ชีวิตกับสมาธิ

วันที่ 09 กย. พ.ศ.2564

9-9-64-2-b.jpg

ชีวิตกับสมาธิ

            ตัวป้าเองเพิ่งย้อนกลับมานึกถึงเรื่องชีวิตกับสมาธิก็เมื่อตอนที่ถูกเชิญไปเป็นที่ปรึกษาที่พัทยา และเริ่มดูว่าทำไมสิ่งที่เราทำอยู่มันถึงได้ใช้การได้ และทำไมถึงเป็นที่เรียกร้องของคนอื่น เมื่อนึกย้อนไปก็พบว่าคนที่สอนให้ป้ามาทำสมาธิเป็นคนแรกก็คือท่านตา (หม่อมเจ้าพูนศรี เกษมศรี) ที่โรงเรียนเขมะสิริฯจะมีห้องที่ใช้ดูหนังและเปิดเพลงหรือที่เรียกว่าสตูดิโอ ในห้องนั้นจะมีห้องบังคับเสียง บ่อยครั้งป้าจะชอบไปหาท่านตาแล้วท่านตาจะสอนให้ป้าฟังเพลง ทั้งเพลงไทยเดิมและเพลงคลาสสิก ท่านตาสอนให้ฟังเพลงบลู ดานูฟ (Blue Danube) เวลาสอนท่านตาคงกลัวป้าจะหนีออกไปข้างนอก ท่านตาเลยบอกว่าเดี๋ยวจะเปิดเพลงบลู ดานฟให้ฟัง เพลงนี้จะเล่าถึงแม่น้ำสายสีฟ้า สมมุติว่าเรามานั่งพักผ่อนกันที่ริมแม่น้ำ ท่านตาบอกว่าท่านตาจะนั่งบนก้อนหิน แล้วหนูจะนั่งตรงไหน ป้าก็จะตอบว่าใสเป็นเด็ก ใสจะนั่งกับพื้น แล้วท่านตาจะเปิดเพลงให้ฟังแล้วบอกว่า ได้ยินมั้ย เสียงน้ำมันไหลกระทบฝั่ง บนศีรษะก็เป็นฟ้าใส ๆ กว้าง ๆ แล้วท้องฟ้าหน้าหนาวจะสวยมาก ให้นึกว่าตัวเองนั่งใต้เงาพระจันทร์ และให้ตัวเองสะท้อนเงาจันทร์ มันเป็นการสอนสมาธิไปโดยปริยาย แล้วก็ติดตัว


             พอถึงคราวที่คุณแม่พาไปกราบหลวงพ่อวัดปากน้ำ คุณแม่เอาขนมเปียกปูนไปถวาย พอถวายเสร็จหลวงพ่อท่านก็ให้พรและสอนสมาธิ ผู้ใหญ่ก็หลับตากันป้าเองก็ดูท่านแล้วทำตามที่ท่านสอนแล้วรู้สึกไม่ยากเลย พอกลับบ้านป้าก็บอกแม่ว่าใสทำได้ แม่ก็ขำแล้วบอกผู้ใหญ่ยังทำไม่ได้เลย แม่ก็บอกทำได้ยังไง ป้าก็บอกก็เอาใจไว้ในท้องอย่างที่ หลวงพ่อบอกไงคะ แล้วก็จะมีจุดใส ๆ เป็นดาวกลางเดือน แม่ไม่เห็นเหรอคะ แม่ก็ถามว่าแล้วเดือนมาจากไหน ดาวมาได้ยังไง ป้าก็บอกเดือนก็ท่านตาสอนมาตั้งนานแล้ว สมาธิก็มาจากท่านตา มันเหมือนกับการพักผ่อน ท่านตาสอนว่าถ้าอยากจะเป็นคนที่มีความสุขเราต้องเป็นคนที่ทำให้คนอื่นมีความสุขด้วย และการที่จะทำให้คนอื่นมีความสุขด้วยเราต้องเป็นคนที่มีจิตใจงามเหมือนพระจันทร์ พอมาได้เห็นวิธีทำสมาธิจากหลวงพ่อปากน้ำ ป้าก็ปฏิบัติเรื่อยมา คนที่สอนสมาธิต่อมาก็คือคุณยายจันทร์ ท่านอยู่วัดพระธรรมกาย ทำโดยไม่ต้องถูกบังคับ ไม่เคยต้องไปอุบาสิกาหรืออะไรเลย


               จนกระทั่งตอนที่เข้าไปอยู่ในมหาวิทยาลัย คนเราต้องเจอกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ตลอดเวลา ป้าจะรู้จักหลบไปข้างในแล้ว หลับตาเสียหน่อย นั่งนิ่ง ๆ บางทีก็ไม่หลับตา ลืมตาดูเพื่อนตลอดเวลาแต่ใจเราสงบ ในสายตาของเพื่อนแม้ป้าเป็นสาวเปรี้ยวเพราะแต่งตัวเก่ง ร้องเพลงเพราะจนเป็นคนที่รู้กันในมหาวิทยาลัย แต่เพื่อนจะรู้สึกว่าป้าค่อน ข้างสงบด้วย ในขณะเดียวกันป้าเป็นคนมีสองบุคลิก กิริยามารยาทจะเรียบร้อย นุ่ม ๆ พูดเพราะและไม่ว่าคนอื่น เพื่อน ๆ ว่าอย่างนั้น การทำสมาธิกับป้าเป็นสิ่งที่คุ้นเคยกันมากจนบางทีลืมไปว่านี่หรือ ที่เขาเรียกว่าสมาธิแล้วเวลาที่ป้าทำสมาธิอยู่คนอื่นไม่มีทางรู้เลย บางทียังรู้สึกว่าเราเป็นคนลึกลับนะ เพราะจะไม่มีทางรู้เลยว่า ป้ากำลังทำอะไรอยู่อย่างสมมุตินั่งคุยกับคนคนหนึ่งอยู่ ใจป้าก็ทำสมาธิไปด้วย คนที่อยู่ตรงหน้าจะได้ยินแต่เสียงที่เราพูดออกไป เห็นแต่อาการกิริยาแต่เขาไม่รู้ว่าใจเราอยู่ที่ไหนสำหรับป้าการทำสมาธิทำได้ทุกขณะ มันเหมือนมีอะไรข้างในในตัว ไม่ใช่มีเทพ ไม่ใช่มีองค์ แต่จะรู้ว่าเรามีแก่นของตัวเอง เป็นความสว่างที่นิ่งและนุ่มนวลมากอยู่ข้างใน เวลาที่เรารู้สึกว่าเราเบื่ออะไรต่ออะไร เราเอาใจวางลงไปตรงความสว่าง ความสว่างมันจะขยายกว้างเหมือนมาห่อเราไว้เลย บางทีก็จะรู้สึกว่าเหมือนเราไหลหลงไปที่ไหนสักแห่งป้าก็จะหลับตา แต่ถ้าไม่ไหลนั่งอยู่เฉย ๆ ควบคุมความสว่างได้ลืมตาได้ คุยได้ทุกอย่างปกติ


                และตลอดเวลาที่ป้าเจอเรื่องร้าย ๆ มา เมื่อมาย้อนดู ป้าถึงรู้ว่าป้าเอาสมาธิมาช่วยมาใช้ในชีวิตอย่างมาก อย่างตอนที่คุณแม่เสีย ถามว่าตกใจไหม ตกใจแต่ไม่ฟูมฟายเลย น้องร้องไห้แต่ป้ายืนนิ่ง ๆ ป้าเอาใจของป้าไปไว้ข้างในเพราะรู้ว่าถ้าร้องไห้ไปจะดูแลทุกอย่างไม่ได้ กับความเจ็บปวดทางกายปกติความเจ็บปวดจะมากถ้าเราเอาความรู้สึกไปเกาะเกี่ยว จริง ๆ แล้วทุกขณะร่างกายของป้ามีความเจ็บ จะปวดแนวกระดูกบ้าง เส้นเอ็นบ้างเพราะถูกตัดไปเยอะ แต่ป้าจะเหมือนไม่ใส่ใจความปวดแล้วเอาใจมาไว้ข้างในแทน เหมือนกับว่าจิตวิญญาณของเรามันอยู่ในนี้ ความปวดมันเลยเฉย ๆ ถามว่า รู้สึกมั้ย...รู้ว่ามันปวด แต่มันไม่ทุกข์ทรมาน


               "สมาธิ" ช่วยทุกอย่างในชีวิต ช่วยในเรื่องอารมณ์ ป้าจะเฉย ๆ กับทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา เหมือนกับคนที่ตั้งรับมันนิ่ง และรู้ว่านี่เป็น ความทุกข์ ถามว่าเสียใจมั้ย เสียใจแต่ป้าจะไม่ยอมอยู่กับสิ่งเหล่านี้เพราะถ้าเสียใจไปข้างในจะหมอง ถ้าข้างในหมองเรารับไม่ได้ เราจึงต้องหยุดแล้วไปอยู่ข้างในอยู่กับมันทั้งวันทั้งคืน และคงเป็นเพราะตัวนี้ที่ทำให้ลูก ๆ รักเรา และเราก็รักลูก ทำให้เราเข้าใจในปรัชญาของพุทธมากขึ้น


               ตัวป้าเองหลังจากสอนสมาธิให้กับการบินไทย จนมาสอนทำสมาธิที่บ้าน ป้าก็สอนเรื่อยมา ป้าไม่ได้สอนอะไรล้ำลึกแต่เขาเอาไปใช้กันได้ เขามีความสว่างเกิดขึ้นในตัวของเขา เขามีความสุขกัน สำคัญคือไม่ใช่เขามีความสุขคนเดียว ไม่ใช่เอาตัวเองปลีกออกไป แต่คนรอบตัว ครอบครัว สามีและลูกต้องมีความสุขด้วย เพราะฉะนั้นมันคือการเอาใจไปอยู่อีกที่หนึ่ง ที่สามารถจะมีมุมมองอะไรที่สวยงามได้ และต้องเข้าใจว่า มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาต่างก็ปรารถนาจะเป็นคนดีทุกคน แต่ถ้าเราจะคบเขา เราต้องช่วย หนึ่งคือต้องมองในมุมดีของเขา ก่อนเพื่อตัวเองจะได้ไม่ทุกข์ จากนั้นก็ค่อย ๆ สอนเขาไป การสอนคือการทำให้ดู คนเราสอนแต่ปากอย่างเดียวไม่เกิดผล ป้าจะสอนสิ่งเหล่านี้ให้คนมาเป็นยุค ๆ เลย


                 วิธีสอนสมาธิของป้า จุดหลักก็คือวิธีของหลวงพ่อวัดปากน้ำ และกับวิธีสอนของป้าตรงนี้คือเทคนิคเท่านั้นเอง เทคนิคที่ทำยังไงให้ใจอยู่กับที่ เทคนิคทำยังไงให้ใจเป็นสุข บางคนทำสมาธิแล้วเครียด บางคนเข้าใจว่าการทำสมาธิต้องถือศีลแปด ต้องอด ต้องเจ็บ ต้องทุกข์ ซึ่งทั้งหมดไม่ใช่จากที่ป้าเรียนรู้มา สมาธิเกิดจากความสบายกายและสบายใจ จังหวะพอดี พระพุทธเจ้ายังเลิกอดข้าวเลย ตัวป้าเองพอป้าเริ่มมีสตางค์ขึ้นและเริ่มเรียนรู้ว่าการทำสมาธิต้องมีที่ที่สัปปายะ หมายถึง ที่ที่สวยที่ที่สบาย เนื่องจากตัวเองไม่สามารถจะไปทำสมาธิในที่ที่ทุรกันดารได้ แล้วตัวเองก็มีมุมมองกับการทำสมาธิอีกมุมมองหนึ่งที่ไม่เหมือนคนอื่นคือ ป้าไม่เห็นด้วยกับการต้องทำตัวให้ลำบาก และป้าเป็นคนที่ไม่เครียดกับการทำสมาธิจึงอยากให้เทคนิคนี้กับคนอื่น วันหนึ่งเมื่อน้องของป้าคิดจะทำโรงแรมขึ้นมาแล้วจะขอให้ป้าช่วยทำโปรแกรมเกี่ยวกับสมาธิให้หน่อยเพราะรู้สึกว่าโลกต้องการสมาธิ ป้าก็ตกลง แต่น้องทำไม่สำเร็จด้วยเหตุอะไรหลาย ๆ อย่าง ป้าจึงต้องทำเอง จากโรงแรมสเกลมันก็ย่อลง ป้าบอกป้าไม่ทำโรงแรม แต่จะทำบ้าน บ้านของป้าจะต้อนรับเฉพาะคนที่ต้องการทำสมาธิหรืออยากมาเรียนรู้วิธีที่จะให้ตัวเองดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข ป้าจึงคิดโปรแกรมขึ้นมา โปรแกรมนี้เกิดมานาน ก่อนที่เราจะมาสร้างบ้านทวารประทีป ป้าเองป้าสร้างบ้านทวารประทีปขึ้นมาด้วยความรัก รักที่จะบอกคนอื่นว่านี่เป็นอย่างนั้นนั่นเป็นอย่างนี้ ซึ่งตัวป้าเองจะไม่คิดสตางค์ค่าสอน แต่เมื่อทุกคนมาที่บ้านนี้ก็ต้องช่วยเราจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหาร ค่าโอเปอเรชั่นให้กับเด็ก ๆ ที่เขาลาออกจากงานมาเพื่อมาช่วยทำโปรแกรมตรงนี้


               และที่ใช้ชื่อ “บ้านทวารประทีป” ก็เพราะป้านึกถึงว่า ชีวิตของคนที่ต้องการความสว่างสดใส ป้าจะเป็นคนเปิดประตูสว่างให้กับคน ป้าจึงตั้งชื่อว่า “บ้านทวารประทีป” และ ถ้าถามต่อไปอีกว่าทำไมต้องอยู่ติดแม่ในน้ำเจ้าพระยา ป้าอยากบอกว่าแม่น้ำให้ผลดีมากกับการทำสมาธิ น้ำแม่น้ำจะมีเสียงรำพึงรำพันไม่น่ากลัวเหมือนทะเล แล้วแม่น้ำจะสวยมาก ในคืนวันเพ็ญ ชีวิตตัวเองก็เกิดมาใกล้น้ำ ชอบแม่น้ำ แล้วสภาวะของเกาะเกร็ดก็ยังมีสิ่งแวดล้อมที่เรียบง่ายก็เลยเลือกที่นี่


               บ้านทวารประทีปของเราเปิดรับเฉพาะคนที่สนใจจริง ๆ เราไม่ใช่โรงแรม แล้วเราก็ไม่ได้บริการแบบโรงแรมด้วย เหมือนกับว่าเราตกลงที่จะให้คุณมาเยี่ยมบ้านเรานะ เราต้อนรับแต่ถ้าเราคิดว่าคุณไม่น่าจะมาเป็นแขกของเราเราก็ไม่ต้อนรับ เราจะบอกแต่เพียงว่าเราไม่พร้อม ที่นี่ไม่ใช่ที่ทานเหล้า หรือที่เล่นกีตาร์ เราจะเป็นบ้านที่ต้อนรับคนที่เข้ามาในฐานะเหมือนเป็นแขกของเรา ป้าจะเป็นคนเลือกเองว่าแขกคนนี้เราจะรับหรือไม่รับ

 
                ป้าสอนสมาธิตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 จนถึงวันนี้ยังไม่หยุดเลย ลูกศิษย์เยอะมาก เป็นหมื่น ๆ คน แต่ป้าไม่เคยตั้งตัวเป็นครู เป็นแค่คนแนะเทคนิค เทคนิคในการทำสมาธิอย่างง่ายของป้าคือ ให้ทำความรู้สึกเหมือนกับเราอยู่ในที่โล่ง ๆนั่งลงไปแล้วทำ ตัวเราให้ใสเหมือนผ้ามุ้ง เพราะอะไร เพราะเนื้อตัวคนเรามันแตกทำลายได้ แต่ใจของเราไม่แตกทำลายไปกับกาลเวลา เวลาเราแก่ลงใจเราไม่ได้แก่ตาม ใจมันกลับ
แข็งแรงขึ้นมีประสบการณ์มากขึ้น เมื่อเราทำตัวเหมือนผ้ามุ้งที่ลมก็ผ่านได้ แสงก็ผ่านได้ และใจเราอยู่ข้างใน แล้วทำความรู้สึกเหมือน กับว่าลมมันผ่านจากซ้ายไปขวา ผ่านจากหน้าไปหลัง ซึ่งไม่ว่าจะผ่านทิศทางใดก็ตาม มันจะผ่านใจเราหมดเลย พอทำอย่างนี้ได้จะเริ่มรู้สึกว่าใจเราอยู่ตรงไหน แล้วป้าก็อาจจะให้ลอง หายใจเข้า-ออกเพื่อหาเทิร์นนิ่งพ้อยท์ พอรู้ว่าตรงนี้มันคือจุดศูนย์กลาง


                 กาย ก็ให้ทำความรู้สึกเหมือนตัวเราโล่ง ๆ ใส ๆ ทำให้เรารู้สึกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม แล้วเราจะรู้จักที่อยู่ของใจ แล้วป้าก็มักจะให้ฟังเพลง เพราะมนุษย์จะมีขอบเขตของตัวเอง มีอารมณ์ที่เป็นเครื่องห่อหุ้มตัวเราไว้ เมื่อเราเปิดเพลง เพลงจะทำหน้าที่มาหุ้มเราไว้ เราจะมีความรู้สึกอีกชั้นหนึ่งว่าเราอยู่ท่ามกลางเพลง ป้าจะเลือกเพลงที่มีเสียงธรรมชาติ เขาจะรู้ตัวเขาว่าเขาอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมแบบนี้เขาก็จะนึกถึงใจเขาจะเป็นสามขั้นตอนคือ ใจ ตัว สิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อม ตัวและใจ มันกระทบกันไปมาอยู่ตลอดเวลา คนอื่นเขาทำมาจากใจเขาเราจะเอื้อมไปแก้ใจเขาเราแก้ไม่ได้จึงต้องแก้ใจเรา ถ้าเราแก้ใจเราโดยทำใจให้สบาย ไอที่ออกจากตัวเราก็จะเป็นไอดี ทุกอย่างแก้ด้วยตัวเองหมด เป็นการเริ่มต้นอย่างง่าย ๆ วิธีการของป้าไม่ว่าใครก็ตามทุกชาติทุกศาสนาทำได้หมด


                  สำหรับชีวิตป้า สมาธิช่วยชีวิตป้ามาก อย่างแรกคือร่างกายที่มันเยียวยาได้โดยเฉพาะกับกระดูกซึ่งโดยปกติมันไม่สามารถเยียวยาได้ สอง คือสภาวะอารมณ์ดีของป้าทำให้ป้าเป็นที่รักของคนอื่น สาม ป้าคิดว่าไม่ว่าฐานะหรือทุกอย่างที่ดี ขึ้นมันน่าจะมาจากส่วนนี้ เพราะอะไร เพราะเราเป็นที่รัก คนก็เอื้ออาทรเรา เมื่อเขารู้ว่าเราขาดอะไรอยากได้อะไรมันจะเข้ามาสิ่งดี ๆ จะเข้ามาแล้วชีวิตจะดำเนินไม่ยากเลย เวลาที่ป้า
รู้สึกว่าป้าลำบากป้าจะนิ่ง ๆ และทำสมาธิไป ป้าถูกสอนว่า จุดนี้จะเป็นทางมาและทางไปแต่สิ่งที่ดีเท่านั้น แล้วป้าไม่คิดอะไรเลย ป้าเป็นคนที่ไม่กังวล ป้าถูกสอนมาว่าทำปัจจุบันให้ดีที่สุด แล้วอดีตที่ไม่ดีจะถูกลืมไปเอง แล้วถ้าปัจจุบันดี อนาคตก็จะดีไปเอง สรุปคือป้าอยากจะบอกว่า “สมาธิ” คือสิ่งที่ทำให้โลกสวยงาม เพราะบางครั้งเราอาจจะต้องตกไปอยู่มุมอับที่ไหนก็ได้ ถ้าเราทำสมาธิเราจะขยับมุมอับนั้นให้เป็นมุมที่
หลวมได้ แล้วเวลาที่อะไรร้าย ๆ มันเกิดขึ้นมันจะกลับดีได้หมดเลยเพราะเวลาที่เราเอาใจไว้ตรงกลางตัว สิ่งร้าย ๆ มันจะไม่เข้าไป มันจะกลายเป็นว่าโลกนี้สวยงาม วิสัยทัศน์ก็กว้าง เราจะเปิดรับคนทุกคนได้โดยไม่มีข้อแม้ เราจะมองคนอย่างเป็นธรรมชาติและจะเสาะแสวงหาแต่สิ่งที่ดีจากเขา พอมองหาแต่ของดีเราก็จะรับแต่ของดี ถ้าเราหาแต่ของร้ายเราก็เป็นคนรับแต่ของร้าย เมื่อเราฝึกรับของดีใจเราก็ดีทั้งนอกทั้งในชีวิตมันก็ดี ซึ่งทั้งหมดคือศิลปะของการดำรงชีวิตให้สวยงาม

จากหนังสือ อันเนื่องมาจาก...ความรัก

ป้าใส เกษมสุข ภมรสถิตย์

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0016477823257446 Mins