เรื่อง โจรเรียกค่าไถ่

วันที่ 12 กค. พ.ศ.2562


เรื่อง โจรเรียกค่าไถ่
           
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี มีพราหมณ์คนหนึ่งในบ้านตำบลหนึ่ง รู้มนต์ ชื่อเวทัพพะ. ได้ยินว่ามนต์นั้นหาค่ามิได้ ควรบูชายิ่งนัก เมื่อได้เวลาฤกษ์ เจ้าของมนต์ร่ายมนต์นั้น แหงนสูดอากาศแล้ว ฝนแก้ว ๗ ประการ ก็ตกลงมาจากอากาศ  ครั้งนั้นพราหมณ์นั้น มีมาณพผู้เป็นศิษย์อยู่คนหนึ่ง
อยู่มาวันหนึ่ง พราหมณ์ชวนมาณพ เดินทางไปสู่แคว้นเจตีด้วยกิจธุระบางประการ.
            ในระหว่างทางตอนที่เป็นป่าแห่งหนึ่ง มีพวกโจรที่เรียกว่า เปสนกโจร ประมาณ ๕๐๐ คน มั่วสุมกันคอยสกัดคนเดินทางอยู่. พวกโจรเหล่านั้น เห็นอาจารย์กับศิษย์เดินทางมา จึงจับทั้งสองไว้.
ธรรมดา พวกโจรเมื่อจับคนได้ ๒ คน จะปล่อยคนหนึ่งให้ไปเอาเงินมาถ่ายตัวอีกคน ด้วยเหตุนี้ คนทั้งหลายจึงเรียกว่า เปสนกโจร  พวกโจรเมื่อซุ่มอยู่บริเวณป่าแห่งหนึ่ง ถ้าจับพ่อกับลูกไปได้ ก็จะพูดกับพ่อว่าจงไปเอาทรัพย์มาให้เรา แล้วจึงรับลูกไป โดยทำนองนี้ ถ้าจับแม่กับลูกสาวได้ ก็ปล่อยแม่ไป จับพี่กับน้องได้ ก็ปล่อยพี่ไป จับอาจารย์กับลูกศิษย์ได้ ก็ปล่อยศิษย์ไป ในคราวนั้นก็เช่นเดียวกัน พวกมันจึงยึดตัว เวทัพพพราหมณ์ไว้ แล้วปล่อยมาณพผู้เป็นศิษย์ไป
            มาณพกราบอาจารย์แล้ว กล่าวเตือนว่า ผมจักไปสัก ๒ - ๓ วันเท่านั้น ท่านอาจารย์ ท่านอย่าหวาดหวั่นไปเลย อีกประการหนึ่ง โปรดกระทำตามคำของผมด้วยเถิด ในวันนี้จักมีฤกษ์อันจะให้ฝนคือทรัพย์ตกลงมา  ท่านอย่าไร้ความอดทนต่อความทุกข์ยาก อย่าร่ายมนต์ให้เงินทองไหลหลั่งลงมาเชียว หากท่านทำให้ฝนเงินฝนทองไหลหลั่งลงมา ตัวท่านเองจักถึงความย่อยยับ โจรทั้ง ๕๐๐ เหล่านี้ จักฆ่าท่านเสีย ครั้นเตือนอาจารย์อย่างนี้แล้ว ก็จากไปเพื่อเอาทรัพย์มา
            ฝ่ายพวกโจร พอพระอาทิตย์อัษฎงคตก็มัดพราหมณ์ให้นอนแซ่ว ขณะนั้นจันทมณฑลอันบริบูรณ์ ก็โผล่ขึ้นจากโลกธาตุด้านทิศปราจีน. พราหมณ์มองเห็นฤกษ์ คิดว่า ได้ฤกษ์ที่จะให้ฝนเงินฝนทองไหลหลั่งลงมาแล้ว ทำไมเราต้องเสวยทุกข์ยากอยู่เล่า ร่ายมนต์ให้ฝนแก้วตกลงมา เอาทรัพย์ให้พวกโจร แล้วก็จักเป็นอิสระไปได้ตามสบาย แล้วจึงเรียกพวกโจรมา แล้วถามว่า ดูก่อนโจรผู้เจริญ พวกท่านจับเราไว้ เพื่อต้องการอะไร 
            พวกโจรตอบว่า ต้องการทรัพย์
            ถ้าต้องการทรัพย์ ก็จงรีบแก้มัดเราโดยเร็ว ให้เราสนานศีรษะ นุ่งผู้ขาว ประพรมตนด้วยของหอม ประดับด้วยดอกไม้แล้วคุมเราไว้เถิด เราจะทำให้ทรัพย์เกิดขึ้นกับพวกท่าน
            พวกโจรฟังดังนั้นเชื่อถือคำของพราหมณ์จึงทำตามทุกประการ พราหมณ์รู้ฤกษ์แล้ว ก็ร่ายมนต์แหงนดูอากาศ ทันใดนั้นเอง แก้วทั้งหลายก็ร่วงพรูมาจากอากาศ  พวกโจรก็พากันกอบโกยเอาทรัพย์ รวบรวมใส่ในผ้าขาวม้าแล้วพากันนำไป  ส่วนเวทัพพพราหมณ์ก็ตามพวกมันไปข้างหลังด้วย
            ครั้งนั้น ก็มีโจรอีกพวก จำนวน ๕๐๐ เหมือนกันแต่มีกำลังกล้าแข็งกว่า พากันจับโจรเหล่านี้ไว้  โจรที่ถูกจับถามว่า ท่านทั้งหลายจับเราไว้ทำไม
            โจรอีกพวกตอบว่า พวกเราต้องการทรัพย์
            พวกโจรที่ถูกจับจึงบอกว่า ถ้าพวกท่านต้องการทรัพย์ ก็จงจับพราหมณ์นั้นไว้เถิด แกมองดูอากาศแล้ว ให้ทรัพย์ไหลหลั่งลงมาได้ ก็ทรัพย์ของเรานี้ แกให้ทั้งนั้นแหละ
            พวกโจรจึงปล่อยพวกโจรที่จับไว้ พลางคุมตัวพราหมณ์ไว้กล่าวว่า จงให้ทรัพย์แก่พวกเราบ้าง
            พราหมณ์กล่าวว่า ฉันต้องให้ทรัพย์แก่พวกท่านแน่นอน แต่ว่า ฤกษ์ที่จะเรียกให้ทรัพย์ไหลลงมาได้ กว่าจะมีก็อีกปีหนึ่งข้างหน้า ถ้าพวกท่านต้องการทรัพย์ละก็ ต้องคอยถึงเวลานั้น ข้าพเจ้าจักเรียกฝนทรัพย์ให้ไหลลงมาได้
พวกโจรพากันโกรธ พูดว่า ทุด! ไอ้พราหมณ์ชั่ว ทีคนอื่นแกเรียกฝนเงิน ฝนทองให้ไหลลงมาได้ทันทีทีเดียว ถึงคราวพวกเรา บอกให้คอยตั้งปี ด้วยความโกรธจึงฟันพราหมณ์ขาดเป็นสองท่อนด้วยดาบอันคม ทิ้งไว้ที่หนทางแล้วยกพวกตามไปโดยเร็ว ได้ต่อสู้กับโจรพวกนั้น ฆ่าโจรพวกนั้นได้หมด ยึดเอาทรัพย์ไป ต่อมาก็แตกกันเป็นสองพวก ต่อสู้กันเอง ฆ่ากันตายไป ๒๕๐ แล้วก็แตกกันอีก ฆ่ากันอีก โดยทำนองนี้ จนในที่สุดเหลือ ๒ คน.
            คนทั้งสองที่เหลือภายหลังนั้น ยึดเอาทรัพย์นั้นมาได้ด้วยอุบายนั้น พากันเอาไปซ่อนไว้ในที่รกใกล้บ้านแห่งหนึ่ง คนหนึ่งถือดาบนั่งเฝ้าไว้ อีกคนเอาข้าวสารเข้าไปบ้านเพื่อหุงเป็นอาหาร   ขึ้นชื่อว่าความโลภ เป็นมูลแห่งความพินาศ เพราะฉะนั้น โจรคนที่นั่งเฝ้าทรัพย์คิดว่า เมื่ออีกคนมา ทรัพย์นี้ก็ต้องแบ่งเป็นสองส่วน อย่ากระนั้นเลย พอมันมาเราฟันเสียให้ตายด้วยดาบก็สิ้นเรื่อง คิดแล้วก็เหน็บดาบไว้ นั่งคอยอยู่
            ส่วนอีกคนหนึ่งก็คิดเช่นกันว่า ทรัพย์นั้นจักต้องแบ่งเป็นสองส่วน ถ้ากระไร เราเอายาพิษใส่อาหารให้คนนั้นกิน สิ้นชีวิตแล้วเราก็ได้ครอบครองทรัพย์แต่ผู้เดียว  พอข้าวสุกก็รีบกินเสียก่อน ส่วนที่เหลือก็ใส่ยาพิษไว้ ถือมาที่อีกคนหนึ่งคอยอยู่ พอก้มลงวางอาหารเท่านั้น คนที่คอยอยู่ก็ฟันด้วยดาบขาดเป็น ๒ ท่อน เอาไปทิ้งในที่รกแล้วกลับมากินอาหารที่ผสมยาพิษ ตนเองก็สิ้นชีวิตในที่นั้น  คนทั้งหมดถึงความพินาศเพราะอาศัยทรัพย์นั้น ด้วยประการฉะนี้
      พอเวลาล่วงไปได้วันสองวัน มาณพถือเอาทรัพย์มา ไม่เห็นอาจารย์ในที่นั้นเสียแล้ว เห็นแต่ทรัพย์กระจัดกระจายอยู่ ก็คิดว่า อาจารย์ไม่เชื่อคำเรา ชะรอยจักเรียกทรัพย์ให้หลั่งไหลลงมาเป็นแน่ ทุกคนต้องถึงความพินาศหมด คิดพลางเดินไปพลางในทางใหญ่ เมื่อเดินไปถึง ก็เห็นอาจารย์ถูกตัดขาด ๒ ท่อน คิดว่า อาจารย์ต้องมาตายเพราะไม่เชื่อคำเรา จึงเก็บฟืนกองเป็นเชิงตะกอน เผาอาจารย์. บูชาด้วยดอกไม้ป่า
            จากนั้นเดินต่อไป เห็นโจร ๕๐๐ ตาย เดินต่อไป เห็นโจร ๒๕๐ ตายโดยลำดับ จึงคิดว่า คนที่ถึงความพินาศนี้ หนึ่งพันขาดสองคน ต้องมีโจรอีก ๒ คนแน่นอน แม้ทั้งสองคนก็คงไม่อาจรอดไปได้ สองคนไปอยู่ที่ไหนเล่า  ดังนี้แล้วเดินต่อไป เห็นทางเข้าไปสู่ที่ซ่อนทรัพย์ของคนทั้งสองเดินต่อไป ก็เห็นกองทรัพย์ที่มัดเป็นถุง ๆ ไว้ ได้เห็นคนหนึ่งตายคร่อมถาดข้าว ในลำดับนั้น ก็คาดการณ์รู้เหตุทั้งหมดว่า โจรพวกนั้นจักต้องกระทำอย่างนี้ แล้วก็คิดว่า บุรุษนั้นอยู่ไหนเล่า ? ค้นหาดู ก็เห็นชายคนนั้นถูกหมกไว้ที่รก
            เมื่อลำดับเหตุการณ์ทั้งหมด คิดว่า อาจารย์ไม่ทำตามคำเรา เพราะความว่ายาก ตนถึงความพินาศ มิหนำซ้ำทำให้คนอื่นอีกตั้งพันคนพลอยถึงความพินาศไป อนาถแท้ คนที่ปรารถนาความเจริญแก่ตน แต่มิได้กระทำตามเหตุอันควร จักต้องถึงความพินาศใหญ่เป็นแน่ เหมือนเช่นอาจารย์ของเราถึงความพินาศอยู่ฉะนั้น ดังนั้นจึงนำทรัพย์เหล่านั้นมาสู่เรือนของตน โดยอุบายอันชอบ กระทำบุญทั้งหลายมีทานเป็นต้น ดำรงอยู่ตราบอายุขัย ครั้นสิ้นชีวิต ก็ได้ไปเพิ่มแดนสวรรค์ให้บริบูรณ์
จบเรื่อง โจรเรียกค่าไถ่

ประเด็นน่าสนใจ
            ๑ เมื่อหมดประโยชน์ก็ถูกกำจัด หากพราหมณ์ไม่ร่ายมนต์ให้ทรัพย์ร่วงลงมาจากฟ้า ตนเองจะยังมีประโยชน์ ทั้งโจรกลุ่มแรกและกลุ่มที่สองจะไม่ฆ่า เพื่อรอแลกกับทรัพย์ที่ศิษย์จะนำมาให้ แต่เพราะตนร่ายมนต์ทำทรัพย์ให้เกิดขึ้นเมื่อไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้อีก ตนก็หมดประโยชน์ จึงถูกโจรกลุ่มหลังฆ่าทิ้ง 
อาจกล่าวได้ว่า การอาศัยอยู่ในที่ใดก็ตาม ต้องประพฤติตนให้เป็นประโยชน์ มีประโยชน์ต่อบุคคลหรือสถานที่นั้นๆ จึงจะอยู่ในที่นั้นได้อย่างเป็นสุข สบายใจไม่กังวล โบราณท่านจึงกล่าวไว้ว่า อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น หากไม่มีประโยชน์หรือไม่ประพฤติตนให้เป็นประโยชน์ อาจถูกขับออกจากที่นั้น หรืออาจถูกดูหมิ่นดูแคลน ถูกครหานินทา จนเป็นเหตุให้เกิดความไม่สบายใจได้
            ๒ คนตายเพราะสมบัติ คนไม่ผิดผิดที่ครอบครองสมบัติ ทรัพย์สมบัติเป็นอุปกรณ์ในการดำรงชีวิต เป็นปัจจัยให้ได้มาซึ่งความสุข  ขาดไปหรือพร่องไปชีวิตย่อมติดขัดไม่ราบรื่น แต่บ่อยครั้งที่การมีทรัพย์เป็นเหตุนำมาซึ่งทุกข์ นำมาซึ่งเภทภัย  นั่นเพราะไม่รู้จักพอ อยากได้มากโดยไม่ใส่ใจว่าจะได้ด้วยวิธีการที่ผิดๆ ทั้งที่ต้องแย่งชิง ต้องทำร้ายกัน กระทั่งเข่นฆ่ากันก็ตาม หรือการที่ต้องกังวลเกรงว่าทรัพย์จะพร่องไป ตระหนี่ถี่เหนียว  รวมทั้งการที่ถูกแย่งชิง ถูกทำร้าย ถูกฆ่าเพราะทรัพย์เป็นเหตุ นี่คือทุกข์ที่เกิดจากการมีทรัพย์
            ทรัพย์มีทั้งคุณและโทษ ดังนั้นเมื่อมีทรัพย์พึงรู้จักใช้ทรัพย์ให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช้สอยเยี่ยงทาส ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย ไม่เห็นทรัพย์เป็นดั่งเจ้านาย ที่บูชาทรัพย์ดุจเป็นพระเจ้า ทำได้ทุกวิธีเพื่อให้ได้ทรัพย์มา  แต่สมควรใช้อย่างมิตรสหาย ที่พึงพาอาศัยมีอุปการะต่อกัน เกื้อกูลให้เกิดสุขทั้งในชาตินี้ นำไปสู่สุคติโลกสวรรค์ กระทั่งเป็นอุปกรณ์ที่สนับสนุนให้ไปสู่นิพพาน

Cr. ขุนพลไร้เงา
พบกันใหม่โอกาสหน้า
ราตรีสวัสดิ์พระรัตนตรัย

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0017862995465597 Mins