สิ่งที่คุณยาพร่ำสอน ตอนที่ ๓
เมื่อได้พบคุณยายครั้งแรกแล้ว ในใจอาตมาก็นึกอยู่ว่า อยากจะพบท่านอีก ทำ อย่างไรหนอ ไปฟังรุ่นพี่ๆ ที่ชมรมพุทธฯ เขาคุยกันเรื่องคุณยายที่วัดปากนํ้า เราก็อยากจะไปบ้านธรรมประสิทธิ์บ้าง ที่บ้านกัลยาณมิตรหลังที่ ๒ แต่เราไปไม่เป็น ไม่รู้จะไปยังไง
อาตมาเป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด อยู่กรุงเทพฯ แต่อยู่บ้านกับไปโรงเรียน ไม่ใช่นักเที่ยวซอกแซก ไม่ค่อยได้ไปไหน จนเข้ามหาวิทยาลัย แค่จะไปวัดปากนํ้ายังไปไม่ถูก แต่อาลัยคอยเงี่ยหูฟังว่า พี่ๆ ชมรมพุทธศาสตร์ฯ เขาจะไปกันเมื่อไหร่ เราก็จะติดเขาไปบ้าง แล้วพยายามจำทาง จำรถเมล์ (รถประจำทาง) วันหลังจะได้ไปเองอยากจะไปหาคุณยายที่บ้านธรรมประสิทธิ์บ่อยๆ
นับตั้งแต่บัดนั้นมา วันเสาร์วันอาทิตย์ อาตมาก็มาช่วยงานอยู่ที่ศูนย์พุทธจักรฯ วันธรรมดา บางวันก็พอจัดเวลาว่างจากการเรียน เพราะความอยากพบคุณยาย ถึงแม้ไม่ว่างก็ทำให้ว่างได้ "โดดเรียน" ว่างั้นเถอะ พอรุ่นพี่ชมรมพุทธศาสตร์เขาไปวัดปากนํ้า จังหวะวันนั้นว่าง เราก็โดดเรียนติดไปกับเขาด้วย รุ่นพี่ส่วนมากเป็นผู้หญิง พอจะไปวัด เขาก็มักจะซื้ออาหาร ซื้อขนมติดมือไปถวายพระที่วัด ที่บ้านคุณยาย คือบ้านธรรมประสิทธิ์สมัยนั้น
เราก็อาสาเป็นคนถือของ แล้วก็ไปถึงวัดได้จริงๆ วันนั้นพวกเราไปถึงวัดปากนํ้า ภาษีเจริญ ร่วม ๑๐ โมงเช้าก่อนไปกราบคุณยาย รุ่นพี่ๆ เขาเตือนเราว่า คุณยายท่านรู้วาระจิต คิดอะไรท่านรู้หมดนะ ไปถึงต้องสำรวมกาย วาจา ใจ ทะลึ่งตึงตังไม่ได้นะ อะไรทำนองอย่างนี้ยิงโดนสำทับอย่างนี้ ยิ่งต้องระวังตัวระวังใจกันอย่างอุกฤษฏ์เลย
ไปถึงก็ไปกราบคุณยายที่บ้านธรรมประสิทธิ์ แล้วบอกท่านว่า คุณยายครับผมอยากจะเรียนธรรมะกับยายครับ คุณยายก็บอกว่า โอ้ คุณ คุณไปเรียนกับหลวงพ่อธัมมะเถอะนะ ยายสอนให้ท่านหมดแล้ววิชชาธรรมกายที่ยายฝึกมาจากหลวงพ่อวัดปากน้ำ ยายสอนให้หลวงพ่อธัมมะไว้นะ ถ้าเอามาเขียนใส่กระดาษแล้วเอามาปูเต็มในที่ดิน ๒๐๐ ไร่ ยังไม่พอให้ปูเลย เอาไว้ คุณเรียนกับหลวงพ่อธัมมะเองเถอะนะ แล้วท่านก็ถามว่า เคยนั่งธรรมะหรือเปล่าล่ะ อาตมาก็ตอบว่า เคยครับ เคยนั่งที่ศูนย์พุทธจักรฯ คุณยายก็ว่า เออ พอรู้วิธีการนั่ง งั้นขึ้นไปนั่งข้างบน พร้อมกับชี้มือไปที่ชั้นสองของบ้านธรรมประสิทธิ์ แล้วตอนเพลค่อยลงมานะ เดี๋ยวยายอยู่ทางนี้จะคุมธรรมะให้
เป็นอันว่า พบคุณยายครั้งแรก ท่านก็ให้ขึ้นไปนั่งธรรมะ นั่งไปสักชั่วโมง ถึงเวลาเพลก็ลงมาข้างล่าง รุ่นพี่ๆ เขาก็จัดอาหารเตรียมจะถวายพระสงฆ์ คุณยายบอก เอ้า เดี๋ยวพวกเราคอยประเคนภัตตาหารพระกัน คุณยายกับพวกเราก็คอยกันอยู่ถึง ๑๑ โมง ๒๐ นาที พอดีวันนั้นพระที่จะมาฉันคงจะติดธุระ ท่านจึงไม่มา สักครู่คุณยายบอกป่านนี้พระคงไม่มาแล้ว ถ้างั้นเดี๋ยวยายจะเอาไปถวายพระพุทธเจ้าบูชาข้าวพระเลยแล้วกัน ให้พวกเราได้บุญกันเยอะๆ คุณยายก็ชวนทุกคนนั่งสมาธิ โดยใช้ภาษาพื้นๆ ของท่านว่า "เอ้า ทุกคนนั่งเข้าที่" แล้วก็เงียบ นิ่งไปสัก ๑๕ นาที ๒๐ นาที ท่านก็ชวนบอกลาข้าวพระ แล้วชวนทุกคนมากินข้าว
พอคุณยายเริ่มชวนทุกคนมากินข้าว อาตมามองซ้าย มองขวา มีเราเป็นผู้ชายอยู่คนเดียว ก็คิด... เดี๋ยวเราจะเดินออกไปกินข้าวตรงท่ารถเมล์ ปากซอย พอเตรียมขยับตัวจะออก คุณยายก็เรียก คุณจะไปไหน เดี๋ยวมากินข้าวกับยาย เราก็ตกใจเพิ่งมาครั้งแรก คุณถือศีล ๘ ไม่ใช่เหรอ ยายก็ศีล ๘ เหมือนกัน เดี๋ยวมากินข้าวกับยาย เราก็ เอ๊ะ นึกในใจ คุณยายรู้ได้ยังไงว่า เราถือศีล ๘ เราไม่เคยไปบอกใคร
แล้วท่านก็พูดอีก จะต้องไปซื้อให้เสียสตางค์ทำไมข้าวยายเยอะแยะ เก็บเงินเอาไว้เรียนหนังสือ เอาไว้ทำบุญดีกว่า ท่านคงรู้ว่าเราคงจะไปหาซื้อข้าวกินแน่ เราก็ปฏิเสธว่า คุณยายไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปตรงนี้ ท่านก็บอกยังไม่ด้องไป มากินข้าวกับยายก่อน พอท่านชวนครั้งที่ ๒ ที่ ๓ เราก็เลยต้องตามใจท่าน
แต่ในใจตอนนั้น มีความรู้สึกปีติยินดี ปนกับความเขินเหนียมอายและเกรงใจ นึกในใจว่า โอ้โฮ คุณยายให้เกียรติเรากินข้าวร่วมเสื่อกับท่านเลยนะ เวลาท่านจะรับประทานข้าวก็ลำเลียงเอาอาหารทั้งหมดไปที่ห้องครัวของบ้านธรรมประสิทธิ์ มีอาตมาเป็นผู้ชาย นั่งอยู่คนเดียว นอกนั้นก็มีรุ่นพี่ผู้หญิง ๒ คน หลานสาวคุณยายอีก ๑ คน
ท่านเห็นเรานั่งเฉยๆ ก็บอก เอาเลยก็นข้าวเลยเป็นผู้ชายหนุ่มๆ กินเยอะๆ ถือศีล ๘ ด้วย เดี๋ยวเย็นจะหิว กินเยอะๆ ไม่ต้องเหนียม ท่านตักข้าวให้เองเลยนะ เอาจานมาวางข้างหน้า ตักข้าวใส่จานของเรา เอาช้อนใส่ให้ เอ้า...นี่ข้าว ท่านบอก ไอ้นี่เป็นข้าวต้มกุ้ง แต่แยกข้าวกับแยกนาซุป ท่านเอากุ้งใส่ให้ตัวหนี่ง ตัวใหญ่เชียว แล้วเอานํ้าซุปร้อนๆ ราด นี่ข้าวต้มกุ้ง กินซะเลยคุณ อร่อยดีเชียวนะ กินเยอะๆ นะคุณ หัดรักษาศีล ๘ ใหม่ๆ ตอนเย็นมันหิว กลางวันต้องกินเยอะตุนไว้หน่อย
ปัจจุบันนี้ ภาพที่คุณยายตักข้าวให้ ยังติดฝังแน่นอยู่ในใจ มิได้เลือนหายไปจากใจเลย ตอนนั้น มีความคิดว่า ถ้าเราได้รับเชิญไปกินอาหารร่วมโต๊ะกับประธานาธิบดี หรือผู้นำประเทศต่างๆ เรายังไม่ภูมิใจขนาดนี้ คุณยายให้เกียรติเราถึงขนาดนี้ มีความคิดว่า เราจะแทนคุณข้าวยายไปตลอดชีวิตทีเดียว
พอทานข้าวเสร็จแล้ว ช่วยกันล้างจาน พักสักครู่ คุณยายก็บอก เอ้า ไปนั่งธรรมะต่อ ๕ โมงเย็นค่อยกลับนะ ก็ขึ้นไปนั่งธรรมะ พอถึง ๕ โมงเย็น อาตมาค่อยๆ ลงมาจากชั้นบน ท่านก็ให้โอวาท ให้กำกังใจ นั่งธรรมะบ่อยๆ นะคุณ ยังหนุ่มๆ ต้องรีบนั่งตุนไว้ให้มาก ทำทุกวัน ค่อยๆ ทำสบายๆ ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องไปเครียด ทำใจ สบายๆ ธรรมะอยู่ในตัวของเราไม่ได้หนีไปไหนหรอก อยู่ในตัวของเรา ค่อยๆ ปรับใจ เดี๋ยวก็สว่างเอง
คุณ เรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วมาอยู่กับยายนะ มาช่วยยายสร้างวัด อาตมาตอบสั้นๆ "ครับ" ตอบคำเดียว พออาตมาเดินมาใส่รองเท้าบริเวณหน้าบ้านเตรียมจะเดิน ท่านก็บอก แล้วมาหายายอีกนะ อาตมาก็ตอบอีกทีหนึ่งว่า "ครับ" แล้วกราบลาท่าน แต่ในใจอาตมาตอนนั้นรู้สึก
ปีติยินดีว่า คุณยายชวนเราว่า เรียนจบแล้วมาอยู่กับยายนะ คำพูดนี้ยังดังก้องอยู่ในใจของอาตมาอยู่จนบัดนี้
รู้สึกดีใจว่า เอ๊ะ คุณยายชวนเราแฮะ อาตมาได้ไปที่บ้านธรรมประสิทธิ์อีกหลายครั้ง แต่จะหาโอกาสไปวันธรรมดา เพราะว่าวันเสาร์ วันอาทิตย์ก็มาช่วยงานบุญที่ศูนย์พุทธจักรฯ
เมื่อไปที่บ้านธรรมประสิทธิ๋ เราก็ได้พบเห็นความสะอาด ความมีระเบียบ ห้องนํ้าคุณยายสะอาดมาก
เห็นคุณยายเข้าไปคุกเข่าเช็ดพื้นและสุขภัณฑ์ด้วยผ้าขนหนูสะอาด อาตมาไม่กล้าเข้าไปเลย มันสะอาดซะะจนต้องยอมทน รู้สึกเต็มที่เมื่อไหร่ก็ไปเข้าห้องนํ้าที่หอหลวงปู หรือไม่ก็แถวๆ ที่หอฉัน แต่ไม่ยอมเข้าห้องนํ้าที่บ้านคุณยาย เห็นคุณยายทำความละอาดแล้วไม่กล้าใช้เลย กลัวไปทำให้คุณยายต้องลำบากกับการต้องไปเช็ดทำความสะอาดห้องนํ้าบ่อยๆ
ต่อมาคุณยายก็ย้ายจากบ้านธรรมประสิทธิ์ วัดปากนํ้า มาอยู่ถาวรที่ศูนย์พุทธจักรฯ เมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๘ ช่วงนั้นอาตมากำลังอบรมธรรมทายาทรุ่นที่ ๔ พอดี อยากจะไปช่วยท่านขนของย้ายบ้านที่วัดปากนั้า แต่ติดช่วงอบรมออกไปไม่ได้ก็ เลยรอรับท่านอยู่ที่วัดนี่ เห็นคุณยายขนข้าวขนของมาเยอะแยะได้แต่ช่วยขนลง คุณยายมาอยู่ full time ที่วัดไม่ต้องลำบากเดินทางไปมาระหว่างวัดปากน้ำฯ กับ
ศูนย์พุทธจักรฯ อีกแล้ว
คุณยายเริ่มให้ก่อสร้างกำแพงรอบ ๑๙๖ ไร่ก่อน โดยบอกว่า สร้างกำแพงกันกิเลส กันคนพาล ทำให้แข็งแรงเลยนะ จากนั้น ท่านก็เริ่มวางระเบียบวินัย โดยสั่งให้เขียนใส่กระดานติดไว้ที่ข้างอาคาร (ปัจจุบันคือป้ายกฎระเบียบที่ติดอยู่ที่อาคารดาวดึงส์) ให้ทุกคนอ่าน ท่านเริ่มวางแนวทางปฏิบัติหลายๆ อย่าง ให้มีหลักมี เกณฑ์ขึ้น ทำให้เรามีการทำงานที่เป็นแบบแผนขึ้นเป็นลำดับๆ ไป พออาตมาเรียนจบชั้นปีที่ ๔ ก็ เข้าวัดเลยไม่ได้ไปสมัครงานที่ไหน เพราะคิดว่าเป้าหมายเราจะมาที่นี่ ใจนึกถึงแต่คำชวนของคุณยาย คุณยายบอกว่า คุณเข้าวัดนี่ยายช่วยคุณได้ทั้งในชาตินี้และชาติหน้านะ ยายบอกทางปิดนรกให้คุณได้ บอกทางเปิดทางสวรรค์ให้คุณได้ คุณเรียนจบแล้วไปทำงานข้างนอก อย่างดีก็ช่วยพ่อแม่ได้เฉพาะชาตินี้เท่านั้นแหละ แต่มาอยู่วัดมาประพฤติปฏิบัติธรรม มาสร้างกุศล มาช่วยยายสร้างวัด ช่วยตัวเองและช่วยพ่อแม่ท่านได้ทั้งภพนี้และภพหน้า นิสัยเป็นคนซื่อๆ อย่างคุณไปทำงานทางโลก เดี๋ยวโดนเขาหลอกหมดตัวไม่เหลือ อยู่วัดกับยายดีกว่า ไม่กี่ปีก็ตายจากกันแล้ว สั่งสมบุญไปภพหน้ากันเยอะๆ ดีกว่า
จากหนังสือ เกิดด้วยสองมือยาย
พระรังสฤษดิ์ อิทฺธิจินฺตโก