อานิสงส์การสวดมนต์
การสวดมนต์หรือสวดพระปริตรเป็นประจำ ย่อมส่งผลดีหลายประการ เมื่อเราได้สวดมนต์อยู่ทุกวัน ย่อมเกิดประโยชน์ ดังต่อไปนี้
๑. ได้ความเป็นสิริมงคล บางครั้งเราสวดเอง บางครั้งเราเป็นผู้ฟัง จุดประสงค์ก็เพื่อให้เกิดสิริมงคลแก่ชีวิตของเรา เช่น บทสวดมงคลสูตร จะทำให้เราเข้าในเรื่องมงคลในพุทธศาสนา ปฎิบัติตนตามหลักการดำเนินชีวิตจนประสบความสำเร็จในชีวิต นั่นแหละคือมงคลแห่งชีวิตของเรา
ธรรมะจะเป็นที่พึ่งของเราได้ก็ต่อเมื่อเรานำมาใช้ ถ้าไม่นำมาใช้หรือไม่ปฎิบัติตาม ธรรมะก็ไม่เกิดผล มนุษย์ทุกคนต้องการที่พึ่ง แต่ที่พึ่งแท้จริงก็คือพระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์
ส่วนที่พึ่งอื่นไม่สามารถช่วยเราได้
ทุกครั้งที่เราน้อมศีรษะก้มลงกราบต่อหน้าพระพุทธรูปนั้น ให้ทำความรู้สึกกว่าเรานั่งอยู่ต่อหน้าพระพุทธเจ้า ขณะเดียวกันความคิดฟุ้งซ่านวิตกกังวล สงบระงับลงไป
ความเป็นสิริมงคลก็จะเกิดในตอนนี้เอง
๒. ได้รักษาตนจากโรคภัย เช่น บทโพชฌงค์ที่มีประวัติในการรักษาคนป่วย ช่วยรักษาความเครียด ทำให้เราเกิดความสบายใจ เมื่อใจเราเป็นกุศลเพียงแค่การสวดมนต์ก็จะเกิดผลมหาศาล
หากเราทำดีมากพอ ความดีก็จะตอบสนองเราเองโดยไม่มีเงื่อนไข
การสวดมนต์หรือปฎิบัติธรรม เป็นสิ่งที่ควรทำเป็นอย่างยิ่งในชีวิตประจำวัน อย่ารอให้มีทุกข์แล้วค่อยปฏิบัติธรรม หรืออย่ารอให้เจ็บป่วยแล้วจึงนิมนต์พระมาสวดโพชฌงค์ให้ฟังเพื่อหายป่วยเพราะอาจเป็นการฟังครั้งสุดท้ายของเรา ทั้งที่รู้สึกดีและเสียดาย
เพราะถ้าไม่ได้สั่งสมบุญกุศลไว้มากเพียงพอ เมื่อกรรมส่งผลเราจะทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ถ้ามีกุศลสั่งสมไว้มากก็จะช่วยให้เราผ่านพ้นเรื่องราวร้ายๆ ต่างไปได้
ถึงจะบาดเจ็บบ้างแต่ก็ไม่ถึงตาย ยังมีใจให้เหลือไว้นึกถึงการสวดมนต์
๓. ได้ปลอดภัยจากศัตรู การสวดมนต์มีอานิสงส์ช่วยป้องกันภัยยันตรายได้ เช่น สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
สมเด็จโตได้เล่าให้ลูกสิษย์ฟังว่า ในสมัยที่เดินธุดงค์ในป่าอยู่ในเขตดงพญาไฟ ป่าในสมัยนั้นเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายและภูตผีวิญญาณ ตลอดจนชาวบ้านที่มีเวทมนตร์คาถา
ในช่วงนั้นท่านมิได้ศึกษาคาถาอาคมใดเลย นอกจากภาวนาคำว่า "พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจจามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ'' แปลว่า ''ข้าพเจ้าขอถึงพรพุทธเจ้าพระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่ง'' ไม่ว่าจะเดินทางไปที่แห่งใดท่านก็จะกล่าวเพียงคำนี้เป็นที่พึ่งตลอดเวลาเพื่อเป็นคาถาป้องกันภัย
วันหนึ่ง หลังจากได้รับถวายอาหารแล้ว ได้มีชาวบ้านผู้หนึ่งชื่อว่านายผลได้เข้ามาสนทนากับท่าน นายผลเป็นผู้มีวิชาอาคม และมักจะทดสอบเวทมนตร์คาถาของตนกับพระภิกษุที่เดินทางมาปักกลด ณ บริเวณนี้เป็นประจำ
นายผลเล่าด้วยความสงสัยว่า เขาได้ส่งอำนาจคุณไสยเข้ามาทำร้ายท่านทุกคืน โดยท่าอยู่หลายวัน ตลอดจนปลุกภูตผีวิญญาณเข้ามาทำร้าย เพื่อต้องการทดสอบว่าท่านจะมีวิชาอาคมแก่กล้าสามารถที่จะต่อสู้กับอำนาจคุณไสยของเขาได้หรือไม่ ไม่ได้หวังจะทำร้ายถึงตาย
แต่ปรากฏว่าสิ่งเหล่านั้น ไม่สามารถทำร้ายท่านได้เลย
ท่านจึงบอกว่าตัวท่านเองไม่ได้ศึกษาเวทมนตร์ใดๆ เพียงแต่ก่อนจะจำวัดทุกคืน ก็จะสวดคำว่า "พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉานิ'' จนจิตมีความสงบนิ่งแล้ว ก็จะแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลไปให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย แล้วก็จำวัดนอนตามปกติ
นายผลได้ฟังดังนั้น จึงได้บอกท่านว่า วันนี้ อยากจะทดสอบวิชาอีกครั้งเพื่อพิสูจน์ว่าการสวดมนต์ของท่านจะสามารถป้องกันภัยได้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพราะอำนาจเวทมนตร์คาถาเสื่อมกันแน่และขอร้องท่านว่า จงหยุดการสวดมนต์สัก ๑ คืน ได้หรือไม่ รับรองว่าจะไม่ทำอันตรายแก่ท่านอย่างเด็ดขาด
สมเด็จก็ตอบตกลงว่า คืนนี้จะไม่สวดมนต์
ครั้นถึงเวลาพลบคํ่า ท่านก็นอนโดยมิได้ทำการสวดมนต์ตามที่ได้รับปากไว้ เมื่อท่านนอนหลับไป มารู้สึกตัวอีกที เมื่อปรากฏว่าได้ยินเสียงกุกกักๆ ขึ้นมา จึงได้จุดเทียนส่องดู ได้พบตะขาบใหญ่ยาวเท่าขากำลังเลื้อยเข้ามาอยู่ใกลัตัวท่านมาก
ท่านรู้สึกตกใจ แต่ด้วยสัญชาตญาณจึงท่องบทสวดมนต์อย่างที่เคยสวด เป็นเวลานานแค่ไหนไม่ทราบ เสียงกุกกักและตะขาบที่อยู่ข้างหน้าก็อันตรธานหายไป จากนั้น ท่านจึงได้จำวัดนอนตามปกติ
ในวันรุ่งขึ้น นายผลก็มาหาท่านและได้ยอมรับว่า บัดนี้ตัวเขาเชื่อแล้วว่าอำนาจเวทมนตร์คาถาใดๆ มิอาจทำร้ายท่านได้ก็เพราะอำนาจการสวดมนต์ภาวนาของท่าน
นี้คืออานิสงส์แห่งการสวดมนต์ ที่ทำให้เราแคล้วคลาดปลอดภัย
บางครั้งเมื่อเราตกอยู่ในภาวะคับขันและอันตราย นึกอะไรไม่ออก ยกมือขึ้นเหนือหัว ก็นึกถึงพระที่ห้อยอยู่ที่คอย หรือนึกถึงพระสงฆ์ที่เคารพบูชา แล้วรอดปลอดภัยมาอย่างน่าอัศจรรย์ก็มี
๔. ได้ผ่อนคลายความตึงเครียด ผู้ที่จำบทสวดมนต์ได้นั้น นอกจากจะมีความจำดีแล้ว ยังแสดงว่ามีการบริหารหน่วยความจำในสมองได้อย่างเป็นระบบ เมื่อเกิดความเครียดหรือกังวล เราก็ผ่อนคลายด้วยการสวดมนต์บ้าง เดินจงกรมบ้างหามุมสงบๆ เพื่อนั้งสมาธิบ้าง จะทำให้เรารู้สึกสดชื่นขึ้นมา แทนการสูบบุรี่หรือดื่มเหล้าเพื่อระบายความเครียด
การได้บริหารสมองอย่างเป็นระบบและถูกวิธีจะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย
ทุกข์เกิดที่ใจต้องดับที่ใจ ไม่ใช่หาทางเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง
ความเครียดเกิดจากจิต ก็ต้องหาทางบริหารจิตให้ถูกวิธี ไม่ใช่หาทางออกด้วยการดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่
การสวดมนต์ภาวนา จึงเป็น Positive Thinking คือ การคิดในทางบวก คิดหาทางออกคิดในทางที่ดี ในสิ่งที่เป็นไปได้ไม่ใช่เพ้อฝันโดยไม่มีจุดหมาย เมื่อคิดดี พูดดี ทำดี ในขณะนั้น ย่อมเกิดผลดีต่อจิตโดยตรง
ไม่ใช่ Negative Thinking คือคิดในทางลบในทางที่เป็นไปไม่ได้ เห็นแต่ผลเสียซึ่งจะทำให้เกิดความท้อแท้เบื่อหน่ายเพราะคิดไปทางไหนก็จะเจอแต่ทางตัน ดังที่ดร.แอนดรู ไวลด์ แพทย์ชาวอเมริกัน กล่าวไว้ว่า
"ร่างกายรักษาตัวมันเองได้
หากเรารู้จักวิธีปฏิบัติตน''
๕. ได้บำเพ็ญภาวนา เมื่อเราทำวัตรทุกเช้า-เย็นและสวดมนต์ทุกวัน เป็นการสวดยกย่องความดีของทุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ เป็นการชำระจิตใจให้สงบไปในตัว ได้สติกัมปชัญญะ
ขณะสวด ใจก็อยู่กับบทสวดมนต์ เป็นวิธีทำใจให้สงบอีกแบบหนึ่ง
เมื่อตั้งใจสวดอย่างมีสติและมีสมาธิ ย่อมเกิดบุญที่แท้จริง คือ เป็นทานคือได้ให้ธรรมะทาน ได้อโหสิกรรมให้อภัยคนอื่นเป็นคีลคือการควบคุมกาย วาจาด้วยความเคารพต่อพระรัตนตรัย เป็นภาวนาคือสวดมนต์น้อมระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ไม่ให้หลงลืม มีสติอยู่กับบทสวด
เมื่อจิตใจอยู่กับบทสวดมนต์แบบต่อเนึ่อง เมื่อนั้นย่อมเกิดปีติ เกิดความสุข
ขณะนั้นต่อมเอ็นโดไครน์จะหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินหรือสารแห่งความสุขออกมา
นอกจากนี้ เมื่อจบการสวดมนต์แต่ละครั้ง เรายังได้เจริญภาวนาแผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายอย่างไม่มีขอบเขตไม่มีประมาณ ด้วยการอธิษฐานจิตขอให้ทุกชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข อย่าได้เบียดเบียนกันเลย
เมื่อทำเป็นประจำ เราจะรู้สึกว่าพระพุทธเจ้าอยู่ในใจเราเสมอ ทำให้เราตั้งมั่นอยู่กับการทำความดี
ขณะเดียวกันก็เป็นการถอยห่างจากความชั่วไปเรื่อยๆ
๖. ได้ศึกษาธรรมะ การสวดมนต์เป็นการศึกษาภาษาบาลีไปในตัว ธรรมะบางข้อเราเข้าใจรู้ได้จากบทสวดมนต์ เป็นการเจริญปัญญาบารมี
การสวดมนต์เป็นประจำจนรู้ความหมาย ย่อมจะทำให้เกิดแรงจูงใจในการศึกษาธรรมะมากขึ้น เพราะบางบทสวดได้แต่ไม่เข้าใจความหมาย พอรู้ว่าแปลอย่างนี้ ความหมายอย่างนี้ ยิ่งเกิดความสุขใจมากขึ้น มีกำลังใจในการสวดมนต์
และเมื่อสวดกันเป็นหมู่คณะด้วยความพร้อมเพรียงกัน เสียงก็จะดังก้องกังวานนุ่มนวลชวนให้เกิดความเลื่อมใสแก่คนที่เดินผ่านไปผ่านมาด้วย เทวดาได้ยินก็ชื่นชม แม้พรหมได้ยินก็สรรเสริญ
๗. ได้ลดละจากความชั่ว เป็นการทบทวนตักเตือนตนเองอยู่ตลอดเวลา หากเป็นพระสงฆ์ก็จะได้เตือนตนว่า เราประพฤติตนสมควรแก่การกราบไหว้แล้วหรือยัง เหมาะสมแก่การรับสักการะจากชาวบ้านหรือยัง
ชาวพุทธเองก็จะได้เตือนตัวเองว่า "เราได้ทำหน้าที่ชาวพุทธดีหรือยัง'' "เราได้สร้างที่พึ่งแล้วหรือยัง"
ถ้าเราแสวงหาแต่ที่พึ่งภายนอก แต่ไม่สร้างที่พึ่งภายใน
สุดท้าย เราก็จะไม่มีอะไรในชีวิตเลย
สอนให้เรารู้จักฝึกฝนพัฒนาตนเอง เพราะความพากเพียรพยายาม พุทธศาสนาสอนให้เราพึ่งตนเอง แสวงหาโชคด้วยตนเองไม่ต้องคอยวาสนาหรือโชคชะตาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์
การสวดมนต์มิใช่การอ้วนวอนเพื่อขอในสิ่งที่ปรารถนา
แต่เป็นการสวดเพื่อประกาศความดีและอานุภาพของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ เพื่อให้เรารู้ว่า หากได้ปฏิบัติตามที่พระองค์ทรงสอน
ย่อมได้ประสบสิ่งที่ดีมากกว่าที่ตั้งความปรารถนาไว้
เป็นความอัศจรรย์หรือปาฏิหาริย์แห่งการสวดมนต์อย่างแท้จริง
๘. ได้ส่งเสริมความสามัคคี การสวดมนต์เป็นกิจวัตรอย่างหนึ่งของพระสงฆ์ เป็นธรรมเนียมของชาวพุทธ เมื่อมีการสวดมนต์เป็นหมู่เป็นคณะ ยิ่งมีพลังแห่งความศักดิ์สิทธิ์ แสดงออกถึงความพร้อมเพรียงกันของชาวพุทธในการระลึกถึงพระพุทรเจ้า เมื่อได้สวดมนต์พร้อมเพรียงกัน เสียงมนต์ย่อมมีพลัง คนได้ฟังก็อยากเข้ามาสวดด้วย เสียงที่สวดประสานกัน ย่อมเกิดความไพเราะจับใจ เกิดปีติและความสุข
ดังพุทธดำรัสว่า
"สุขา สังฆัสสะ สามัคคี
ความพร้อมเพียงของหมู่คณะ
นำความสุขมาให้''
เมื่อเราทำอะไรด้วยความพร้อมเพรียงกันทั้งกายสามัคคีและจิตสามัคคี เมื่อนั้น ย่อมมีแต่ความเจริญไม่มีความเสื่อม หากแตกสามัคคีกันเมื่อใด ย่อมมีแต่ความแตกแยก ไม่มีความเจริญ ไม่มีความสุข ดังพระราชนิพนธ์ไนพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ว่า
อันชาติใดไร้รักสมัครสมาน จะทำการสิ่งใดก็ไร้ผล
แม้นชาติย่อยยับอับจน ประชาชนจะสุขอยู่อย่างไร
๙. ได้สร้างบารมีใหักับตัวเอง การทำวัตรสวดมนต์นั้นได้ส่งผลดีต่ออีกหลายคนที่กำลังกลุ้มใจหาทางออกไม่เจอ หรือกำลังทุกข์หนักเรื่องใดก็ตาม เมื่อจิตเราสงบเป็นกุศลไม่คิดอาฆาตเบียดเบียนใคร คิดแต่สิ่งที่ถูกต้องเป็นธรรม สวดมนต์และภาวนาเป็นประจำ ย่อมเกิดเหตุมหัศจรรย์กับชีวิตได้
ทุกครั้งที่เราสวดมนต์ ใจเราก็จะถูกขัดเกลาจนใสสะอาดบริสุทธิ์บุญก็เกิดขึ้นกับตัวเรา ใจก็เป็นมงคล ตัวเราก็เป็นสิริมงคลวิบากกรรมที่ติดมาข้ามภพข้ามชาติด้วยพลังของกุศลจิต ก็จะถูกกำจัดไปด้วยพลังแห่งบุญ
การสวดแม้จะใช้เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่นาที แต่มีอานุภาพมากมาย
ฉะนั้น ชาวพุทธจึงควรทำวัตรสวดมนต์ทุกเชัา-เย็นทุกวันการสวดมนต์ต้องสวดออกจากใจจึงจะน่าฟัง เสียงต้องไพเราะพร้อมเพรียงกัน จึงจะเกิดประโยชน์และอานิสงส์อย่างแท้จริง ต้องทำอย่างต่อเนื่องทุกวัน ไม่ใช่ทำแต่ในพรรษาหรือวันสำคัญเท่านั้น
ทำให้รู้สึกว่าขาดทำวัตรสวดมนต์ไม่ได้ จนกลายเป็นกิจวัตร