ไขความลับ ปรับสมดุลสมอง

วันที่ 14 สค. พ.ศ.2563

ไขความลับ ปรับสมดุลสมอง

                โบราณกล่าวไว้ว่า “ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก” หรือ “ผีซ้ำด้ำพลอย” คือพอมีเรื่องร้าย ๆ เข้ามา เรื่องหนึ่งแล้ว เรื่องร้ายอื่น ๆ ก็จะตามมาอีกเป็นพรวนเหมือนกับจะโค่นเราลงให้ได้

19917-01.jpg

                 นั่นก็เป็นเพราะว่าพอเรื่องร้ายเรื่องแรกเข้ามา โดยที่เราไม่รู้หลักคิดเผลอไปคิดทางลบ คิดโกรธแค้นอยากเอาคืน คิดในทางไม่ถูกไม่ควร วงจรทางบวกก็จะรวนแล้วส่งผลให้วงจรทางลบแข็งแรงขึ้นทันที เพียงเท่านี้เรื่องร้าย ๆ ที่ติดลบก็จะวิ่งตามมาซ้ำสองซ้ำสามอีกเป็นพรวน แต่ถ้าใครรู้หลักคิดควบคุมความคิดตัวเองได้ ไม่ปล่อยใจไปคิดทางลบ แต่พลิกวงจรความคิดเป็นบวกได้ เรื่องร้าย ๆ ที่ผ่านเข้ามาก็จะจบอยู่แค่เรื่องแรกเรื่องเดียว

                 เพราะฉะนั้น ให้เราหมั่นรักษาใจตัวเองให้ดี ไม่คิดหมกมุ่นในกาม ไม่คิดอาฆาตพยาบาท และไม่คิดเบียดเบียน เพียงเท่านี้ใจเราจะโปร่งโล่งไปแล้วครึ่งหนึ่ง

                 จากนั้นเสริมวงจรคิดบวกให้แข็งแรงขึ้นด้วยการตั้งใจให้ทาน รักษาศีล ทำสมาธิภาวนา เส้นทางคิดบวกก็จะแข็งแรงขึ้นกลายเป็นทางซูเปอร์ไฮเวย์ ต่อไปเรื่องร้าย ๆ ก็จะเข้ามาได้แค่คราวละเรื่องเดียว เหมือนอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นแล้วผ่านไป แต่เรื่องดี ๆ จะเกิดขึ้นมากมายในชีวิต

                 หลักคิดนี้เป็นเหมือนเส้นผมบังภูเขา ถ้าใครจับหลักนี้ได้ หมั่นถนอมใจไม่ให้คิดเรื่องไม่ดี คิดแต่ในทางที่ดีเสมอ พอตอกย้ำตัวเองได้อย่างนี้แล้วเราก็จะเป็นผู้ชนะ

 

กลไกทางวิทยาศาสตร์กับหลักคิดพุทธศาสตร์

                 พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ “สัจธรรม” คือ “ความจริงของโลกและชีวิต” ส่วนวิทยาศาสตร์เป็นการ “พยายามแสวงหาความจริงของโลก” แต่แสวงหาเท่าที่กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไปถึง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของวัตถุที่เป็นรูปธรรม

                  ในแง่ของ “นามธรรม” กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ยังไปไม่ถึง เช่น เรื่องของจิตใจ บุญบาป เป็นต้น เนื่องจากบุญบาปวัดกันไม่ได้ด้วยการชั่งตวง

19917-02.jpg

                 เพราะฉะนั้นเรื่องของจิตใจ ในทางวิทยาศาสตร์จึงต้องมุ่งไปค้นหาตรงส่วนของร่างกายที่อยู่ใกล้กับใจที่สุด ซึ่งก็คือ “สมอง” โดยมีหลักการว่า ใจคิดอย่างไรก็จะสั่งการผ่านสมองออกมา ในทางวิทยาศาสตร์จึงมุ่งศึกษากลไกของสมอง ว่าจะเกิดปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อคนเราคิดบวก และสมองเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไรเมื่อเราคิดลบ

                  เมื่ออธิบายด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นรูปธรรม มีสีสันน่าตื่นตา คนทั่วไปจึงเข้าใจได้ง่ายขึ้น แต่อย่าลืมว่าสิ่งที่วิทยาศาสตร์อธิบายนั้นคือการทำงานของ “สมอง” ที่เป็นเพียงปลายเหตุ ส่วนต้นเหตุจริง ๆ มาจาก “ใจ”

                ในต่างประเทศมีการศึกษาและพัฒนาเรื่องระบบสมองของมนุษย์ โดยมีการสร้างโปรแกรมภาษาสมองที่สามารถนำพาให้คนฟังเกิดความรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองถูกผ่าตัดสมอง เกิดความรู้สึกเหมือนความคิดด้านลบถูกเฉือนทิ้งแล้วสร้างเส้นทางคิดบวกขึ้น ซึ่งเป็นเส้นทางซูเปอร์ไฮเวย์สายใหม่มาแทนที่ เส้นทางคิดลบเดิม ๆ พอคนทั่วไปได้ฟังหลักการนี้แล้วก็มักจะรู้สึกตื่นเต้นว่า ในทางวิทยาศาสตร์มีกระบวนการที่สามารถนำเรื่องร้าย ๆ ออกไปจากสมองของคนเราได้ด้วย และยังสามารถทำให้ชีวิตหลังจากนี้ดีขึ้นได้อีกด้วย

                 แต่ความจริงหลักการเหล่านี้ เดินตามหลักพระพุทธศาสนาซึ่งไม่ได้มีอะไรใหม่เลย เพียงเพิ่มสีสันในการอธิบาย มีกราฟคลื่นสมอง มีการเอ็กซเรย์สมองเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของเนื้อสมองส่วนต่าง ๆ ทำให้ดูหวือหวาน่า สนใจและน่าเชื่อถือเท่านั้น

19917-03.jpg

หลัก 3 ประการ โยงใยไปสู่ชัยชนะ

                 “สมอง” คือเครื่องมือส่วนหนึ่งของร่างกายโดยรับคำสั่งจากใจ สมองปรับเปลี่ยนตามการคิด พูด และทำซ้ำ ๆ จนกลายเป็นนิสัย และสิ่งที่สั่งสมองคือความคิดที่เกิดขึ้นเองโดยตรง รวมทั้งเกิดจากการสั่งการของร่างกายด้วย

                  ยกตัวอย่าง นักกีฬาเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างรวดเร็ว เพราะการเคลื่อนไหวร่างกายนั้นอาศัยสัญญาณจากการสั่งการของสมอง อะไรที่เราทำซ้ำ ๆ พูดซ้ำ ๆ คิดซ้ำ ๆ ก็จะเกิด “ฟาสต์แทร็ก” (Fast Track) เป็นเส้นทางซุปเปอร์ไฮเวย์ของเรื่องนั้น ๆ ขึ้นมา การกระทำ คำพูด และความคิด ทั้ง 3 ประการ ส่งผลเกี่ยวเนื่องกันเสมอ

                  ยกตัวอย่าง นักแสดงที่สวมบทบาทเป็นตัวร้ายซึ่งในบทบาทต้องด่าทอผู้อื่นเสมอ ๆ พอได้สวมบทบาทนี้บ่อยครั้ง ก็จะพบว่า พฤติกรรมของตัวเองในชีวิตจริงเริ่มเปลี่ยนแปลงไป หรือนักแสดงบางคนสวมบทบาทเป็นคนลักเพศบ่อย ๆ ก็พบว่าในชีวิตจริงของเขากลายเป็นคนลักเพศไปเลยก็มี

                   เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราแสดงออกบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะแกล้งทำหรือไม่ ล้วนส่งผลถึงโครงสร้างการทำงานของเซลล์ประสาทในสมองทั้งนั้น ดังนั้น เราต้องเข้าใจกระบวนการนี้ แล้วหมั่นสังเกต ความคิด คำพูด และการกระทำของตัวเอง ให้แสดงออกไปในทางบวกเสมอ

รีเซ็ตสมองด้วยสมาธิ

คนต่างชาติต่างศาสนาเริ่มให้ความสนใจการนั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรมมากขึ้นเรื่อย ๆ จนปัจจุบันทั่วโลกถือว่าสมาธิเป็นหลักสากลที่คนทุกชาติทุกศาสนาควรปฏิบัติ โดยถ้าเราฝึกสมาธิก็จะมีส่วนช่วยระบบการทำงานของสมองในลักษณะเหมือนกับการรีเซ็ตสมองไปสู่ภาวะที่มันควรจะเป็น คือ “ไปในทางบวก”

19917-04.jpg

                      พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “จิตมนุษย์แต่เดิมประภัสสร” คือใจคนแต่เดิมมีแนวโน้มเป็นไปในทางบวกอยู่แล้ว แต่เป็นเพราะกิเลสที่จรมา ทั้งความโลภ ความโกรธ ความหลงนั้น ดึงเราให้คิดไปในทางลบ พอเราทำสมาธิขจัดความโลภ โกรธ หลง ให้เบาบางลงได้ ใจเราก็จะกลับสู่สภาวะดั้งเดิม คือ “ประภัสสร” ความคิดทางบวกก็บังเกิดขึ้น ดังนั้น สมาธิมีส่วนช่วยได้มากทีเดียว

                     เมื่อเราคิดดี พูดดี และทำดี กระแสด้านบวกจะออกจากตัวเราไปแล้วดึงดูดคนดี ๆ สิ่งดี ๆ เข้ามาหาเรา แต่คนที่คิดร้าย ๆ พูดร้าย ๆ ทำเรื่องร้าย ๆ กระแสด้านลบก็จะออกจากตัวแล้ว ไปดึงดูดเรื่องร้าย ๆ เข้ามาหา จนเราต้องมานั่งกลัดกลุ้มใจว่า ทำไมถึงเจอแต่เรื่องร้าย ๆ แต่นั่นไม่ใช่เพราะใครอื่นทั้งหมด เกิดจากตัวของเราเองทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ขอให้คิด พูด และทำแต่ด้านบวก เพื่อให้เรามีชีวิตที่มีแต่ด้านบวกตลอดไป

                    การที่เราคิดบวกชีวิตของเราก็จะประสบความสำเร็จ แต่ถ้าเราคิดลบชีวิตของเราก็จะประสบแต่ความล้มเหลว ซึ่งเป็นการยืนยันหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ยืนยงมากว่า 2,600 ปี ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”

                    ถ้าเราทุกคนนำหลักธรรมคำสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาปรับใช้ด้วยการคิดดี พูดดี และทำดี รวมถึงนำสมาธิมาปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวันด้วย ก็จะทำให้เราประสบแต่สิ่งดี ๆ ตลอดไป

เจริญพร

พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.036471998691559 Mins