หลักคิดเส้นผมบังภูเขา สร้างความสำเร็จซ้ำๆ

วันที่ 09 ตค. พ.ศ.2563

หลักคิดเส้นผมบังภูเขา สร้างความสำเร็จซ้ำๆ

 

631009_b.jpg

 

          โบราณกล่าวไว้ว่า "ความวัวยังไม่ทันหาย ความควาย เข้ามาแทรก" หรือ "ผีซ้ำด้ามพลอย" คือพอมีเรื่องร้าย ๆ เข้ามาเรื่องหนึ่งแล้ว เรื่องร้ายอื่น ๆ ก็จะตามมาอีกเป็นพรวนเหมือน กับจะโค่นเราลงให้ได้

 

            นั่นก็เป็นเพราะว่าพอเรื่องร้ายเรื่องแรกเข้ามาโดยที่เรา ไม่รู้หลักคิด เผลอไปคิดทางลบ คิดโกรธแค้นอยากเอาคืน คิดในทางไม่ถูกไม่ควร วงจรทางบวกก็จะรวนแล้วส่งผลให้วงจรทางลบ แข็งแรงขึ้นทันที เพียงเท่านี้เรื่องร้าย ๆ ติดลบก็จะวิ่งตามมา ซํ้าสองซํ้าสามอีกเป็นพรวน แต่ถ้าใครรู้หลักคิดควบคุมความคิด ตัวเองได้ ไม่ปล่อยใจไปคิดทางลบ แต่พลิกวงจรความคิดเป็นบวกได้ เรื่องร้าย ๆ ที่ผ่านเข้ามาก็จะจบอยู่แค่เรื่องแรกเรื่องเดียว

 

          เพราะฉะนั้น ให้เราหมั่นรักษาใจตัวเองให้ดี ไม่คิดหมกมุ่น ในกาม ไม่คิดอาฆาตพยาบาท และไม่คิดเบียดเบียน เพียงเท่านี้ ใจเราจะโปร่งโล่งไปแล้วครึ่งหนึ่ง

 

          จากนั้นเสริมวงจรคิดบวกให้แข็งแรงขึ้นด้วยการตั้งใจ ให้ทาน รักษาศีล ทำสมาธิภาวนา เส้นทางคิดบวกก็จะแข็งแรง ขึ้นกลายเป็นทางซูเปอร์ไฮเวย์ ต่อไปเรื่องร้าย ๆ ก็จะเข้ามาได้ แค่คราวละเรื่องเดียว เหมือนอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นแล้วผ่านไป แต่เรื่องดี ๆ จะเกิดขึ้นมากมายในชีวิต

 

         หลักคิดนี้เป็นเหมือนเส้นผมบังภูเขา ถ้าใครจับหลักนี้ได้ หมั่นถนอมใจไม่ให้คิดเรื่องไม่ดี คิดแต่ในทางที่ดีเสมอ พอตอกยํ้า
ตัวเองได้อย่างนี้แล้วเราก็จะเป็นผู้ชนะ

 

กลไกทางวิทยาศาสตร์กับหลักคิดพุทรศาสตร์


           พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ "สัจธรรม" คือ "ความจริงของโลกและชีวิต" ส่วนวิทยาศาสตร์เป็นการ "พยายามแสวงหาความจริงของโลก" แต่แสวงหาเท่าที่กระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ไปถึง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของวัตถุที่เป็นรูปธรรม   

 

            ในแง่ของ "นามธรรม" กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ยังไปไม่ถึง เช่น เรื่องของจิตใจ บุญบาป เป็นต้น เนื่องจากบุญ บาปวัดกันไม่ได้ด้วยการชั่งตวง เพราะฉะนั้น เรื่องของจิตใจใน ทางวิทยาศาสตร์ จึงต้องมุ่งไปค้นหาตรงส่วนของร่างกายที่อยู่ใกล้ กับใจที่สุดซึ่งก็คือ "สมอง" โดยมีหลักการว่า ใจคิดอย่างไรก็จะ สั่งการผ่านสมองออกมา ในทางวิทยาศาสตร์จึงมุ่งศึกษากลไกของ สมองว่าจะเกิดปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อคนเราคิดบวก และสมองเกิด ความเปลี่ยนแปลงอย่างไรเมื่อเราคิดลบ

 

          เมื่ออธิบายด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นรูปธรรม มีสีสันน่าตื่นตาคนทั่วไปจึงเข้าใจได้ง่ายขึ้น แต่อย่าลืมว่าสิ่งที่ วิทยาศาสตร์อธิบายนั้นคือการทำงานของ "สมอง" ที่เป็นเพียง ปลายเหตุ ส่วนต้นเหตุจริง ๆ มาจาก "ใจ"   

 

          หลักการทางวิทยาศาสตร์อธิบายให้เราเข้าใจว่า ถ้าคนเราคิดอะไรซํ้า ๆ ไม่ว่าทางบวกหรือทางลบ เซลล์สมองจะ มีการปรับตัว ส่งผลให้มีแนวโน้มที่จะทำอย่างนั้นอีกเรื่อย ๆ

 

         ดังนั้น ถ้าเราอยากเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เราก็ต้องหาทางสร้างสื่อประสาทที่เป็นเส้นทางบวกมาก ๆ แล้วฉุดใจของเราออกจากวงจรคิดลบให้ได้

 

         ในต่างประเทศมีการศึกษาและพัฒนาเรื่องระบบสมอง ของมนุษย์ โดยมีการสร้างโปรแกรมภาษาสมองที่สามารถนำพา ให้คนฟังเกิดความรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองถูกผ่าตัดสมอง เกิดความรู้สึกเหมือนความคิดด้านลบถูกเฉือนทิ้งแล้วสร้างเส้นทาง คิดบวกขึ้น ซึ่งเป็นเส้นทางซูเปอร์ไฮเวย์สายใหม่ มาแทนที่ เส้นทางคิดลบเดิม ๆ

 

        พอคนทั่วไปได้ฟ้งหลักการนี้แล้วก็มักจะรู้สึกตื่นเต้นว่า ในทางวิทยาศาสตร์มีกระบวนการที่สามารถนำเรื่องร้าย ๆ ออกไปจากสมองของคนเราได้ด้วย และยังสามารถทำให้ชีวิต หลังจากนี้ดีขึ้นได้อีกด้วย แต่ความจริงหลักการเหล่านี้เดินตาม หลักพระพุทธศาสนาซึ่งไม่ได้มีอะไรใหม่เลย เพียงเพิ่มสีสัน ในการอธิบาย มีกราฟคลื่นสมอง มีการเอ็กซเรย์สมองเพื่อดู การเปลี่ยนแปลงของเนี้อสมองส่วนต่าง ๆ ทำให้ดูหวือหวาน่าสนใจ และน่าเชื่อถือเท่านั้น

 

หลัก 3 ประการ โยงใยไปสู่ชัยชนะ

 

         "สมอง" คือเครื่องมือส่วนหนึ่งของร่างกายโดยรับคำสั่ง จากใจ สมองปรับเปลี่ยนตามการคิด พูด และทำซํ้า ๆ จนกลาย เป็นนิสัย และสิ่งที่สั่งสมองคือความคิดที่เกิดขึ้นเองโดยตรง รวมทั้งเกิดจากการสั่งการของร่างกายด้วย

 

         ยกตัวอย่าง นักกีฬาเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างรวดเร็ว เพราะการเคลื่อนไหวร่างกายนั้นอาศัยสัญญาณจากการสั่งการ ของสมอง อะไรที่เราทำซํ้า ๆ พูดซ้ำ ๆ คิดซํ้า ๆ ก็จะเกิด "ฟาสต์แทร็ก" (Fast Track) เป็นเส้นทางซูเปอร์ไฮเวย์ของ เรื่องนั้น ๆ ขึ้นมา

 

         การกระทำ คำพูด และความคิด ทั้ง 3 ประการ ส่งผล เกี่ยวเนื่องกันเสมอ ยกตัวอย่าง นักแสดงที่สวมบทบาทเป็น ตัวร้ายซึ่งในบทบาทต้องด่าทอผู้อื่นเสมอ ๆ พอได้สวมบทบาทนี้ บ่อยครั้งก็จะพบว่า พฤติกรรมของตัวเองในชีวิตจริงเริ่มเปลี่ยนแปลงไป หรือนักแสดงบางคนสวมบทบาทเป็นคนลักเพศบ่อย ๆ ก็พบว่า ในชีวิตจริงของเขากลายเป็นคนลักเพศไปเลยก็มี

 

       เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราแสดงออกบ่อยครั้งไม่ว่าจะแกล้งทำ หรือไม่ ล้วนส่งผลถึงโครงสร้างการทำงานของเซลล์ประสาทใน สมองทั้งนั้น ดังนั้น เราต้องเข้าใจกระบวนการนี้แล้วหมั่นสังเกต ความคิด คำพูด และการกระทำของตัวเอง ให้แสดงออกไปในทางบวกเสมอ

 

       พระราชภาวนาจารย์ รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ท่านยํ้าเสมอว่า จากประสบการณ์ฝึกคนมาตลอด 40 กว่าปี โดย ถอดหลักธรรมในพระไตรปิฎกนำมาปรับใช้ในการฝึก เริ่มจาก ให้เขาฝึกตนจากสิ่งใกล้ตัวในกิจวัตรประจำวัน เพราะกิจวัตร ประจำวันเป็นสิ่งที่คนเราทำซํ้า ๆ ทุกวัน จึงมีผลต่อการคิดบวก หรือคิดลบของเรามาก

 

       การฝึกนิสัยให้เริ่มต้นจาก "5 ห้องชีวิต" ได้แก่ ห้องนอน ห้องนํ้า ห้องอาหาร ห้องแต่งตัว และห้องทำงาน ชีวิต ส่วนใหญ่ของคนใช้เวลาอยู่กับ 5 ห้องเหล่านี้ ดังนั้น เมื่อเรา จะฝึกนิสัยก็ให้ฝึกจาก 5 ห้องชีวิตนี้ เพื่อหล่อหลอมเป็นนิสัยเรา แล้วความคิดสร้างสรรค์ คำพูดดี ๆ และการกระทำดี ๆ ก็จะเกิดขึ้นตามมา

 

       พื้นฐาน "นิสัย 5 ของบัณฑิต" คือรักความสะอาด ความเป็นระเบียบ สุภาพ ตรงเวลา และมีสมาธิ ยกตัวอย่างถ้า ตัวเราสกปรก ข้าวของเครื่องใช้ของเราสกปรก ฝุ่นจับหยากไย่ขึ้น ความคิดทางบวกมันก็ไม่เกิด ดังนั้น ก่อนอื่นตัวเราต้องสะอาด เมื่อเรามีระเบียบความคิดก็จะเป็นระเบียบตามไปด้วย ที่สำคัญต้อง สุภาพ ตรงต่อเวลา และมีสมาธิ หากทำได้อย่างนี้แล้วทุกอย่าง ก็จะดีตามไปด้วย เราจึงควรฝึกนิสัย 5 ของบัณฑิตผ่านกิจวัตรต่าง ๆใน 5 ห้องชีวิต

 

รีเซ็ตสมองด้วยสมาธิ     

 

        คนต่างชาติต่างศาสนาเริ่มให้ความสนใจการนั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรมมากขึ้นเรื่อย ๆ จนปัจจุบันทั่วโลกถือว่าสมาธิเป็น หลักสากลที่คนทุกชาติทุกศาสนาควรปฏิบัติ โดยถ้าเราฝึกสมาธิ ก็จะมีส่วนช่วยระบบการทำงานของสมอง ในลักษณะเหมือนกับ การรีเซ็ตสมองไปสู่ภาวะที่มันควรจะเป็น คือ "ไปในทางบวก"

 

          พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "จิตมนุษย์ แต่เดิมประภัสสร" คือใจคนแต่เดิมมีแนวโน้มเป็นไปในทางบวกอยู่แล้ว แต่เป็นเพราะกิเลสที่จรมา ทั้งความโลภ ความโกรธ ความหลงนั้น ดึงเราให้คิดไปในทางลบ พอเราทำสมาธิขจัดความโลภ โกรธ หลง ให้เบาบางลงได้ ใจเราก็จะกลับสู่สภาวะดั้งเดิม คือ "ประภัสสร" ความคิดทางบวกก็บังเกิดขึ้น ดังนั้น สมาธิมีส่วนช่วยได้มากทีเดียว

 

        เมื่อเราคิดดี พูดดี และทำดี กระแสด้านบวกจะออกจาก ตัวเราไปแล้วดึงดูดคนดี ๆ สิ่งดี ๆ เข้ามาหาเรา แต่คนที่คิดร้าย ๆ พูดร้าย ๆ ทำเรื่องร้าย ๆ กระแสด้านลบก็จะออกจากตัวแล้ว ไปดึงดูดเรื่องร้าย ๆ เข้ามาหา จนเราต้องมานั่งกลัดกลุ้มใจว่า ทำไมถึงเจอแต่เรื่องร้าย ๆ แต่นั่นไม่ใช่เพราะใครอื่น ทั้งหมด เกิดจากตัวของเราเองทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ขอให้คิด พูด และทำ แต่ด้านบวก เพื่อให้เรามีชีวิตที่มีแต่ด้านบวกตลอดไป

 

        การที่เราคิดบวก ชีวิตของเราก็จะประสบความสำเร็จ แต่ถ้าเราคิดลบ ชีวิตของเราก็จะประสบแต่ความล้มเหลว ซึ่งเป็นการ ยืนยันหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ยืนยงมากว่า 2,600 ปี ว่า "ทำดีไดัดี ทำชั่วได้ชั่ว" ถ้าเราทุกคนนำหลักธรรมคำสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาปรับใช้ด้วยการคิดดี พูดดี และทำดี รวมถึงนำสมาธิมาปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวันด้วย ก็จะทำให้เรา ประสบแต่สิ่งดี ๆ ตลอดไป

 

ขัดเกลาความคิด
พระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ M.D., Ph.D.

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.018110132217407 Mins