เรื่อง เทวดาผู้มีศักดิ์น้อย
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี เทวดาตนหนึ่งเป็นผู้มีศักดิ์น้อยมีวิมานที่กอหญ้าคา ในอุทยานของพระราชา ก็ในอุทยานนั้น มีต้นรุจมงคล อาศัยมงคลศิลา มีลำต้นตั้งตรง สมบูรณ์ด้วยปริมณฑลกิ่งก้านและค่าคบ ได้รับการยกย่องจากราชสำนัก เรียกกันว่าต้นสมุขกะ(ต้นไม้พูดได้ เพราะมีเทวดาสิงห์อยู่) บ้าง เทวาผู้มีศักดิ์ใหญ่ตนหนึ่ง บังเกิดที่ต้นไม้นั้น กุสนาฬิเทวดา(เทวดาที่กอหญ้า)ได้มีความสนิทสนมกับเทวดานั้น
ครั้งนั้นพระราชาเสด็จประทับอยู่ในปราสาทเสาเดียว เสาของปราสาทนั้นหวั่นไหว ครั้งนั้น พวกราชบุรุษพากันกราบทูลความหวั่นไหวของเสานั้นแด่พระราชา
พระราชารับสั่งให้หาพวกนายช่างมาเฝ้า ตรัสว่า พ่อ เสามงคลของปราสาทเสาเดียวหวั่นไหวเสียแล้ว พวกเจ้าจงเอาเสาไม้แก่นมาต้นหนึ่ง ทำเสานั้นไม่ให้หวั่นไหวเถิด
พวกช่างเหล่านั้น กราบทูลรับพระดำรัสของพระราชาว่า เป็นไปตามพระกระแสรับสั่ง พระเจ้าข้า แล้วพากันแสวงหาต้นไม้ที่เหมาะแก่เสานั้น ไม่พบในที่อื่น จึงเข้าไปสู่อุทยาน เห็นต้นสมุขกะนั้นแล้ว พากันไปสำนักพระราชา
พระราชาตรัสถามว่า อย่างไรเล่าพ่อทั้งหลาย พวกเจ้าเห็นต้นไม้ที่เหมาะสมนั้นแล้วหรือ
เห็นแล้วพระเจ้าข้า แต่ว่า ไม่อาจตัดต้นไม้นั้นได้
เพราะเหตุไรเล่า ?
พวกข้าพระองค์ไม่เห็นต้นไม้ในที่อื่น จึงพากันเข้าสู่พระอุทยาน ในพระอุทยานนั้นเล่า เว้นต้นมงคลพฤกษ์แล้ว ก็ไม่เห็นต้นไม้อื่น ๆ ดังนั้น โดยที่เป็นมงคลพฤกษ์ พวกข้าพระองค์จึงไม่กล้าตัดต้นไม้นั้น พระเจ้าข้า
จงพากันไปตัดเถิด แล้วจงทำปราสาทให้มั่นคง เราจักตั้งต้นอื่นเป็นมงคลพฤกษ์แทน
พวกช่างไม้เหล่านั้น รับพระดำรัสแล้วพากันถือเครื่องพลีกรรมไปสู่อุทยานตกลงกันว่า จักตัดในวันพรุ่งนี้ แล้วกระทำพลีกรรมแก่ต้นไม้เสร็จพากันออกไป
รุกขเทวดารู้เหตุนั้นแล้ว คิดว่า พรุ่งนี้ วิมานของเราจักพินาศ เราจะพาพวกเด็ก ๆ ไปที่ไหนกันเล่า เมื่อไม่เห็นที่ควรไปได้ ก็กอดคอลูกน้อย ๆ ร่ำไห้อยู่
หมู่รุกขเทวดาที่รู้จักมักคุ้นกับเทวดานั้น ก็พากันไต่ถามว่า เกิดอะไรขึ้น ครั้นฟังเรื่องนั้น แม้พวกตนก็มองไม่เห็นอุบายที่จะห้ามช่างไม้ได้ พากันทอดทิ้งเทวดานั้น เริ่มร้องไห้ไปตามกัน
คราวนั้น กุสนาฬิเทวดาดำริว่า เราจักไปเยี่ยมรุกขเทวดา จึงไปที่นั้น ฟังเหตุนั้นแล้ว ก็ปลอบเทวดาเหล่านั้นว่า เอาเถิด อย่ามัวเสียใจเลย เราจะไม่ให้ช่างไม้ตัดต้นไม้นั้น พรุ่งนี้เวลาพวกช่างมา พวกท่านคอยดูเหตุการณ์เถิด
ครั้นรุ่งขึ้น เวลาที่พวกช่างไม้พากันมา กุสนาฬิเทวดาก็แปลงกายเป็นกิ้งก่าวิ่งนำหน้าพวก
ช่างไม้ไป เข้าไปสู่โคนของมงคลพฤกษ์ กระทำประหนึ่งว่าต้นไม้นั้นเป็นโพรง ไต่ขึ้นตามไส้ของต้นไม้ โผล่ออกทางยอดนอนผงกหัวอยู่
นายช่างใหญ่เห็นกิ้งก่านั้นแล้ว ก็เอามือตบต้นไม้ แล้วตำหนิต้นไม้ใหญ่มีแก่นทึบตลอดว่า ต้นไม้นี้มีโพรงไร้แก่น เมื่อวานไม่ทันได้ตรวจถ้วนถี่ หลงทำพลีกรรมกันเสียแล้ว จึงพากันหลีกไป
รุกขเทวดาอาศัยกุสนาฬิเทวดา จึงยังคงเป็นเจ้าของวิมานอยู่ได้ เพื่อเป็นการต้อนรับรุกขเทวดานั้น เทวดาที่รู้จักมักคุ้นจำนวนมากประชุมกัน รุกขเทวดาดีใจว่า เราได้วิมานกลับคืนแล้ว เมื่อจะกล่าวคุณของกุสนาฬิเทวดา ในท่ามกลางที่ประชุมเทวดาเหล่านั้น จึงกล่าวว่า ดูก่อนเทพยเจ้าผู้เจริญทั้งหลาย ชาวเราถึงจะเป็นเทวดามเหศักดิ์ ก็มิได้รู้อุบายนี้ เพราะปัญญาทึบ ส่วนเทวดากุสนาฬิ ได้กระทำให้เราเป็นเจ้าของวิมานได้ เพราะญาณสมบัติของตน ธรรมดามิตร ไม่เลือกว่าเท่าเทียมกัน ยิ่งกว่าหรือต่ำกว่า ควรคบไว้ทั้งนั้น มิตรแม้ทุก ๆ คน อาจบำบัดทุกข์ที่บังเกิดแก่มิตรสหาย ให้คงคืนตั้งอยู่ในความสุขได้ ตามกำลังของตนทีเดียว ครั้นพรรณนามิตรธรรมแล้ว กล่าวเป็นคาถาประพันธ์ว่า
บุคคลผู้เสมอกัน ประเสริฐกว่ากัน
หรือเลวกว่ากัน ก็ควรคบกันไว้ เพราะมิตร เหล่านั้น เมื่อความเสื่อมเกิดขึ้น ก็พึงทำประโยชน์อันอุดมให้ได้ ดูเราผู้เป็นรุกขเทวดา และเทวดาผู้เกิดที่กอหญ้าคาคบกันฉะนั้น ดังนี้.
รุจาเทวดา แสดงธรรมแก่หมู่เทวดาด้วยคาถานี้ ดำรงอยู่ชั่วอายุขัยแล้ว ไปตามยถากรรมพร้อมกับกุสนาฬิเทวดา.
Cr.ขุนพลไร้เงา
จบเรื่อง เทวดาผู้มีศักดิ์น้อย
พบกันใหม่โอกาสหน้า
ราตรีสวัสดิ์พระรัตนตรัย