พระวินัยบัญญัติ
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มิได้เสด็จอุบัติมาเพื่อทรงแสวงหาทางตรัสรู้แล้วเที่ยวจาริกสั่งสอนแนะนำชาวโลก รื้อขนชาวโลกให้พ้นจากทุกข์ทั้งมวล อันเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่ด้วยพระองค์เองเท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงกำหนดตั้งกลุ่มบุคคลเพื่อเป็นตัวอย่างของสังคมขึ้นมากลุ่มหนึ่งกลุ่มบุคคลนี้คือกลุ่มที่เรียกกันว่า ภิกษุสงฆ์
บุคคลกลุ่มนี้เป็นตัวอย่างทั้งในด้านการประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมแล้วได้รับผลตอบแทนคือพ้นจากทุกข์ได้จริง เป็นกลุ่มบุคคลที่ช่วยเหลือการเผยแผ่หลักสัจธรรมของพระพุทธองค์ได้อย่างเข้มแข็ง โดยเมื่อตนได้รู้สัจธรรมตามที่ทรงสอนอย่างชัดแจ้งแล้วก็นำไปประกาศเผยแผ่แก่ชาวโลกในทุกทิศทุกทางและเป็นกลุ่มบุคคลที่เป็นเนื้อนาบุญอันยอดเยี่ยมที่รักษาศรัทธาชาวโลกที่เลื่อมใสมีโอกาสได้ทำบุญอย่างถูกวิธีมีจิตใจเมตตา มีความเสียสละที่สามารถช่วยเหลือเกื้อกูลคนอื่นได้ทำให้เกิดสันติสุขขึ้นในหมู่สังคม
เพราะทรงมีภาระต่อหมู่ภิกษุสงฆ์ที่มีมากขึ้นโดยลำดับ ทำให้พระพุทธองค์ทรงมีพระภาระและหน้าที่ที่หนักและกว้างขวาง คือ
- ทรงเป็นพระธรรมราชา คือ ผู้ปกครองภิกษุสงฆ์มีหน้าที่ในการบัญญัติพระวินัย เพื่อให้ภิกษุสงฆ์มีแนวทางปฏิบัติเป็นแบบเดียวกัน เพื่อป้องกันความเสียหายและความเสื่อมศรัทธาของชาวโลกที่อาจเกิดขึ้น ในข้อบัญญัตินั้น ทรงวางโทษที่หนักบ้างเบาบ้างไว้ด้วย
- ทรงเป็นพระสังฆบิดร คือ ผู้ดูแลภิกษุสงฆ์ซึ่งมีหน้าที่ในการออกกฎระเบียบสำหรับประพฤติปฏิบัติเพื่อความเรียบร้อยดีงาม เพื่อความอยู่อย่างผาสุกเพื่อความสามัคคีไม่ทะเลาะขัดแย้งกันของภิกษุสงฆ์ทำให้ชาวโลกศรัทธาเลื่อมใส ถวายความอุปถัมภ์มิให้ภิกษุสงฆ์เดือดร้อนกังวลในเรื่องการดำรงชีพ อันเป็นเหตุให้ภิกษุสงฆ์มีเวลาสำหรับปฏิบัติธรรม ยกระดับตนให้สูงขึ้นจนเป็นอริยบุคคลได้สำเร็จโดยสะดวกแล้วนำความสำเร็จนั้นมาเผยแผ่แนะนำชาวโลกให้ปฏิบัติตามและได้รับผลอานิสงส์ที่สมควรแก่การปฏิบัติ
ประเภทพระวินัยบัญญัติ
พระวินัยบัญญัติอันเป็นข้อบัญญัติทางพระวินัยที่พระพุทธองค์ทรง บัญญัติไว้เพื่อเป็นประโยชน์ในการปกครองและการดูแลภิกษุสงฆ์นั้น เมื่อแยกประเภทแล้วได้เป็น ๒ ประเภทคือ
๑. อาทิพรหมจริยกาสิกขา เป็นข้อบัญญัติที่ทรงบัญญัติไว้เป็นความประพฤติเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์เป็นหลักสำหรับปฏิบัติเพื่อการดำเนินชีวิตอย่างประเสริฐ
ข้อบัญญัติส่วนนี้เป็นพุทธอาณา มาในพระปาติโมกข์อันเป็นส่วนหนึ่งของสิกขาบท ๒๒๗ ข้อ ซึ่งถือกันว่าเป็นศีลของพระสงฆ์และพระสงฆ์จะรวมกันสวดและฟังพระปาติโมกข์ทุกกึ่งเดือน โดยไม่ขาดสายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
๒. อภิสมาจาริกาสิกขา เป็นข้อบัญญัติที่เป็นธรรมเนียมเป็นมารยาทอันดีงาม ที่เรียกว่า อภิสมาจาร ทรงบัญญัติไว้เพื่อให้พระสงฆ์มีมารยาทที่ดีมีความสง่างาม น่าศรัทธาเลื่อมใสในเมื่อได้ปฏิบัติตาม ซึ่งบางส่วนนับรวมอยู่ในพระปาติโมกข์ด้วย
ข้อบัญญัติส่วนนี้มานอกพระปาติโมกข์ส่วนหนึ่งมิได้จัดไว้ในหมวดสิกขาบท ๒๒๗ ข้อ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า บาลีมุตตกะ คือข้อบัญญัติที่มานอกพระบาลีทรงบัญญัติและปรับโทษไว้อย่างเบา เรียกว่า เป็นอาบัติทุกกฏ จึงถือว่าเป็นสิกขาบทเล็กน้อยข้อบัญญัติส่วนนี้มีมากนับจำนวนไม่ได้แต่ล้วนเป็นหลักปฏิบัติเพื่อความเรียบร้อยดีงาม เพื่อเป็นศักดิ์ศรีเพื่อรักษาศรัทธาเลื่อมใสทั้งสิ้น
ตอนใกล้จะเสด็จปรินิพพาน พระพุทธองค์ได้โปรดประทานพระอนุญาตไว้ว่า
“ถ้าสงฆ์ปรารถนา ก็จงถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้”
แต่ถึงกระนั้น ก็ไม่มีใครกล้าถอนสิกขาบทอันเป็นบาลีมุตตกะเหล่านี้ ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม เพราะเกรงว่าจะเป็นเหตุให้พระวินัยที่ทรงบัญญัติไว้แม้เป็นข้อใหญ่ๆ จะถูกถอนตามไปเรื่อยๆ โดยอ้างว่าเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
และที่สำคัญพระสงฆ์ในยุคต่อๆ มาทั้งในประเทศศรีลังกา ประเทศพม่า และประเทศไทย ซึ่งถือพระพุทธศาสนาอย่างกวดขัน ต่างก็ยอมรับและปฏิบัติตามมติของพระธรรมสังคาหกาจารย์ที่สังคายนาพระธรรมวินัยครั้งแรกที่ได้ห้ามไว้แล้วว่าไม่ควรถอน
ในหนังสือนี้ จักแสดงเฉพาะ พระวินัยบัญญัติ ที่เป็นอาทิพรหมจริยกาสิกขาและอภิสมาจาริกาสิกขาที่มาในพระปาติโมกข์เท่านั้น
พระวินัยบัญญัติส่วนนี้เป็นมหาวิภังค์ หรือ ภิกขุวิภังค์ ได้แก่ สิกขาบทหรือศีล ๒๒๗ ข้อของภิกษุ ซึ่งเป็นพุทธอาณา เรียกโดยทั่วไปว่า พระปาติโมกข์