ธรรมะที่แท้จริง

วันที่ 16 เมย. พ.ศ.2563

ธรรมะที่แท้จริง

ธรรมะที่แท้จริง

       เรื่องต่อไปก็คือ คำว่า ธรรมะในภาคปฏิบัติ

       ถ้าถามว่า ธรรมะคืออะไร ? เราคงสามารถตอบในแง่ทฤษฎีได้อย่างมากมาย

       แต่สำหรับความหมายของธรรมะในภาคปฏิบัติ ที่ทุกคนต้องปฏิบัติเพื่อเข้าถึงธรรมะในต้วนี้ให้ได้ หลวงพ่อขอให้ความหมายไว้ ๓ ประการ ดังนี้

       ๑) ธรรมะ ตามนัยที่ ๑ หมายถึง ธรรมชาติบริสุทธิ์อยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน หากใครเข้าถึงได้แล้ว ย่อมทำให้ใจเกิดความบริสุทธิ์ผุดผ่องตามธรรมะนั้นไปได้ และหากใจของใครสามารถเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมะที่เข้าถึงนี้ได้  กิเลสย่อมหมดสิ้นไปจากใจทุกข์ทั้งปวงย่อมถูกดับจนหมดสิ้นไปด้วย

       ใครก็ตามที่เข้าถึงธรรมะในตัวนี้ได้แล้วย่อมทราบถึงคุณวิเศษของธรรมะนี้ด้วยตัวเอง

       ส่วนว่าธรรมะหรือธรรมชาติที่บริสุทธิ์ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นนี้ มีมากมายขนาดไหน

       พระพุทธองค์เคยตรัสว่า มีมากมายยิ่งกว่าธรรมะที่พระองค์นำมาสอนเสียอีก ธรรมะที่พระองค์ทรงนำมาสอนนั้น อุปมาเหมือนกับใบไม้แค่ในกำมือ แต่ธรรมะที่พระองค์ทรงรู้ทรงเห็น แต่ไม่ได้นำมาสอนนั้น มีมากกว่าใบไม้ทั้งป่าเสียอีก

       แล้วธรรมะหรือธรรมชาติบริสุทธิ์ที่มากมายขนาดนั้น เข้าไปรวมอยู่ด้วยกันในตัวมนุษย์ได้อย่างไร

       พระพุทธองค์ก็ทรงตอบว่า ถ้าใครปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ จน กระทั่งเข้าถึงธรรมในตัวแล้ว ย่อมเห็นธรรมในธรรม คือเห็นว่าในธรรมะแต่ละดวงนั้น ยังมีธรรมะอื่นอีกหลายดวง ที่ช้อนต่อๆ กันไปอีกนับไม่ถ้วน

       สำหรับตรงนี้ หลวงพ่อขอยกตัวอย่างในทางโลกมาเทียบเคียงให้ฟัง เมื่อสมัยที่เราเรียนชั้นมัธยมศึกษา เราได้ทดลองวิทยาศาสตร์ด้วยการฉายแสงเข้าไปในแท่งแก้วปริซึม แล้วเราก็พบว่า แท่งปริซึมนั้นสามารถแยกลำแสงปกติให้ออกมาเป็นสีรังถึงเจ็ดรได้แก่ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง

       นอกจากนี้ ยังมีส่วนที่ตามองไม่เห็น แต่ว่าถ่ายรูปติด เขาเรียกว่า รังสีเหนือม่วง (Ultraviolet-Ray) กับ รังสีใต้แดง (Infrared-Ray)

       นั่นคือ ในยามปกติ เราก็เห็นว่าในแสงสว่าง มีเพียงสีเดียว แต่เมื่อผ่านแท่งปริซึม กลับแยกออกมาได้เจ็ดสี และยังมีแสงสีอื่นๆ อีกที่ตามองไม่เห็นอีก แต่เครื่องมือวิทยาศาสตร์สามารถแยกสีออกมาได้เยอะ

       การที่แสงธรรมชาติซ้อนเอาแสงเจ็ดสีเข้าไว้อยู่ด้วยกันอย่างกลมกลืนนี้ ก็อุปมาเหมือนกับ การช้อนๆ กันอยู่ของธรรมในธรรมที่อยู่ในตัว ซึ่งถึงแม้จะมีมากมายยิ่งกว่าใบไม้ทั้งป่า แต่ก็สามารถซ้อนๆ อยู่ภายในร่วมกันได้อย่างกลมกลืน

       และนี่คือลักษณะของธรรมะที่อยู่ในตัวที่เราต้องตั้งใจปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ เพี่อเข้าไปรู้ไปเห็นของจริงด้วยตัวเองให้ได้

       และเมื่อปฏิบัติจนเข้าถึงธรรมะในตัวได้เมื่อไหร่ ก็ต้องเอาใจของตัวไปจรดอยู่ในธรรมที่เข้าถึงนั้น จนกระทั่งเห็นธรรมในธรรมทำอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งใจของเรากับธรรมชาติบริสุทธิ์ในตัวนั้น สามารถหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นกิเลสทั้งหลายย่อมถูกความสว่างภายในที่เกิดจากความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของใจกับธรรมนั้น กำจัดให้หมดสิ้นไปตลอดกาล

       การอาศัยความสว่างของธรรมะภายในกำจัดกิเลสให้หมดไปนี้ ก็อุปมาเหมือนดวงอาทิตย์ที่มีแสงสว่างเจิดจ้าฆ่าความมืดให้หมดสิ้นไปจากโลก

       ถ้าหากการเข้าถึงธรรมะภายในของเรา ยังไม่สามารถฝึกใจให้เป็นเนื้อเดียวกับธรรมชาติบริสุทธิ์ภายในได้ ก็สามารถกำจัดกิเลสออกไปได้เพียงเป็นครั้งเป็นคราว อุปมาเหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างได้แต่ในเวลากลางวัน แต่พอเวลากลางคืน ดวงอาทิตย์ก็ลับโลกไป ทำให้โลกนี้ถูกปกคลุมด้วยความมืดไปตลอดคืน

       แต่ถ้าหากการเข้าถึงธรรมะภายในของเรา สามารถหลอมรวมใจให้เป็นเนื้อเดียวกับธรรมชาติบริสุทธิ์ภายในได้ตลอดไป ก็ย่อมสามารถกำจัดกิเลสให้หมดไปจากใจได้อย่างถาวร อุปมาเหมือนกับดวงอาทิตย์ค้างฟ้าที่ส่องแสงสว่างฆ่าความมืดให้หมดสินไปจากโลกได้ตลอดกาล

       ๒) ธรรมะ ตามนัยที่ ๒ หมายถึง คำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงสอนให้มนุษย์พ้นจากทุกข์ทั้งปวง โดยสรุปแล้วสามารถนปงเนื้อหาออกเป็น ๓ เรื่องใหญ่ คือ
       ๒.๑) ทรงสอนให้เข้าใจถูกในเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตและสักษณะของธรรมะอันเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ที่อยู่ในตัวดังกล่าวข้างต้น

       ๒.๒) ทรงสอนให้ตั้งใจปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ อย่างถูกวิธี เพื่อให้สามารถเข้าไปรู้ไปเห็นธรรมชาติบริสุทธิ์ที่อยู่ในตัว

       ๒.๓) ทรงสอนให้สามารถทำใจให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติบริสุทธิ์ในตัว เพื่อกำจัดกิเลสที่หมักหมมอยู่ในใจมาหลายภพหลายชาติให้หมดสิ้นไปอย่างถาวร

       สำหรับธรรมะในความหมายนี้ หมายถึง คำสอนของพระพุทธองค์ที่ได้ถูกบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกทั้งหมด ชึ่งหากไม่ตั้งใจศึกษาอย่างจริงจัง เพื่อให้เกิดความเข้าใจถูกในเรื่องราวความเป็นจริงของ ชีวิตมาก่อนแล้ว ย่อมเป็นไปได้ยากเหลือเกินที่บุคคลนั้นจะมีศรัทธาหักห้ามใจตัวเองออกจากความชั่ว แล้วหันมาทุ่มชีวิตปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ เพี่อกำจัดกิเลสให้หมดสิ้นตามรอยบาทของพระพุทธองค์ไป

       เพราะฉะนั้น ธรรมะที่บันทึกอยู่ในพระไตรปิฎกนี้ จึงเปรียบเหมือนแผนที่ขุมทรัพย์ที่บอกให้รู้เรื่องราวความจริงของชีวิต บอกวิธีการปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์ และบอกผลลัพธ์ที่ได้จากกำจัดกิเลสและทุกข์ทั้งปวงหมดสิ้นไป

       ที่สำคัญก็คือ กว่าที่พระพุทธองค์จะทรงสามารถสรุปคำสอนทั้งหมดมาสอนเราได้ ทรงต้องใช้เวลายาวนานถึงยี่สิบอสงไขยกับแสนมหากัป และการบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย นานๆ จะมีบังเกิดขึ้นสักพระองค์หนึ่ง ยิ่งกว่านั้น ก็คือ โอกาสที่จะได้ยินได้ฟังธรรมะของพระพุทธองค์ก็เป็นเรื่องยาก ก็ขนาดในโลกยุคนี้ พระพุทธองค์ได้มาบังเกิดขึ้นแล้ว แต่ก็ยังมีบางคนที่ตลอดชีวิตไม่เคยได้ยินได้ฟังคำสอนของพระพุทธองค์มาก่อนเลย

       เพราะฉะนั้น พระไตรปิฎกอันเป็นที่บรรจุคำสอนของพระพุทธองค์ที่เปิดเผยความลับประจำชีวิตให้ชาวโลกได้รู้นี้ เราต้องพยายามอ่านพระไตรปิฎกให้จบหลายๆ เที่ยว อ่านให้ซาบซึ้งใจในพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธองค์ แล้วเราจะได้มืกำลังใจทุ่มชีวิตปฏิบัติธรรมตามรอยบาทของพระพุทธองค์ยิ่งๆ ขึ้นไป แล้วก็จะเป็นเหตุให้เราสามารถเข้าถึงธรรมะภายในไปตามลำดับ จนกระทั่งใจกับธรรมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้สำเร็จ

       ๓) ธรรมะ ตามนัยที่ ๓ หมายถึง นิสัยดีๆ ที่เกิดจากการตั้งใจปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ อย่างจริงจัง ด้วยการละเว้นความชั่วทำความดี กลั่นใจให้ผ่องใส เพื่อการเข้าถึงธรรมชาติบริสุทธิ์ในตัวและการกำจัดกิเลสอันเป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวงให้หมดสิ้นไป

       ในระหว่างที่เราตั้งใจปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ อยู่นั้น แม้ว่าตอนนี้ เราจะยังไม่เห็นธรรมะในตัวก็ตาม แต่ว่ากิเลสก็ได้ถูกยับยั้งไม่ให้กำเริบต่อ สิ่งที่ได้กลับมาก็คือ เราได้มีนิสัยดีๆ เกิดขึ้นมาในตัวหลายอย่างโดยอัตโนมัติ โดยเฉพาะนิสัยรักการทำทาน นิสัยรักการรักษาศีลนิสัยรักการทำภาวนา เป็นตัน นิสัยเหล่านี้ มีส่วนสำคัญอย่างมากที่ช่วยให้ใจสงบนิ่งได้เร็ว

       เมื่อเราฝึกฝนอบรมตนเองตามเส้นทางมรรคมีองค์ ๘ ไปตามลำดับ นิสัยดีๆ ก็มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ใจก็มีความคุ้นเคยกับศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ โดยอัตโนมัติ พอวางใจถูกส่วนเข้า เดี๋ยวก็เห็นธรรมะที่อยู่ในตัว พอเอาใจจรดกับธรรมจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ใจก็สว่างโพลงเหมือนอย่างดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน ทั้งในยามลืมตาและหลับตา

       นิสัยดีๆ ที่ได้จากการฝึกฝนอบรมตนเอง นี้เรียกว่า นิสัยรักธรรมะ หรือนิสัยมีความเป็นธรรม หรือนิสัยเป็นคนเที่ยงธรรม เหมือนกัน เพราะล้วนเป็นผลลัพธ์ที่เกิดอย่างค่อยเป็นค่อยไปมาตามสำดับจากการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ เพื่อเข้าถึงธรรมชาติบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในตัวของเรานั่นเอง

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.015703582763672 Mins