปรารถนาเพื่อผ่อนคลายความเครียดจากชีวิตจริง และสอนบทเรียนชีวิตในแง่มุมต่าง ๆ
หน้าฉาก : มีตัวละครผลัดกันออกมาสวมบทบาทต่าง ๆ ตามเรื่องราวที่ผู้ประพันธ์สร้างขึ้น
หลังฉาก : มีผู้กำกับการแสดงคอยควบคุมผู้แสดงให้แสดงสมบทบาทที่กำหนดไว้และจัดองค์ประกอบต่าง ๆ ของละครให้มีความสมจริง
ในชีวิตจริงของมนุษย์นอกจากมีหลังฉากและหน้าฉากแล้วยังมีอีกฉากหนึ่งที่พระเดชพระคุณหลวงปู่เรียกว่า “ฉากหลัง” ฉากหลังในที่นี้ไม่ใช่ฉากหลังที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า background แต่เป็นฉากหลังที่อยากจะเรียกว่า blackground มากกว่าเพราะเป็นฉากที่ทำให้ชีวิตและจิตใจมืดมน ฉากหลังนี้เป็นผู้กำกับหน้าฉากและหลังฉากอีกชั้นหนึ่ง
ฉากหลังคืออะไร?
พระเดชพระคุณหลวงปู่กล่าวถึงฉากหลังไว้ว่าเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์มาก จะบังคับให้มนุษย์ทำอย่างไรก็ได้
“...ฉากหลังเป็นตัวสำคัญให้เป็นมนุษย์อยู่ หญิงก็ดี ชายก็ดี ให้เป็นคนชั้นสูง เป็นคนประณีตก็ได้ ให้เป็นที่ไหว้ ที่เคารพ ที่บูชา ที่สักการะเขาทั้งหมดก็ได้ ให้เขาติเตียนนินทา ด่าแช่งก็ได้...เป็นมนุษย์คนหนึ่ง..เข้าไม่ถึงฉากหลังแล้วละก็ ตัวเองจะหนักใจแค่ไหน จะไม่สะดวกในใจแค่ไหน เพราะความเป็นอยู่ก็ไม่ใช่ของตัว ความดีความชั่วที่ตัวกระทำ เหล่านี้ไม่ใช่ของตัวทั้งนั้น ทำชั่วเขาจะให้ความดีก็ได้ ทำดีเขาจะให้ความชั่วก็ได้ เพราะฉากหลังไม่เป็นของตัวนี่...”
“...มนุษย์หญิงชายที่มานั่งมาฟังเทศน์อยู่นี่ ฉากหลังมี ฉากหลังกระซิบอยู่ข้างในนั้นแหละ ให้เทศน์เรื่องนั้น เรื่องนี้ ให้พูดอย่างนั้น อย่างนี้ผู้ฟังก็อยู่ข้างในเหมือนกัน กายมนุษย์ก็นั่งไป ไอ้ฉากหลังก็กระซิบไป ให้จำเท่านั้นจำเท่านี้...”
ฉากหลังเป็นสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้จัก แต่พระเดชพระคุณหลวงปู่ท่านรู้ ท่านเห็น และเมตตาบอกวิธีตรวจดูฉากหลังไว้ให้ และเตือนให้ทุกคนพยายามตรวจดูฉากหลังด้วยการทำสมาธิภาวนาอย่างต่อเนื่อง จะได้หลุดพ้นจากการบังคับบัญชาของฉากหลัง ไม่ต้องเป็นทาสอีกต่อไป
“...อย่าโกงตัวเอง อย่าดูถูกตัวเอง ให้อุตส่าห์พยายามตรวจฉากหลังของตัวให้สุดให้ได้ ถ้าไม่สุดฉากหลังของตัวละก็ ตัวก็เป็นบ่าวเป็นทาสเขาอยู่นั่น ไม่ต้องสงสัย...”
“...ทำเช่นนี้แล้ว พระพุทธเจ้าองค์ใดพบเข้า ก็จะยิ้มในพระทัยว่าเป็นคนฉลาด ถ้าเราไม่ทันฉากหลัง ถึงจะมีปัญญาแค่ไหน เขาก็ใช้เป็นบ่าวเป็นทาสป่นปี้...”
“...ดูฉากหลังใหญ่ ประพฤติทีเดียวทั้งวันทั้งคืนเว้นไว้แต่หลับเสียตื่นแล้วก็ไม่ได้รอท่า ทำให้สุดให้ได้ ไม่สุดไม่ยอมเป็นเด็ดขาด..ไม่กี่เดือน กี่ปีก็ตาย มนุษย์หมดทุกคนจะไปหรือไม่ไปล่ะ? ไม่ไปก็ตาย ไปดีกว่าไม่ไปไอ้นั่นมันตายเปล่าหาหลักฐานไม่ได้ หากว่าไปได้ถึงแค่ไหนก็แล้วแต่นับชาติต่อ ๆ ไปอีก ไม่ถอยหลังกลับกัน...”
วิธีที่จะไปให้สุดฉากหลังท่านก็บอกไว้ดังนี้
“...เริ่มต้นให้ทาน ให้บริสุทธิ์ใจ เบิกบาน มีปัญญา ฉลาดเฉลียว/ รักษาศีลด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ทั้งศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ บริสุทธิ์ทั้งกายวาจา ใจ/ แก้ไขใจให้ใสสะอาด จะได้เห็นฉากหลังชัดขึ้นทุกที/ หมั่นตรึกอยู่ที่ศูนย์กลางกายทั้งวันทั้งคืน เว้นไว้แต่หลับไป มุ่งหมายให้ถึงฉากหลัง ใครจะชวนไปเที่ยว คุย ผิดทางไม่ทำ ถือว่าชวนไปเป็นทาส...”
ในละคร : หลังฉากมีผู้กำกับการแสดง ผู้กำกับเวที ผู้เขียนบทผู้จัดการฝ่ายธุรการ เจ้าหน้าที่เครื่องแต่งกายและแต่งหน้า ฯลฯ ประสานงานกันให้ตัวละครโลดแล่นไปตามบทบาทของตน
ในชีวิตจริง : ฉากหลังมีโลภะ โทสะ โมหะ กำกับการแสดงชีวิตของสรรพสัตว์ทุกยุคทุกสมัยให้โลดแล่นไปตามอำนาจกิเลส แม้นายโลภะ นายโทสะ นายโมหะจะใช้มุกเดิม ๆ ไม่มีอะไรสร้างสรรค์หรือแปลกใหม่ แต่ก็มีมนุษย์จำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่รู้ทันและหลุดพ้นจากการกำกับของฉากหลัง
แม้เราจะไม่เคยเห็นตัวจริงของนายโลภะ นายโทสะ นายโมหะแต่ทุกคนล้วนเคยเห็นและเคยเป็นนักแสดงที่กำกับการแสดงโดยนายโลภะ นายโทสะ นายโมหะ อยู่ทุกวี่วันในชีวิตจริง
ในขณะที่ผู้อื่นแสดง เรามักจะมองเห็นบทบาทของเขาได้ชัดเจนเหมือนดูละคร แต่เวลาแสดงด้วยตนเองเรามักไม่รู้ตัว ไม่ต่างอะไรกับคนเมา หากเมื่อใดรู้ตัว ก็อดไม่ได้ที่จะอเนจอนาถใจว่าถูกฉากหลังเชิดเสียยับเยิน ทำให้เสียชื่อเสียง เสียโอกาส เสียทรัพย์หรือสิ่งดี ๆ ไปมากมาย
อย่างไรก็ตาม คนที่รู้ตัวก็ยังมีความหวังที่จะหลุดพ้นได้เร็วกว่า ขอเพียงตั้งใจปรับปรุงแก้ไขตนเองอย่างจริงจัง โดยปรับบทบาทการแสดงของตนให้ตั้งอยู่ในศีล ในธรรม และหมั่นทำสมาธิภาวนา กลั่นแก้กาย วาจา ใจให้บริสุทธิ์มากขึ้นทุกวัน แม้จะยังไม่เห็นฉากหลัง ยังไม่หลุดพ้นจากการควบคุมของฉากหลัง และยังบังคับฉากหลังไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้มีปัญญา ที่ได้เริ่มต้นหาทางปลดปล่อยตนเองแล้วในชาตินี้
จากหนังสือ คำสอนหลวงปู่ สู่โลกปัจจุบัน