เรื่อง ปริศนามุกดาหาร
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี วันหนึ่ง พระองค์เสด็จไปสู่พระอุทยาน พร้อมบริวารเป็นอันมาก เสด็จเที่ยวไปในละแวกป่า แล้วทรงพระประสงค์จะทรงอุทกกีฬา จึงเสด็จลงสู่สระโบกขรณีอันเป็นมงคล รับสั่งเรียกนางในมา
พวกสตรีต่างก็เปลื้องอาภรณ์ ทั้งเครื่องประดับศีรษะและประดับคอ ใส่ในผ้าห่มวางไว้บนหีบ มอบให้ทาสีทั้งหลายรับไว้ แล้วพากันลงสู่โบกขรณี.
ครั้งนั้นนางลิงอยู่ในสวนตัวหนึ่ง นั่งเจ่าบนกิ่งไม้ เห็นพระเทวีทรงเปลื้องเครื่องประดับทรงใส่ไว้ในผ้าทรงสพัก แล้วทรงวางไว้หลังพระสมุค นึกอยากจะแต่งสร้อยมุกดาหารของพระนาง นั่งจ้องดูความเผลอเลอของนางทาสีอยู่ ฝ่ายนางทาสีผู้เฝ้า ก็มัวนั่งมองดูในที่นั้นอยู่ เลยง่วงหลับไป นางลิงรู้ว่านางทาสีประมาท จึงกระโดดลงโดยเร็วปานลมพัด สวดสวมสร้อยมุกดาหารใหญ่ที่คอ แล้วกระโดดขึ้นรวดเร็วปานลมเหมือนกัน กลับมานั่งบนกิ่งไม้ เพราะกลัวนางลิงตัวอื่นจะเห็น จึงซุกไว้ที่โพรงไม้แห่งหนึ่ง แสร้งทำเป็นสงบเสงี่ยม นั่งเฝ้าเครื่องประดับนั้นไว้
ฝ่ายนางทาสีนั้นเล่า ตื่นขึ้นไม่เห็นมุกดาหารก็ตัวสั่น ครั้นไม่เห็นอุบายอื่น จึงร้องตะโกนว่า คนแย่งมุกดาหารของพระเทวีหนีไปแล้ว
พวกที่เฝ้า ประชุมกันตามตำแหน่งต่างๆ ครั้นได้ยินคำของนาง ก็กราบทูลแด่พระราชา
พระราชารับสั่งว่า พวกท่านจงจับโจรให้ได้
พวกราชบุรุษทั้งหลายก็พากันออกจากพระราชอุทยาน กล่าวว่า พวกท่านจงจับโจร แล้วพากันแยกย้ายค้นหาในที่ต่างๆ
ขณะนั้น บุรุษผู้กระทำพลีกรรมชาวชนบทคนหนึ่ง ได้ยินเสียงนั้น ก็หวาดหวั่นวิ่งหนี พวกราชบุรุษเห็นเข้า ก็ไล่กวดตามไปพร้อมกล่าวว่า คนนี้เป็นโจร ครั้นจับเขาได้ จึงโบยตีพลางตวาดพลางว่า เฮ้ย ไอ้โจรชั่วเจ้ากล้าลักเครื่องประดับชื่อมหาสารอย่างนี้เทียวหรือ
เขาคิดว่าถ้าเราบอกว่า ฉันไม่ได้เอาไป วันนี้คงไม่อาจรอดชีวิตไปได้ พวกราชบุรุษคงโบยเราเรื่อยไปจนถึงตาย จำเราต้องรับ เขาจึงบอกว่า นายขอรับ กระผมนำไปเอง
ทีนั้นพวกราชบุรุษก็พากันมัดเขานำมาสู่สำนักพระราชา
พระราชาตรัสถามว่า เครื่องประดับมีค่ามาก เจ้าลักไปหรือ
ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพเป็นความจริงพระเจ้าข้า
บัดนี้ เครื่องประดับอยู่ที่ไหน ?
บุรุษนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ขึ้นชื่อว่าสิ่งที่มีค่ามาก แม้เตียงตั่งข้าพระองค์ก็ไม่เคยเห็น แต่ท่านเศรษฐีบอกให้ข้าพระองค์ลักเครื่องประดับมีค่ามากนั้น ข้าพระองค์จึงลักเอาไป แล้วมอบให้ท่านไป ท่านเศรษฐีนั่นแหละถึงจะรู้
พระราชารับสั่งให้หาท่านเศรษฐีมาเฝ้า รับสั่งถามว่า เครื่องประดับมีค่ามาก ท่านรับเอาจากมือคนนี้ไว้หรือ
เศรษฐีกราบทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พระเจ้าข้า
ท่านเอาไว้ที่ไหนเล่า
ให้ท่านปุโรหิตไปแล้วพระเจ้าข้า
รับสั่งให้เรียกปุโรหิตนั้นมาเฝ้า แล้วตรัสเช่นนั้นอีก
ถึงท่านปุโรหิตเองก็รับ แล้วกราบทูลว่า ข้าพระองค์ให้แก่คนธรรพ์ไปแล้ว
รับสั่งให้เรียกคนธรรพ์มาเฝ้า รับสั่งถามว่า เจ้ารับเอา เครื่องประดับมีค่ามากไปจากมือปุโรหิต หรือ
คนธรรพ์กราบทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พระเจ้าข้า
เจ้าเอาไว้ที่ไหน
ข้าพระองค์ให้แก่นางวัณณทาสีไปแล้ว เพราะอำนาจกิเลส พระเจ้าข้า
รับสั่งให้เรียกนางวัณณทาสีมาตรัสถาม
นางกราบทูลว่า กระหม่อมฉันมิได้รับไว้
เมื่อสอบถามคนทั้ง ๕ กว่าจะทั่ว ดวงอาทิตย์ก็อัษฎงคต พระราชารับสั่งว่า บัดนี้มืดค่ำเสียแล้ว เราจะรู้เรื่องในวันพรุ่งนี้ จึงมอบคนทั้ง ๕ เหล่านั้นแก่พวกอำมาตย์ แล้วเสด็จเข้าพระนคร.
ท่านอำมาตย์ดำริว่า เครื่องประดับนี้หายในวงภายใน ส่วนคฤหบดีเป็นคนภายนอก การเฝ้าประตูเล่าก็เข้มแข็ง เหตุนั้นแม้จะเป็นคนอยู่ข้างในลักเครื่องประดับนั้น ก็ไม่อาจหนีรอด เมื่อเป็นเช่นนี้ ลู่ทางที่คนข้างนอกจะลักก็ดี ที่คนรับใช้ในสวนจักลักก็ดี ไม่มีวี่แววเลย คำที่คนชนบทนี้กล่าวว่า ให้เศรษฐีไปแล้ว ต้องเป็นคำกล่าวเพื่อปลดเปลื้องตน ถึงที่เศรษฐีกล่าวว่าให้แก่ปุโรหิตเล่า ก็คงกล่าวเพราะคิดว่า พวกเราต้องร่วมกันสะสาง แม้ที่ท่านปุโรหิตกล่าวว่า ให้คนธรรพ์ไปแล้ว ก็คงกล่าวเพราะคิดว่า พวกเราต้องอาศัยคนธรรพ์ จักพากันอยู่สบายในเรือนจำ ที่คนธรรพ์พูดว่าให้นางวัณณทาสีไปแล้ว คงกล่าวเพราะคิดว่า พวกเราจักไม่ต้องเปลี่ยวเหงาอยู่ในที่คุมขัง แม้ทั้ง ๕ คนเหล่านี้ คงไม่ใช่โจรทั้งนั้น ในอุทยานมีลิงเป็นอันมาก อันเครื่องประดับคงตกอยู่ในมือนางลิงตัวหนึ่งเป็นแน่
ท่านอำมาตย์จึงเข้าเฝ้าพระราชากราบทูลว่า ข้าแต่มหาบพิตร ขอได้โปรดทรงพระกรุณามอบโจรเหล่านั้นแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะชำระเรื่องนั้นเอง พระเจ้าข้า.
พระราชารับสั่งว่า ดีแล้วพ่อบัณฑิตเธอจงชำระเถิด แล้วทรงมอบคนเหล่านั้นแก่อำมาตย์
ท่านอำมาตย์ให้เรียกผู้รับใช้ของตนมา ให้คนทั้ง ๕ ไปอยู่ในที่แห่งเดียวกันทั้งหมดกระทำการควบคุมโดยสงบ สั่งให้แอบฟังว่าพวกนั้นพูดคำใดกันบ้าง เจ้าทั้งหลายจงบอกคำนั้นแก่เรา แล้วหลีกไป พวกคนเหล่านั้น ก็ได้กระทำอย่างนั้นแล้ว.
ครั้นถึงเวลาที่พวกมนุษย์สนทนากัน ท่านเศรษฐีกล่าวกะคฤหบดีนั้นว่า เฮ้ย ! ไอ้คฤหบดีชั่ว เจ้าเคยพบเราหรือเราเคยพบเจ้าหรือ เจ้าให้เครื่องประดับเราตั้งแต่เมื่อไร
คฤหบดีกล่าวว่าข้าแต่ท่านมหาเศรษฐีผู้เป็นเจ้านาย ผมไม่รู้จักสิ่งที่ชื่อว่า มหาสารจะเป็นเตียงตั่งที่มีเท้าทำด้วยแก่นไม้ ก็ไม่รู้จัก ที่ได้พูดอย่างนั้นเพราะคิดว่า จักอาศัยท่านได้ความรอดพ้น โปรดอย่าโกรธผมเลยขอรับ
แม้ปุโรหิตก็พูดกับเศรษฐีว่า ท่านให้เครื่องประดับที่คฤหบดีนี้มิได้ให้แก่ท่านเลย แก่เราได้อย่างไรกัน ?
ท่านเศรษฐีกล่าวว่า ข้าพเจ้ากล่าวไป เพราะคิดว่า เราทั้งสองเป็นคนใหญ่คนโต
ฝ่ายคนธรรพ์ก็กล่าวกะปุโรหิตว่า ดูก่อนพราหมณ์ท่านให้เครื่องประดับแก่ผม เมื่อไรกัน
ปุโรหิตกล่าวว่า ข้าพเจ้ากล่าวไป เพราะคิดว่า จักได้อาศัยท่านอยู่เป็นสุขในที่ที่ถูกคุมขัง
แม้นางวัณณทาสีกล่าวกะคนธรรพ์ว่า ไอ้คนร้าย คนธรรพ์ชาติชั่ว เราเคยไปหาเจ้า หรือเจ้าเคยมาหาเราตั้งแต่เมื่อไร เจ้าให้เครื่องประดับแก่เราเวลาไหน
คนธรรพ์กล่าวว่า น้องเอ๋ย เพราะเหตุไรจะต้องมาโกรธเคืองข้าพเจ้าด้วยเล่า เมื่อพวกเราทั้ง ๕ คนอยู่ร่วมกัน เรื่องเพศสัมพันธ์จักต้องมี อาศัยเจ้า พวกเราจักไม่ต้องหงอยเหงา อยู่ร่วมกันอย่างสบาย
อำมาตย์ฟังถ้อยคำนั้น จากคนที่จัดไว้ ทราบว่าพวกนั้นไม่ใช่โจรแน่นอน คิดว่า เครื่องประดับอาจเป็นนางลิงหยิบเอาไป ต้องหาวิธีให้มันโยนลงมาจงได้ แล้วทำเครื่องประดับสำเร็จด้วยยางไม้ ให้จับเหล่านางลิงในอุทยานแล้วให้แต่งเครื่องประดับยางไม้ ที่มือที่เท้า และที่คอ แล้วปล่อยไป
ส่วนนางลิงตัวที่เฝ้าเครื่องทรงอยู่ ก็นั่งอยู่ในอุทยานนั่นเอง
ท่านอำมาตย์สั่งคนทั้งหลายว่า พวกท่านพากันไปเถิด ตรวจดูฝูงนางลิงในอุทยานทุกตัว เห็นเครื่องทรงนั้นอยู่ที่ตัวใดจงทำให้มันตกใจ แล้วเอาเครื่องประดับมาให้จงได้
ฝูงนางลิงนั้นเล่า ก็พากันร่าเริงยินดีว่า พวกเราได้เครื่องแต่งตัวกันแล้ว ต่างก็วิ่งเที่ยวไปมาในอุทยาน จนมาถึงที่นางลิงนั้นอยู่ พากันกล่าวว่า จงดูเครื่องประดับของพวกเรา
นางลิงทนไม่ไหว คิดว่าเรื่องอะไรกับเครื่องประดับทำด้วยยางไม้นี้ แล้วแต่งเครื่องมุกดาหารมาอวด
ครั้งนั้นคนเหล่านั้นเห็นมันแล้ว ทำให้มันตกใจทิ้งเครื่องทรง แล้วนำมามอบให้ท่านอำมาตย์
ท่านอำมาตย์นำ เครื่องทรงนั้นไปถวายพระราชา กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ นี้เครื่องทรงของพระองค์ คนทั้ง ๕ นั้นมิใช่โจรแต่เครื่องทรงนี้ได้มาจากนางลิงในอุทยาน พระเจ้าข้า.
พระราชาตรัสถามว่า พ่อบัณฑิต ก็พ่อรู้ว่าเครื่องทรงนี้ตกอยู่ในมือนางลิงได้อย่างไร เอาคืนมาได้อย่างไร
ท่านอำมาตย์กราบทูลเรื่องทั้งหมดให้ทรงทราบ
พระราชาทรงดีพระทัย ตรัสชมเชย ท่านอำมาตย์ด้วยคาถาประพันธ์นี้ว่า
ยามคับขัน ย่อมปรารถนาผู้กล้าหาญ
ยามปรึกษาการงาน ย่อมปรารถนาคนไม่พูดพล่าม
ยามมีข้าวน้ำ ย่อมปรารถนาคนเป็นที่รักของตน
ยามต้องการเหตุผลย่อมปรารถนา บัณฑิต ดังนี้.
พระราชาตรัสพรรณนาชมเชยท่านอำมาตย์ ด้วยประการฉะนี้ ทรงบูชาด้วยรัตนะ ๗ ประการ ปานประหนึ่งมหาเมฆยังฝนลูกเห็บให้ตกฉะนั้น ดำรงพระองค์ในโอวาทของ ท่านอำมาตย์ ทรงบำเพ็ญบุญมีให้ทานเป็นต้น เสด็จไปตามยถากรรม แม้ท่านอำมาตย์ก็ไปตามยถากรรม.
Cr. ขุนพลไร้เงา
จบเรื่อง ปริศนามุกดาหาร
พบกันใหม่โอกาสหน้า