วันร้าย (1)

วันที่ 22 สค. พ.ศ.2564

23-8-64-1-b.jpg

วันร้าย (1)

              ป้าไม่อยากจะเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตป้าว่าเป็น “ความโชคร้าย” แต่อยากจะเรียกว่า "เรื่องร้าย ๆ” บางทีการที่เราเจอเรื่องร้ายกลับทำให้เรากลายเป็นคนมีโอกาส ทำให้เรากลายเป็นคนที่รู้จักเห็นอะไรที่ “ดีน้อย” เป็น “ดีมาก” สมมุติเราเป็นคนที่จนมาก พอเราขยับขึ้นมาเป็นคนที่จนน้อย เราจะรู้สึกว่าเราเป็นคนรวยแล้ว

              ป้าเองเป็นคนที่เจอเรื่องร้าย ๆ มาตั้งแต่เกิด คุณแม่เล่าย้อนให้ฟังว่า ตอนที่ป้าอายุได้ 2 เดือน เป็นวันที่พ่อกับแม่พาป้าไปกราบคุณปู่กับคุณย่า ตอนขากลับขณะที่ป้าถูกอุ้มอยู่ในอกคนอุ้มซึ่งกำลังยืนรอเรืออยู่ที่โปะ ไม่แน่ใจว่าเป็นพี่เลี้ยงหรือเปล่า ปรากฏว่าคนที่อุ้มป้าเขาทำป้าพลัดตกลงไปในแม่น้ำ แม่ไม่ทันได้สังเกตว่าป้าดินหรืออะไร รู้อีกทีคนอุ้มก็ร้องออกมาว่าหลานตกน้ำ พ่อแม่ว่ายน้ำเก่งแต่ไม่มีใครโดดไปช่วยป้าเพราะมัวแต่ตกตะลึง ได้แต่ร้องว่าลูกตกน้ำ ๆ คนที่ช่วยชีวิตป้าไว้คือคนขับเรือแท็กซี่ แม่บอกว่าป้ากำลังจะเข้าไปใต้โป๊ะอยู่แล้ว ถ้าเข้าไปไม่รู้จะช่วยยังไงเลยเพราะน้ำมันซัดแรงมาก แต่เขาก็ช่วยขึ้นมาได้ พอขึ้นมาแม่ก็เอาป้าคว่ำหน้าน้ำก็ออกจากปาก ด้วยความตกใจก็ไม่ได้ถามชื่อไว้ว่าคนช่วยเป็นใครชื่ออะไร จากเหตุการณ์นั้นจึงทำให้ป้าถูกเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอมจากพ่อแม่อย่างไม่ทราบสาเหตุ แม่เล่าว่าหมอบอกว่าตกน้ำลักษณะนี้ หลังทั้งหลังของเด็กอายุสองเดือนนี่ถือว่าแรงมาก หลังทั้งหลังได้รับความกระทบกระเทือนมาก น้ำที่เข้าไปในปากในจมูกก็ไม่รู้ว่าเข้าไปถึงปอดหรือถึงตรงไหนบ้างหมอเพียงแต่ให้พ่อกับแม่เฝ้าดูว่าป้าจะมีอาการอะไรไหม แต่แม่กับพ่อบอกว่าเท่าที่สังเกตเห็นสิ่งเดียวที่รู้สึกอ่อนแอก็คือตัวซีดหน้าซีดง่าย ใจสั่น ตัวสั่น ซึ่งพ่อกับแม่เข้าใจว่าเกิดจากเราเป็นคนใจอ่อน เรารู้ว่าใจเราไม่ได้อ่อนแต่เราบังคับตัวเองไม่ได้ มันจะมีอาการตอนที่พออากาศร้อน หรือเดินไปไหนเหนื่อย ๆ ป้าจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ อย่างตอนที่อยู่เขมะสิริฯ ก็เป็นลมบ่อย จนตอนอยู่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อน ๆ จะรู้ว่าถ้าชวนเรา ไปไหนแล้วโดนแดดจัด ๆ จะเป็นลม ทุกคนจะพากันคิดว่าเราเป็นคนใจเสาะเปราะบางมาก ทั้งที่ใจเราบอกว่าเราบังคับตัวเองไม่ได้ แต่เพื่อนก็คอยดูแลมาตลอด จนตัวเองรู้ว่าถ้าป้าจะต้องเปลี่ยนอากาศโดยฉับพลันป้าจะมีอาการนี้ หรือถ้าป้าจะต้องเดินขึ้นที่สูงไปเรื่อย ๆ หรือขึ้นบันไดหลายชั้นก็จะเกิดอาการซึ่งปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่

 

                เหตุการณ์ร้าย ๆ หลังจากนั้นคือช่วงที่ป้าอายุได้สัก 3 ขวบ คุณยายซึ่งรักป้ามากก็เสียชีวิต แล้วก็มีคนรอบข้างอีกหลายต่อหลายคนทยอยกันเสียชีวิต จนเราเริ่มสังเกตความตายแล้วตกน้ำนี่ไม่ได้ตกครั้งเดียวนะ มีอีกครั้งหนึ่งตอนอายุสัก 9-10 ขวบ ป้าขอให้พ่อพาไปว่ายน้ำ พ่อก็พาป้าไปว่ายน้ำที่บ้าน ที่เขาทำเตาขาย วันนั้นไปกับพ่อสองคน ป้าก็บอกว่าป้าว่ายได้ พ่อก็บอกเดี๋ยวพ่อนั่งดูข้างบน แต่ปรากฏว่าป้าจมน้ำ
เพราะไม่คิดว่ากระแสน้ำที่อยู่ข้างล่างจะพัดให้เราไหลลงไปใต้น้ำ ป้าจมลงไปจะถึงพื้นอยู่แล้วก็ทะลึ่งขึ้นมา ที่เขาบอกว่าทะลึ่งขึ้นมา 3 ครั้งเป็นยังไงน่ะรู้เลย ขึ้นมาครั้งแรกพ่อก็ไม่เห็น ลงไปอีกขึ้นมาใหม่พ่อก็ไม่เห็น พอครั้งสุดท้ายนี่รู้ตัวนะบอกตัวเองว่าถ้าขึ้นมาครั้งนี้ถ้าพ่อไม่เห็นน่ากลัวจะต้องตาย คิดว่าขอให้พ่อเห็นเถอะ แล้วก็จริง ๆ พ่อดึงผมไว้ ขึ้นมาถึงป้าก็เล่าให้พ่อฟังว่าใต้น้ำมันไม่มืด มันสว่าง ลงไปก็เห็นพื้นน้ำ เหมือนเท้าเราจะยันพื้น เราไม่ได้ดันตัวเองขึ้นมาเลย แต่ทำไมมันถึงขึ้นมาได้ 3 ครั้งก็ไม่รู้ มันแปลกนะ หนที่สองที่ตกน้ำทำให้ป้ารู้สึกว่าป้ากับน้ำท่าจะไม่ถูกกัน ป้ากลัวน้ำ ไม่กล้าว่ายน้ำ ถึงจะว่ายตอนที่โตอยู่มหาวิทยาลัยแล้วป้าจะไม่ยอมว่ายน้ำท่าก้มหน้า ป้าจะชูคอขึ้น จะไม่ยอมไม่เห็นโลกข้างบน มันน่ากลัวนะ ฝังใจเลย นึกถึงภาพมันก็ปรากฏเลย...ชัดเจนมาก


                ในช่วงต้น ๆ ของชีวิตเรื่องร้ายถือว่ายังไม่ค่อยมากเท่าไหร่ แต่สิ่งที่เห็นแล้วอยากเล่าคือ ป้าเป็นคนไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ ป้าอายุสิบกว่าขวบแล้ว ตอนนั้นยังอยู่บ้านที่ฝั่งธนฯ อยู่ ๆ แม่ก็ปวดหัวมาก คนแถวบ้านก็พูดกันว่าแม่ต้องโดนของแน่ ๆ ป้าไม่เข้าใจว่าคำว่า "โดนของ มันคืออะไร มีความรู้สึกว่าบ้านเราก็ไม่เห็นมีอะไรแปลก บ้านเรานี่ประตูทางเข้าบ้านจะเป็นแบบบ้านโบราณ เหมือนบานเฟี้ยม บนหลังคาจะมีกระถางต้นไม้เรียงไว้อยู่ ๆ ป้าก็เกิดปีนขึ้นไป ดูแล้วป้าก็ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น ป้าเห็นตุ๊กตาผู้หญิงผู้ชายหันหลังให้กันแล้วถูกมัดด้วยเชือก มีเข็มปักอยู่ที่หัวผู้หญิง ป้าหยิบขึ้นมาให้คุณป้าดูแล้วก็ถามว่านี่อะไร คุณป้าก็บอกตายจริงเอามาจากไหน คุณป้าก็บอกนี่ถ้าจะใช่คุณ
แม่โดนของ ป้าก็ถามว่าที่แม่ปวดหัวเป็นเพราะเข็มที่ทิ่มไว้เหรอ คุณป้าก็บอกว่าท่าจะใช่ ป้าก็ดึงออก คุณป้าก็บอกอย่าทำนะ เดี๋ยวมันจะเข้าตัว ป้าก็บอกไม่เห็นเป็นไรเลยก็จะช่วยแม่นี่นา พอดึงออกแม่หายปวดหัว คุณป้าเองก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับตัวป้าที่กำลังถือเข็มกับตุ๊กตาไว้ เขาก็เลยวิ่งไปบอกพ่อกับแม่ว่านี่ไง ใสเจอของอย่างนี้ คนจีนที่มาดูเขาก็บอกทำอย่างนี้เดี๋ยวของจะไปโดนคนอื่น ป้าก็บอกจะทำยังไงล่ะ เลยแกะเชือกที่มัดออก แล้วก็เอาตุ๊กตาวาง แล้วป้าก็เอากระดาษมาห่อเข็ม ห่อตุ๊กตาแล้วป้าก็เอาไปโยนแม่น้ำ แค่นั้นเอง แต่ผู้ใหญ่กลัวมาก แตกตื่นกันไปหมดเลย สิ่งนี้ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องร้ายหรือดี ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าทำไมคนใจร้าย เขาต้องเป็นคนที่ปรารถนาให้แม่แยกกันเพราะเขาหันหลังพ่อกับแม่ชนกัน ป้าเลยบอกกับแม่ว่าจะใส่บาตรทุกวัน แม่ถามว่าทำไม ก็เพราะคนที่ทำอย่างนี้ได้เขาบาปมากเลย แม่ก็ปลอบและสอนว่าไม่ให้โกรธเขา แม่คงทราบว่าใครทำแต่แม่ไม่พูด หลังจากนั้นแม่ก็จะคอยถามป้าว่า ใสเป็นอะไรหรือเปล่าใสเจ็บไหม ทุกวันนี้ป้าก็ยังคงไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์


                อีกเรื่องหนึ่งที่ป้ารู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ทำร้ายจิตใจป้าและทำให้ป้าเกลียดคนดื่มเหล้ามาก ๆ เลยก็คือตอนที่พ่อเมา มีวันหนึ่งพ่อเมามากและทำสิ่งที่เรานึกไม่ถึง จู่ ๆ พ่ออุ้มน้องปุ๋ยซึ่งเป็นน้องคนที่สองแล้วทำท่าจะโยนน้องลงจากหน้าต่าง พ่อทำท่าโยนน้องเล่นแต่ก็ไม่ยอมปล่อย แม่ก็ร้องไห้ถามพ่อว่าพี่เป็นอะไรไป ไม่เคยเป็นแบบนี้เลย พ่อพูดไม่รู้เรื่อง สุดท้ายแม่บอกว่าใสขาใสต้องพูดกับพ่อเพราะพ่อฟังใส ป้าก็เดินเข้าไปข้าง ๆ พ่อ แม่ก็เดินอ้อมไปข้าง ๆ จับแขนพ่อโดยที่แขนประคองหัวของน้องไว้ด้วย ป้าก็ถามว่า พ่อเล่นอะไรคะ พ่อก็บอกว่าก็อยากมาหาว่าพ่อเป็นคนขี้เมา เมาไม่รู้เรื่อง พ่อก็จะทำให้ดูว่าพ่อไม่เมา ป้าก็ถามว่าไม่เมาแต่จะโยนน้องทิ้งลงข้างล่างเหรอคะ พ่อก็บอกก็จะทำให้ดูไงว่าถ้าตั้งใจทิ้งแล้วมันทิ้งได้ ป้าก็จับน้องเอาไว้แล้วก็ถามพ่ออีกว่า พ่ออยากทิ้งน้องมากเลยเหรอ งั้นพ่อวางน้องลงก่อน มาแลกกันทิ้งใสดีกว่าใสตัวใหญ่ พ่อก็เอาน้องลงวาง พอพ่อวางน้องเราสองคนก็ถอยไปยืนไกล ๆ พ่อบอกพ่อล้อเล่นนะ พ่อไม่ทำจริงหรอก แต่ในใจเรา คิดว่าไม่จริงหรอก พ่อต้องทำจริงแน่ พ่อขาดสติมาก ๆ พูดจาไม่รู้เรื่อง วันนั้นป้าพูดกับพ่อว่า พ่อขาใส ไม่รักพ่อ ป้าเห็นนัยน์ตาพ่อแล้วเหมือนไม่ใช่พ่อเลย ป้าบอกว่า พ่อเป็นใคร ใสไม่เห็นรู้จักพ่อเลย แล้วตั้งแต่วันนั้นมาเวลาพ่อเมาน้องคนที่สองเขาจะกลัวพ่อมาก พวกเราทุกคนเลยต่อต้านการกินเหล้าของพ่อ เพราะภาพวันนั้นมันเป็นภาพที่ฝังใจป่าและลูกทุกคนจนถึงวันที่พ่อจากพวกเราไป


                 อีกเรื่องหนึ่งที่ป้าเห็นก่อนที่แม่จะตายก็คือ ป้ามียายสองคน หลังจากที่คุณยายของเราเสียไปแล้ว คุณยายซึ่งเป็นพี่ของคุณยายอีกคนหนึ่งท่านก็อยู่กับเรา ท่านอายุ 98 แล้ว เราเองรู้สึกว่าคุณยายแข็งแรงมากเลย เรายังบอกคุณยายว่าถ้าคุณยายอายุถึงร้อยเมื่อไหร่ เราจะพาคุณยายไปลงหนังสือพิมพ์ อยู่มาวันหนึ่งเราก็ได้ยินเสียงดังตึงลั่นบ้านเลย พวกน้อง ๆตกใจมากวิ่งหนีไปอยู่ห้องพระกันหมดเลย ป้าก็บอกเสียงดังที่ห้องยายทำไมไม่วิ่งไปดูยาย ป้าวิ่งไปก็เห็นยายนอนอยู่กับพื้นคิดว่ายายคงหงายหลังตึงลงมาเลย แต่ยายรู้ตัวนะ ลืมตาแต่พูดไม่ได้ ป้าก็จับยายอุ้มทั้งที่คุณยายไม่รักป้าเลยนะเพราะยายเห็นว่าพ่อแม่รักป้า ยายจึงรักน้องสาวป้าอีกคนหนึ่ง คือที่บ้านเรานี่ผู้ใหญ่ค่อนข้างจะแปลกต่างคนต่างจะมีหลานคนโปรด ต่างแย่งกันรักเด็ก ซึ่งป้าไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย แต่ปรากฏว่าน้องสาวป้าก็ไม่ดูแลยายเลยนะเพราะเขากลัว แต่
คนที่ดูแลยายคือป้า ไม่ว่าจะอี จะฉี่ จะเปลี่ยนผ้า จะป้อนข้าว ป้าทำทั้งหมด จนกระทั่งถึงวันที่ต้องส่งยายไปโรงพยาบาลพ่อกับแม่ก็พายายไปส่ง สิ่งนี้แหละที่ป้าไม่ชอบและฝังใจมาก ป้าถามว่าพายายไปส่งโรงพยาบาลแล้วยายจะรอดไหม พ่อกับแม่ก็บอกว่าถึงยังไงยายก็ต้องตายเพราะยายอายุมากแล้ว ป้าก็ถามต่อว่า ทำไมไม่ให้ยายอยู่ที่บ้านล่ะ พ่อกับแม่ตอบไม่ได้ แล้วยังพูดเหมือนว่า โบราณเขาถือถ้าจะมีใครตายที่บ้าน ป้ามีความรู้สึกว่าถ้าป้าเป็นยาย ป้าจะเสียใจมากเลย ตอนนั้นทุกคนจะมองว่าเป็นเรื่องดีมากที่ส่งยายไปโรงพยาบาลแต่โหดร้ายมากสำหรับป้า แล้วไปถึงก็ไม่มีห้องพิเศษให้ยายอยู่ ยายต้องนอนห้องรวม กลางคืนเราก็เฝ้ายายไม่ได้ พ่อกับแม่อ้างว่าแม่ต้องไปสอนหนังสือ พ่อก็ต้องไปทำงาน ไม่มีใครดูแล ซึ่งไม่จริงเลยเพราะป้าดูแลยายได้ ป้าพูดกับแม่ว่า หมอไม่ได้รักยายทำไมต้องเอาไปด้วย แล้วฉีดยาเข้าไปแล้วยายจะรอดเหรอ แม่บอกก็ต้องทำใจเพราะยายแก่แล้วยายก็ต้องตายไปตามวาระ แม่อาจจะคิดดี แต่ในความคิดป้าก็คือ ฉีดยาก็เจ็บ ยังไงก็
ต้องตาย ปรากฏว่ายายอยู่ได้ 2 คืนเอง วันนั้นแม่กลับมาบ้านตอนหกโมงเย็น ป้าก็ถามยายจะได้กลับบ้านมั้ย แม่ก็บอกยายคงไม่กลับมาแล้วละลูกเพราะหมอบอกว่ายายคงไม่พ้นคืนนี้ แล้วป้ามีความรู้สึกว่า เออ...ตายคนเดียว อยู่กับคนไม่รู้จักเลย ป้าก็นั่งเงียบ ๆ แม่ก็ถามว่าใสเป็นอะไร ป้าพูดออกมาเป็นคำพูดไม่ได้นะตอนนั้น รู้สึกแต่ว่าไม่ยุติธรรมเลย ปรากฏว่าคืนนั้นประมาณสักเที่ยงคืนนิดหน่อยยายมาหาป้า

 

              ตอนนั้นเราย้ายบ้านไปอยู่อีกหลังหนึ่งแล้ว พ่อแม่จะทำห้องนอนให้พวกเราห้องใครห้องมัน ป้าเองนั่งเขียนหนังสืออยู่ หันไปเห็นยายยืนอยู่ที่ประตูนอกมุ้งลวด ในใจก็คิดว่าอุ๊ยยายกลับมาแล้วเหรอ แต่มองอีกทีก็ไม่เห็นแล้ว ป้าเลยเดินไปบอกแม่ ว่าแม่ขาเมื่อกี้ใสเห็นยายกลับมาบ้าน แม่ถามว่าเห็นที่ไหน ป้าบอกเห็นยายยืนอยู่หน้าห้องใส แม่ก็เงียบไป พอเช้าขึ้นแม่ก็รีบไปโรงพยาบาล ปรากฏว่ายายตายเวลานั้น เวลาเดียวกับที่มาหาป้า แล้วยายก็มาหาป้าคนเดียว มันเป็นเรื่องร้ายหรือเปล่าไม่ทราบ ทราบแต่ว่าเป็นเรื่องที่กดดันหัวใจป้ามากเลย ป้าเลยบอกกับคุณแม่ว่า ถ้าแม่แก่ลงแล้วแม่เจ็บอย่างนี้ ใสจะไม่ให้แม่ตายแบบยาย แม่ร้องไห้เลย


              หลังจากคุณยายเสียสัก 2-3 ปี ป้าก็เข้ามหาวิทยาลัย ช่วงนั้นถือเป็นวันที่ร้ายที่สุดเพราะคุณแม่เสีย ช่วงนั้นคุณพ่อป่วยเป็นโรคหัวใจ คุณพ่อทำงานไม่ได้แล้ว สตางค์ที่เคยมีก็ไม่มีแล้ว จริง ๆ ไม่มีนานแล้วแต่เราไม่ทราบ คุณแม่เองก็ทำขนมขายทุกวัน แม่กลายเป็นหลักของบ้าน วันที่ป้ารู้ว่าบ้านเราไม่มีสตางค์ป้าก็เลยดิ้นรนที่จะให้แม่มาเปิดร้านขายอาหารในมหาวิทยาลัย แม่เลยลาออกจากการเป็นครูแล้วมาเปิดร้าน
โดยที่ป้าก็ไม่ทราบว่าคุณแม่เอาสตางค์มาจากไหน พอมาเปิดแล้วก็ทำท่าจะไปไม่รอดเพราะแม่เขาเป็นครูมาตลอดชีวิต เขาไม่คุ้นกับระบบการซื้อกับข้าว ระบบการทำร้าน แม่กลุ้มใจมาก เพราะรู้สึกว่าเงินทองก็ไม่เห็นจะได้เยอะอย่างที่คาดไว้ สุดท้ายแม่ก็ตัดสินใจปิดร้าน หลังจากปิดร้านวันรุ่งขึ้นแม่ตั้งใจจะมาเก็บร้านให้เรียบร้อย ซึ่งแม่ก็เอาอาหารมาให้ป้าทานที่มหาวิทยาลัยด้วย แต่เผอิญวันนั้นป้าไปนอนค้างบ้านเพื่อนข้างนอกมหาวิทยาลัย พอป้ากลับเข้ามาในมหาวิทยาลัยตอนเช้าเพื่อนบอกว่า  เมื่อเช้าน้องชายวิ่งเข้ามาตามหาป้า ใส่ชุดนักเรียนมาแต่ไม่ใส่รองเท้า เพื่อนอีกคนก็บอกว่าใสตั้งตัวดี ๆนะ รถที่บ้านของตัวน่ะคว่ำ  เพราะโดนรถสองแถวใหญ่ซึ่งผ่าไฟแดงมาชน ตอนนั้นน้องป้องเป็นคนขับ คุณแม่นั่งหน้าและมีน้องสาวกับน้องชายอีกคนนั่งข้างหลัง น้องสาวดั้งจมูกหัก น้องชายเล่าให้ฟังว่าเขานึกว่าแม่ไม่เป็นอะไรเพราะแม่ไม่มีเลือด
แม่พิงไปเฉย ๆ น้องก็วิ่งไปดูคันที่เขาชนเราคันนั้นมีคนเจ็บหลายคน พอน้องชายวิ่งกลับมาดูแม่อีกทีพอเปิดประตูเรียก


              “แม่ครับ” แม่ก็ฟุบลงมาตามประตู แล้วเลือดก็ออกจมูกออกปาก เขาบอกเขาอุ้มแม่ไว้ น้องชายอีกคนเลยวิ่งมาตามป้าที่มหาวิทยาลัย เขาบอกไม่มีใครช่วยเลยเพราะเลือดแม่ออกเยอะมาก จนกระทั่งมีทหารเรือคนหนึ่งขับรถผ่านมาเขาช่วยเอาแม่ขึ้นรถ เพื่อนก็พาป้าขับรถตามไปที่โรงพยาบาลไปถึงน้องชายก็บอกพี่ใสแม่เราตายแล้ว แล้วเขาก็เข้ามากอดป้าแล้วก็ร้องไห้ใหญ่เลย เสื้อเขานี่เลือดเต็มเลย


              ...นาทีนั้นตาเราลืมอยู่แต่รู้สึกว่าเรามองไม่เห็นอะไรเลย เหมือนเราหายไปไหนชั่วขณะ แต่ไม่เป็นลม ยืนนิ่ง ๆพักหนึ่งก็ได้ยินเสียงน้องพูดจึงถามว่าแม่ตายจริงเหรอ เพื่อน ๆ ที่ขับรถตามไปอีกหลายคันก็ช่วยกันไปแจ้งความ ไปทำใบมรณบัตร แยกกันไปทำอะไรต่ออะไร คุณพ่อเองอยู่บ้านพอรู้ พ่อก็ช็อก เพื่อนคนหนึ่งไปรับน้องปูมาจากโรงเรียนเขมะ” น้องชายอีกคนก็บอกปู..แม่ตายแล้ว แม่ตายจริง ๆ ปรากฏว่าน้องปูกระเป๋านักเรียนร่วงจากมือแล้วตัวเขาก็ลงไปกองกับพื้นเลย อีกคนหนึ่งไปเรียนหนังสืออยู่ที่ มศว.บางแสน เพื่อนป้าคนหนึ่งช่วย ไปรับเขากลับมา ตอนไปเพื่อนป้าก็ไม่ได้บอกว่าแม่ตาย บอกแต่ว่าแม่เจ็บอยู่โรงพยาบาล น้องนั่งมาในรถก็บอกเดี๋ยวจะปรนนิบัติแม่ให้ดี จะป้อนข้าวแม่ พอมาถึงบ้าน ยังไม่รู้ว่าแม่ตาย ป้าเล็กเห็นหน้าเขาก็บอกปุ๋ย..แม่ตายแล้ว พอเขารู้ก็ร้อง กรี๊ด ๆๆๆ แล้วก็ร้องไห้ไม่หยุด แกช็อก ควบคุมสติไม่ได้เลย


               ที่โหดร้ายอีกครั้งก็คือตอนไปรับศพแม่จากโรงพยาบาลภูมิพลเพื่อไปชันสูตรที่โรงพยาบาลตำรวจ คนที่ไปรับศพเป็นพี่ชายเขาเป็นทหารอากาศซึ่งคุณแม่เป็นคนเลี้ยงมา ปรากฏว่าศพเยอะมากไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ป้าก็ถามพี่จอร์ชรู้ได้ยังไง พี่บอกเปิดดูเท้าเพราะจำเท้าแม่ได้ เขาบอกศพทับถมกันอยู่ พอจำเท้าแม่ได้ตอนจะเอาศพออกก็ต้องยกศพบนศพล่างออก กว่าจะเอาศพแม่ออกมาได้ แล้วเราก็เอาศพแม่ไปไว้ที่วัดน้อยนางหงส์อยู่แถวบ้านแถวแยก 35 โบวล์ ตอนนั้นป้าต้องวิ่งไปวิ่งมา วิ่งไปดูแม่ที่ศาลาที่เขารดน้ำศพ แล้วก็วิ่งไปดูพ่อซึ่งช็อกอยู่ที่กุฏิพระ พ่อเป็นลมแล้วเป็นลมอีก ตอนนั้นเหมือนเราจะต้องเสียทั้งพ่อแม่ในคราวเดียวกัน ตอนนั้นเห็นเลยว่าเพื่อนดีทุกอย่าง เพื่อนคุณแม่ก็ดี


              พอมาถึงวันเผาก็รู้สึกแย่ไปอีก น้อง ๆ ไม่ยอมขึ้นเผาแม่สักคนหนึ่ง ร้องไห้กัน ป้าก็บอกไม่ได้ต้องเผาแม่ ป้าก็พาน้องขึ้นไปพอเปิดโลงเอาดอกไม้จันทน์ใส่ลงไป น้องคนเล็กซึ่งอายุ 7 ขวบก็ร้องไห้บอกพี่ใสใจร้าย พี่ใสเผาแม่ พี่ใสไม่รักแม่เลย แม่จะร้อนหรือเปล่า น้อง ๆ คนอื่นก็ร้องไห้กันหมด ป้าเองนี่รู้สึกแย่มากเลยนะแต่ต้องไม่ร้องไห้ พอป้าเผา น้องก็ร้องไห้กันระงมเลยกอดแขนกอดขากันอยู่อย่างนั้น ป้าจำได้
ว่าตัวเองยืนนิ่ง ๆ แล้วก็มองน้องทีละคน จนกลับไปบ้านสามีป้าก็บอกใส่ไปทานข้าวกัน ตอนนั่งรถออกไปข้างนอกนั่นละน้ำตาถึงจะไหลออกมาเฉย ๆ งงกับชีวิตไปหมดเลย หลังจากนั้น เวลาที่คิดถึงแม่ ป้าจะต้องทำสมาธิโดยที่ไม่บอกใครเพราะตัวเองไม่อยากร้องไห้ให้ใครเห็นทั้งนั้นเลย


              หลังจากแม่เสีย เหตุการณ์ที่โหดร้ายที่สุดอีกครั้งก็ตามมา พวกเราต้องย้ายบ้านออกมาจากบ้านที่เราอยู่ เราเพิ่งรู้ว่าแม่เอาบ้านไปขายฝากเพื่อนำเงินไปเปิดร้านขายอาหารที่มหาวิทยาลัยซึ่งมันก็สลายไปหมดแล้ว ในที่สุดเขาก็ยึดบ้าน บ้านหลังเบ้อเริ่มเลยนะ เดี๋ยวนี้ยังสวยอยู่เลย วันนั้นป้าขับรถพาพ่อ พาน้อง ๆ ออกมาเช่าบ้านหลังเล็ก ๆ อยู่แถวฝั่งธนฯ บ้านหลังเล็กมาก แล้วบ้านไม่ค่อยสะอาด แต่อะไรมันก็ไม่ร้ายเท่าความกดดันที่พวกเรากลายเป็นคนไม่มีแม่ เรากลายเป็นคนสิ้นโอกาสไปเลย ความโหดร้ายกว่าความรู้สึกว่าแม่ตายอีกเพราะแม่ตายแม่ก็ยังอยู่กับเราในใจ แม่เราคงไปสวรรค์ โหดร้ายที่สุดคือความรู้สึกกดดัน แล้วมันฝังใจนะ แต่มันก็เป็นแรงผลักดันให้เรารู้สึกว่าเราจะต้องโต ต้องยืนขึ้นให้ได้ด้วยตัวของเราเอง

 

จาก หนังสืออันเนื่องมาจาก...ความรัก

ป้าใส เกษมสุข ภมรสถิตย์

**บทความ แนะนำ/เกี่ยวข้อง

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0014113306999207 Mins