โรคมะเร็งในองค์กร
โรคมะเร็งที่จะพูดถึงวันนี้เป็นโรคมะเร็งองค์กร คือ ถ้าหากว่าองค์กรหนึ่งเป็นเสมือนสิ่งมีชีวิต มะเร็งในองค์กรก็มีสิทธิ์จะเกิดขึ้นได้ แล้วเราจะมีวิธีป้องกัน แก้ไขอย่างไรก่อนอื่นลองมาเทียบเคียงกับมะเร็งในร่างกาย คนเสียก่อน
สาเหตุหลักของมะเร็งในร่างกายคน สรุปได้ 4 อย่าง คือ
1. เกิดจากการรับสารพิษเข้าไป ที่จริงร่างกายคนเราก็มีสารพิษอยู่แล้ว และมีกระบวนการในการกำจัดสารพิษอยู่ด้วย แต่ถ้าระบบกำจัดสารพิษทำงานไม่ค่อยปกติก็จะมีปัญหา
2. เกิดจากกระบวนการในการกำจัดเซลล์ ผิดปกติทำงานไม่ดี ร่างกายคนเรามีเซลล์มากมาย เป็นล้าน ๆ เซลล์ ใน 1 วินาทีจะต้องสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทนเซลล์เก่าทั่วทั้งร่างกายประมาณ 25 ล้านครั้ง เพราะเซลล์ในร่างกายคนเราเยอะมาก และกระบวนการสร้างเซลล์ใหม่มีโอกาสที่จะเกิด การผิดพลาดขึ้นมาได้
ถ้าเซลล์ที่สร้างขึ้นมาใหม่ผิดปกติ ร่างกายก็จะต้องตรวจจับให้ได้ และมีกระบวนการกำจัดเซลล์ที่ผิดปกติออกไป แต่ถ้ากระบวนการในการกำจัดเซลล์ผิดปกติทำงานไม่ดี เซลล์ผิดปกติที่เกิดขึ้นมาก็จะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ แล้วกลายเป็นมะเร็งขึ้นมา หรือถ้าสารพิษที่กำจัดออกไปไม่หมดมีปริมาณมากขึ้น ก็จะไปเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดเซลล์ผิดปกติมากขึ้น
ทั้ง 2 กรณีนี้ อาจเกิดจากยีน กรรมพันธุ์ หรือสิ่งแวดล้อมก็ได้
3. เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันทำหน้าที่ไม่ดี ปกติคนเราทุกคนมีภูมิคุ้มกัน เวลาร่างกายมีสิ่ง ผิดปกติเข้ามา ภูมิคุ้มกันก็จะไปจับและกำจัด สิ่งนั้นออกไป ถ้าภูมิคุ้มกันอ่อนแรงลง การกำจัดสิ่งผิดปกติก็จะทำได้น้อยลง ทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งได้เพิ่มขึ้น
ถ้าถามว่าทำไมภูมิคุ้มกันถึงอ่อนกำลังลง สาเหตุหลัก ๆ เกิดจากความเครียด พักผ่อนไม่พอ ร่างกายอ่อนล้า ทำให้ระบบต่าง ๆ อ่อนกำลังลง ถึงคราวมีอะไรผิดปกติขึ้นมาก็สู้ไม่ไหว จัดการไม่ได้
4. เกิดจากอาหารที่เราบริโภค ถ้าอาหาร ที่เราบริโภคเป็นอาหารที่ไม่เหมาะสม มีสารก่อมะเร็งมาก ก็มีโอกาสเกิดโรคได้มาก
ทั้ง 4 ข้อนี้ มีความเชื่อมโยงกัน ไม่ได้แยกขาดจากกัน หากรับสารพิษเข้าไปมาก ไม่ว่าอากาศเป็นพิษ หรือน้ำเป็นพิษก็ตาม มีโอกาสเข้าไปสะสม ในร่างกาย แล้วนำไปสู่ข้อ 2 คือ กระตุ้นให้เกิดการ สร้างเซลล์ใหม่ที่ผิดปกติขึ้นมา แล้วพอภูมิคุ้มกัน อ่อนกำลังลงเพราะพักผ่อนไม่พอ หรือเพราะเครียดก็จะทำให้กระบวนการในการกำจัดเซลล์ผิดปกติทำหน้าที่ได้ไม่ดี
เซลล์ผิดปกติก็เลยเจริญเติบโตมากขึ้น ๆ จนกระทั่งกลายเป็นมะเร็ง อาหารที่เราบริโภคก็เป็นตัวหนึ่งที่กระตุ้นให้เกิดสารพิษกระตุ้น ทำให้เกิดเซลล์ผิดปกติได้มากขึ้นเช่นเดียวกัน แล้วกลายเป็นมะเร็งในที่สุดนี่คือ กระบวนการในการเกิดมะเร็งของคนเราโดยทั่วไป
ส่วนมะเร็งองค์กรนั้น มีสิ่งที่จะต้องใส่ใจและ ให้ความสำคัญ คือ
1. ป้องกันมลพิษทางใจระบาดในองค์กร ก่อนอื่นถ้าเรามององค์กรโดยทั่วไป จะพบว่ามีสารพิษมาโดยตลอด เป็นมลพิษทางใจของสมาชิกในองค์กร ที่ทำให้เกิดความคิดหรือความเข้าใจผิด ๆ ออกนอกลู่นอกทาง ซึ่งถ้าทิ้งไว้ก็จะทำให้องค์กรปั่นป่วนได้ เรื่องนี้ขอยืมตัวอย่างของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาให้ดูว่า พระองค์ทรงบริหารองค์กรคณะสงฆ์ ในครั้งพุทธกาลอย่างไร จึงทำให้สงฆ์เป็นปึกแผ่นและสามารถสืบทอดมาได้ถึง 2,000 กว่าปี
วิธีของพระองค์ ก็คือ การพร่ำสอนบ่อย ๆ ดังจะเห็นได้ว่า พระองค์ทรงพร่ำสอนพระภิกษุสงฆ์มาตลอดพระชนม์ชีพ เพื่อให้คณะสงฆ์เกิดความเข้าใจที่ตรงกันว่า อะไรคือสิ่งที่ถูก ที่ควร ที่ดี
ในการบริหารองค์กรก็เช่นกัน พวกเราจะต้อง มีการสื่อสารที่ดีระหว่างผู้บริหารเจ้าหน้าที่ และพนักงานทั้งหมดในองค์กร วิธีการง่าย ๆ ที่จะเช็กว่าเรามีระบบการสื่อสารดีพอหรือเปล่า คือ สังเกตว่าในองค์กรมีข่าวลือไหม ถ้าองค์กรไหนมีข่าวลือมากแสดงว่าระบบการสื่อสารมีปัญหา
ถ้าเพิกเฉยทิ้งไว้จะทำให้มีโอกาสเกิดมะเร็งขึ้น ถ้าผู้บริหารตัดสินใจทำอะไร จะนำองค์กรไปในทิศทางไหนต้องมีการ สื่อสารกับพนักงานและเจ้าหน้าที่ ให้เขาเข้าใจเหตุผลที่มา ที่ไป พอทุกคนเข้าใจ เห็นภาพทั้งหมดตรงกัน
องค์กรก็จะรวมเป็นเอกภาพ เพราะเอกภาพเริ่มต้นจากความคิด แต่ถ้าขาดความเข้าใจ ก็จะตีความกันไปต่าง ๆ นานา ผลลัพธ์ก็คือคิดกันไปคนละทิศ คนละทางคิดแล้วเอาไปพูดต่อก็กลายเป็นข่าวลือ ยิ่งถ้ามีคนเจตนาไม่ดีมาปล่อยข่าวลือ ก็ยิ่งไปกันใหญ่
แต่ถ้าองค์กรไหนมีระบบการสื่อสารที่ดี ทุกคน จะรู้ว่าต้องฟังใคร ข้อมูลจากใครเชื่อถือได้มากที่สุด อย่างนี้ถ้าอะไรเกิดขึ้น ทุกคนก็จะเข้าใจทุกอย่าง ใครจะมาปล่อยข่าวลือก็ไม่สำเร็จ
2. กำจัดเซลล์แปลกปลอม ร่างกายคนเราต้อง สร้างเซลล์ใหม่วินาทีละ 25 ล้านครั้ง แน่นอนว่าในจำนวนนั้นต้องมีเซลล์ที่ผิดปกติบ้างในการแตกตัว เช่นเดียวกับองค์กรที่รับสมาชิกเข้ามามาก ๆ ก็ต้อง มีสมาชิกที่ผิดปกติปนเปเข้ามาบ้าง คือ เข้ากับ หมู่คณะไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องมีวิธีการบริหารจัดการให้ดี
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงใช้วิธีวางกรอบวินัย ไว้อย่างรัดกุม ทั้งหนัก ทั้งเบา คนทำผิดครั้งแรกพระองค์จะทรงถือว่าเป็นอาทิกรรมิกะ คือ ถือว่าเป็น ต้นบัญญัติ ยกประโยชน์ให้จำเลยไป แต่ก็ทรงวางระเบียบไว้ว่า จากนี้ไปใครจะทำอีกไม่ได้ แล้วทรง ค่อย ๆ บัญญัติวินัยขึ้นมาทีละข้อ ๆ โดยมีที่มาที่ไป ทุกข้อ ถ้าอยู่ ๆ ประกาศระเบียบขึ้นมา 300 ข้อ คนก็ไม่รู้ที่มาที่ไปว่าทำไมระเบียบมากเหลือเกิน เข้มไปหรือเปล่า
แต่ถ้าทุกข้อมีที่มาที่ไป มีหลักการและเหตุผลในการบัญญัติระเบียบข้อนั้น ๆ ยิ่งถ้าบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ด้วย คนก็มีแนวโน้มที่จะยอมรับสูง และถ้าตั้งกติกาขึ้นมาแล้ว เวลาใช้จริง ๆ ยังใช้การได้ไม่ดีพอ ก็ต้องปรับเนื้อหา อย่าง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงปรับเหมือนกัน ที่เรียกว่า อนุบัญญัติ ทรงปรับเป็นระยะ ๆ ปรับจนกระทั่งสมบูรณ์แล้วจึงใช้สืบทอดมาถึงปัจจุบัน
ฉะนั้น องค์กรแต่ละแห่งก็ต้องมีกฎระเบียบที่ชัดเจน มีที่มา ที่ไป เป็นเหตุ เป็นผล สอดคล้องกับสถานการณ์ ให้ทุกคนถือปฏิบัติเหมือนกันหมด ทั้งองค์กร ใครทำไม่ถูกต้องก็ว่าไปตามกติกา หนักเบาแค่ไหน อย่างไร ก็ว่าไปตามนั้น
เช่น ถ้าทำอาบัติปาราชิก 4 ข้อ ก็ต้องขาดจากความเป็นพระ พ้นจากความเป็นสมาชิกภาพขององค์กรคณะสงฆ์พระองค์ทรงบอกไว้อย่างชัดเจนว่า กระทำอย่างไรเป็นอาบัติสังฆาทิเสส ต้องไปอยู่กรรม คล้าย ๆ โทษจำคุกทางโลก
ซึ่งเป็นที่รับทราบทั่วไปว่า ใคร ทำผิดก็ต้องผ่านกระบวนการทำตัวเองให้บริสุทธิ์ตามที่พระองค์ทรงกำหนดเอาไว้ มีหนักมีเบาแยกกันไป ตามเรื่องราวที่กระทำ คือ ทรงให้กฎระเบียบขององค์กรไว้ชัดเจน มีเหตุ มีผล มีที่มา ที่ไป ที่ทุกคนรับทราบและยอมรับถือปฏิบัติตรงกัน วินัยนี้เอง ที่เป็นตัวกรองหมู่คณะ กรองสมาชิก ใครเป็นเซลล์ผิดเพี้ยนจะถูกวินัยกรองและคัดแยก วินัยจึงเป็นเสมือนภูมิคุ้มกันให้เราไปในตัวด้วย
พระองค์ตรัสว่าจะปฏิบัติต่อสงฆ์ทั้งหลาย แบบไม่ทะนุถนอมเลย แต่พระองค์จะกระหนาบแล้ว กระหนาบอีกไม่มีหยุด ชี้โทษแล้ว ชี้โทษอีก ไม่มี หยุด "ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสาร ผู้นั้นจึงจะทน เราได้" ฉะนั้น ตั้งวินัยให้ดี ให้เข้มงวดกวดขัน แต่ยุติธรรมสำหรับทุก ๆ คน
อย่างนี้จะรักษาเอกภาพในองค์กรได้เป็นอย่างดี และสัมพันธ์กับข้อแรกด้วย คือ ทำให้เกิดความเข้าใจกัน เวลาเกิดอะไรขึ้นข่าวสารจะถึงกันหมด และรู้ว่าตัดสิน อย่างนั้นเพราะอะไร ทำเรื่องนี้เพราะอะไร ไม่ทำเพราะอะไร ถ้าระบบการสื่อสารดี กติกาทุกอย่างในองค์กรดีโอกาสเกิดมะเร็งจะมีน้อย
3. ระบบภูมิคุ้มกัน วินัยจัดเป็นภูมิคุ้มกัน อย่างหนึ่ง แต่ภูมิคุ้มกันนี้บางทีก็อ่อนกำลังได้เหมือนกัน ถ้าในแง่ของมะเร็งในร่างกาย คนที่ภูมิคุ้มกันอ่อนลง บางทีเกิดจากกรรมพันธุ์ต้นแบบวางไว้ไม่ดี เจ้าตัวก็ต้องปรับแก้ให้สมบูรณ์ขึ้น แต่บางทีต้นแบบดี ตัวยีนไม่มีปัญหา กรรมพันธุ์ไม่มีปัญหา แต่เกิดจากตัวคนมีความเครียด เช่น พักผ่อน น้อยและมีเรื่องกลุ้มใจมาก ทำให้ระบบการทำงานของร่างกายแปรปรวน ภูมิคุ้มกันก็จะรวนไปด้วย
องค์กรก็เหมือนกัน บางทีกรอบวินัยทำไว้ อย่างดี แต่พนักงานเกิดความเครียด เลยไม่ค่อย อยากทำตามวินัย เกิดรวนขึ้นมา อย่างนี้ก็เป็นไปได้ วิธีแก้ต้องให้สมาชิกในองค์กรรู้จักการพักใจ วิธีที่ดีที่สุด คือ สร้างบุญ ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา พอบุญหล่อเลี้ยงใจ ใจจะผ่องใส สว่างไสว ชุ่มชื่น แล้วจะมีพลังใจทำสิ่งดี ๆ กันต่อไป แล้วบุญกุศล สิ่งที่ดีงามนี้ จะหลอมรวมใจทุกคนให้เป็นหนึ่งได้อีกด้วย
เพราะฉะนั้น ผู้บริหารองค์กรทุกท่านควรจะเป็น ผู้นำให้สมาชิกในองค์กรประพฤติปฏิบัติธรรม พอใจ นิ่ง ๆ นุ่มนวลผ่องใสแล้ว ปัญหาจะหมดไปโดยปริยาย บางทีไม่ต้องทำอะไรก็หมดไปเอง
เรื่องใหญ่ ก็จะกลายเป็นเรื่องเล็ก เรื่องเล็กก็จะกลายเป็นไม่มีเรื่อง แต่ถ้าใจหยาบก็เหมือนภูมิคุ้มกันบกพร่อง เรื่องเล็กก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่ก็แตกกันไปเลย เพราะฉะนั้นการพักใจด้วยการปฏิบัติธรรม ด้วยทาน ด้วยศีล ด้วยบุญกุศล จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น
4. อาหารที่บริโภค ถ้ามีอาหารไม่ดีเข้าไปในร่างกาย ก็จะไปกระตุ้นให้โอกาสเกิดเซลล์ผิดปกติมีสูง ในแง่ขององค์กรก็เหมือนกับการบริโภคสื่อ บริโภคข้อมูลข่าวสาร ซึ่งตอนนี้มีข้อมูลข่าวสารมากมาย
ถ้าหากปล่อยให้ข้อมูลข่าวสารที่ไม่ดีหลุดเข้ามาในองค์กรมาก ก็จะทำให้มีโอกาสเกิดมะเร็งสูง ข้อนี้จะไปสัมพันธ์กับข้อ 1 ซึ่งจะเป็นช่องทางใน การรับข้อมูลข่าวสารที่ไม่ถูกต้อง ทำให้เกิดความคิด แปลก ๆ เพี้ยน ๆ ทำให้ใจหยาบกระด้างและภูมิคุ้มกันอ่อนกำลังลง ซึ่งจะทำให้ไม่อยากปฏิบัติตามระเบียบวินัย
เพราะฉะนั้นสมาชิกในองค์กรจะดีได้ ผู้บริหารองค์กรต้องรู้จักบริหารจัดการเรื่องข้อมูลข่าวสารให้ดี หาวิธีการที่ถูกต้องเหมาะสม ถ้ามีสื่อเข้ามาจะต้อง ทำอย่างไร โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต ตอนนี้เข้าถึงทุกแห่ง
ต้องวางกติกาให้ดี ให้รัดกุมถูกต้อง สอดคล้องกับความเป็นจริง ไม่ใช่วางจนเข้ม เกินไป แต่พอถึงเวลาจริง ๆ ทำไม่ได้ แต่ถ้ากติกาสอดคล้องกับความเป็นจริง มีเหตุมีผล พนักงานและเจ้าหน้าที่ก็จะเข้าใจและให้การยอมรับ ที่สำคัญ ควรให้พนักงานได้ไปวัด ไปปฏิบัติธรรม จนมีใจ ที่นุ่มนวล ยินดีที่จะปฏิบัติตามระเบียบวินัย
การบริหารควบคุมเรื่องสื่อที่ไม่เหมาะสม ไม่ให้เข้ามาทำลายองค์กร จะเป็นไปได้ต้องใช้ทั้ง ๔ ข้อประกอบกัน ไม่ใช่แยกส่วนทำอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะจะทำได้ยาก แต่ถ้าทำทั้ง 4 อย่าง ก็จะได้ผล คือ พนักงานทุกคนจะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ทำงานอย่างมีความสุข องค์กรก็จะเจริญก้าวหน้า ผลตอบแทนก็จะเพิ่มขึ้น
ทุกคนก็จะมีความภาคภูมิใจ ในองค์กร และมีความเป็นเอกภาพ สามัคคีกัน ไม่มีการเลื่อยขาเก้าอี้ หรือตั้งกลุ่มตั้งก๊กเป็นก๊วน เหมือนกับเป็นมะเร็งย่อย ๆ ขึ้นมา ทุกคนในองค์กร ก็จะทำงานอย่างมีความสุข และมีผลตอบแทนที่ดี ทั้งบริษัท องค์กร ทั้งเจ้าหน้าที่ พนักงาน บุญกุศลก็บังเกิดขึ้นเพราะได้สร้างบุญสร้างกุศล ทั้งทาน ศีล ภาวนา ตลอดต่อเนื่อง นี่คือการป้องกันมะเร็งในองค์กรที่ดีมาก ๆ และทำให้องค์กรนั้นเป็นองค์กรที่แข็งแรง
เจริญพร
พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ