เราคือใคร ในจักรวาลนี้?

วันที่ 26 มค. พ.ศ.2565

650126_B.jpg

เราคือใคร ในจักรวาลนี้?

           เราเคยนึกสงสัยหรือไม่ว่า เราคือใคร ทำไมเราจึงมาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์แล้วเรามาทำอะไร ทำไมเราจึงมาอยู่ในโลกนี้ โลกนี้คืออะไร ตั้งอยู่ตรงไหน โลกอื่นๆ มีหรือไม่ คำตอบเหล่านี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ใน อัคคัญญสูตร กัปปสูตร สาสปสูตร ปัพพตสูตร จักกวัตติสูตร สุริยสูตร ฯลฯ ซึ่งจะนำมากล่าวพอสังเขป ดังนี้

โครงสร้างจักรวาล

           ศูนย์กลางของจักรวาล เริ่มที่เขาสิเนรุ ขยายออกไปแนวข้างจะมีภูเขา ๗ ชั้นรายรอบเขาสิเนรุ ภูเขารอบนอกสุดจะต่ำสุด และไล่ระดับความสูงมาจนกระทั่งถึงรอบที่ ๗ ติดกับเขาสิเนรุซึ่งสูงที่สุด ความสูงของเขารอบที่ ๗ นี้จะต่ำกว่าเขาสิเนรุครึ่งหนึ่ง รอบที่ ๖, ๕, ๔, ๓, ๒, ๑ ก็ต่ำกว่าลดหลั่นกันไปรอบละครึ่งหนึ่งตามลำดับ ในระหว่างเขาแต่ละชั้นจะมีน้ำคั่นกลาง ถัดจากภูเขาทั้ง ๒ ชั้นออกไป จะเป็นทะเลใหญ่ เป็นที่ตั้งของโลกมนุษย์ทั้ง ๔ ทวีป ซึ่งอยู่ประจำ ๔ ทิศ มีดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ลอยอยู่ระดับกึ่งกลางระหว่างพื้นทะเลกับยอดเขาสิเนรุ โคจรรอบเขาสิเนรุ แนวตั้งส่วนบนของเขาสิเนรุเป็นที่อยู่ของสัตว์ในสุคติภูมิ เบื้องล่างเป็นที่อยู่ของสัตว์ในทุคติภูมิ

ที่อยู่ของสัตว์ทั้งหลายในจักรวาล

           ในจักรวาล แบ่งที่อยู่ของสัตว์ทั้งหลายเป็น ๓ ภพ คือ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ

           กามภพ คือ ภพอันเป็นที่เกิดของผู้ที่ยังเกี่ยวข้องอยู่ในกาม ซึ่งประกอบด้วยภูมิ ๑๑ ภูมิ ได้แก่ มนุสสภูมิ ๑ อบายภูมิ ๔ และเทวภูมิ ๖

           รูปภพ หรือ พรหมโลก คือ ภาพอันเป็นที่อยู่ของรูปพรหม พรหมโลกนี้อยู่ในภูมิที่สูงกว่าเทวโลก มีทิพยสมบัติทั้งหลายที่สวยงามประณีตกว่าในเทวโลก

           อรูปภพ คือ ภพอันเป็นที่อยู่ของอรูปพรหม อยู่ในภูมิที่สูงกว่ารูปภพ มีทิพยสมบัติทั้งหลายสวยงามประณีตกว่าในรูปภาพ

กามภพ

           มนุสสภูมิ อยู่บนพื้นดินในระดับเดียวกับไหล่เขาสิเนรุ ในทิศทั้ง ๔ มี ๔ ทวีป คือ

          ๑. ปุพพวิเทหทวีป อยู่ตรงกับไหล่เขาด้านทิศตะวันออก ซึ่งได้รับแสงรัศมีจากเขาสิเนรุเป็นสีเงิน จึงทำให้น้ำในมหาสมุทร อากาศ ต้นไม้ใบไม้ ฯลฯ เป็นสีเงิน มนุษย์ในทวีปนี้มีใบหน้าเหมือนมะนาวตัด หรือพระจันทร์ครึ่งซีก

           ๒. อปรโคยานทวีป อยู่ตรงกับไหล่เขาด้านทิศตะวันตก ซึ่งได้รับแสงรัศมีจากเขาสิเนรุเป็นสีแก้วผลึก จึงทำให้น้ำในมหาสมุทร อากาศ ต้นไม้ใบไม้ ฯลฯ เป็นสีแก้วผลึก มนุษย์ในทวีปนี้มีใบหน้ากลมเหมือนดวงจันทร์วันเพ็ญ

           มนุษย์ในอุตตรกุรุทวีป มีคุณสมบัติพิเศษ และประเสริฐกว่ามนุษย์ในชมพูทวีป และเทวดาชั้นดาวดึงส์ คือ ไม่ถือเอาเงินทอง ทรัพย์สมบัติ ว่าเป็นของตน ไม่หวงแหนหรือถือเอาว่า ผู้นั้นผู้นี้เป็นบุตร ภรรยา สามีของตน และมีอายุยืนถึง 9,000 ปีเสมอ

            สำหรับมนุษย์ในปุพพวิเทหทวีป และอปรโคยานทวีป คล้ายมนุษย์ในชมพูทวีป แต่ความเจริญของโลกและจิตใจของผู้คน ถึงจะสูงก็สูงไม่เท่าคนในชมพูทวีป แม้จะต่ำก็ต่ำไม่เท่าคนในชมพูทวีป

            เหตุที่ทำให้มาเกิดเป็นมนุษย์ได้ เพราะเป็นผู้มีมนุษยธรรม คือ ธรรมที่ทำให้เป็นมนุษย์ ซึ่งก็คือ ศีล ๕ ข้อ หากเป็นผู้ไม่รักษาศีล ๕ แล้ว โอกาสที่จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกก็ยาก มนุษย์เป็นสัตว์ที่พิเศษกว่าสัตว์อื่นตรงที่ มนุษย์สามารถฝึกฝนและพัฒนาตนเองได้ สามารถรับถ่ายทอดความรู้และคุณธรรมได้ นี้เป็นคุณสมบัติอันประเสริฐและพิเศษของมนุษย์ ดังนั้น มนุษย์จึงเป็นภพภูมิเดียวที่สามารถสร้างบุญ สร้างความดีใต้ ภพภูมิของสวรรค์เป็นที่เสวยผลแห่งบุญ ส่วนอบายภูมิเป็นที่เสวยผลแห่งบาป

           อบายภูมิ คือ ภูมิกำเนิดที่ปราศจากความเจริญ เป็นสถานที่ที่สัตว์ไปเกิดแล้วไม่มีโอกาสกระทำกุศลกรรม หรือความดี หรือทำได้ยากมาก บางภูมิก็ไม่มีโอกาสเลย เพราะต้องเสวยทุกข์อย่างเดียว เป็นภูมิที่ต่ำที่สุดในบรรดาภูมิทั้งหมด มีทั้งหมด ๔ ภูมิ คือ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์ดิรัจฉาน ใต้เขาสิเนรุจะมีภูเขา ๓ ลูก เรียกว่า เขาตรีกูฏ รองรับเขาสิเนรุอยู่ตรงกลางภูเขาเป็นอุโมงค์ เป็นที่อยู่ของอสูร ซอกเขาแต่ละลูกซึ่งอยู่ระดับต่ำกว่าที่อยู่ของอสูรจะเป็นที่อยู่ของเปรต และอสุรกาย ใต้อสูรภพลงไป จะเป็นที่อยู่ของนรกขุมใหญ่ ตั้งแต่ขุมที่ ๑ ไล่ระดับต่ำลงไปจนถึงขุมที่ ๘ ซึ่งมีขนาดใหญ่ไปตามลำดับ ขุมที่ ๘ จะมีขนาดใหญ่ที่สุด รอบๆ นรกแต่ละขุมจะมีนรกขุมบริวาร คือ อุสสทนรก อยู่รอบนรกขุมใหญ่ และที่อยู่ถัดจากขุมบริวารออกไปอีก จะเป็นนรกขุมย่อย คือ ยมโลก นรก คือ โลกที่ไม่มีความสุขสบาย เป็นโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน นรกมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลมาก แบ่งเป็นเขต ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง เรียกว่า ขุม สัตว์นรกที่บังเกิดขึ้นในแต่ละขุม จะได้รับทุกขเวทนาแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับอกุศลกรรมที่ทำไว้ นรกแบ่งเป็น ๓ ส่วนใหญ่ๆ คือ มหานรก อุสสทนรก และยมโลก

           มหานรก (นรกใหญ่) มี ๘ ขุม ตั้งซ้อนเรียงกันอยู่เป็นชั้นๆ มีนายนิรยบาลหรือเจ้าหน้าที่ในมหานรก ซึ่งเกิดจากอำนาจแรงกรรมของสัตว์นรก คอยลงทัณฑ์สัตว์นรก

          อุสสทนรก เป็นนรกขุมบริวาร สัตว์นรกเมื่อใช้กรรมในมหานรก จนกรรมเบาบางลงแล้ว จะมารับกรรมต่อในอุสสทนรก อุสสทนรกอยู่โดยรอบ ๔ ทิศ ทิศละ ๔ ขุมของมหานรก แต่ละขุม รวมทั้งสิ้นมี ๑๒๘ ขุม

           ยมโลก เป็นนรกขุมย่อย สัตว์นรกเมื่อใช้กรรมในอุสสทนรกแล้ว หากยังไม่สิ้นกรรม ก็ต้องมาเสวยทุกข์ต่อในยมโลก มหานรกขุมหนึ่งๆ มียมโลกตั้งอยู่โดยรอบทั้ง ๔ ทิศ ทิศละ ๑๐ ขุม รวม ๔๐ ขุม เมื่อรวมยมโลกที่ตั้งอยู่โดยรอบมหานรกทุกขุมแล้ว มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๒๐ ขุม ยมโลกทั้ง ๑๐ ขุมในแต่ละทิศ มีชื่อเรียกเหมือนกับยมโลกในทิศอื่นๆ ยมโลกชื่อ “โลหกุมภี” เป็นยมโลกขุมที่ ๑ ใน ๑๐ ขุมนี้

           เปรต เป็นภูมิของสัตว์ผู้ห่างไกลจากความสุข และมีสถานที่อยู่อาศัยไม่แน่นอน เช่น ตามป่า ภูเขา เหว ทะเล เกาะ ฯลฯ ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยความหิว อดอยากอาหารเป็นยิ่งนัก และไม่มีเสื้อผ้าใส่ เปรตบางพวกอาศัยอยู่ในซอกเขาตรีกูฏ ซึ่งอยู่ระดับต่ำกว่าที่อยู่ของอสูร

           อสุรกาย คือ ภูมิของสัตว์ที่อยู่โดยปราศจากความร่าเริง สนุกสนาน ต้องเสวยทุกขเวทนา มีร่างกายน่าเกลียดน่ากลัว จึงมีความละอาย ไม่กล้าปรากฏกายให้ใครเห็น อสุรกายบางประเภทมีลักษณะคล้ายเทวดา บางประเภทคล้ายเปรต และบางประเภทที่มีกรรมหนักจะอยู่ในโลกันตนรก

           ดิรัจฉาน คือ ภูมิของสัตว์ที่มีร่างกายเจริญโดยขวาง เวลาจะไปไหนมาไหน ต้องไปโดยอาการที่ลำตัวจะเอียงไปแนวเดียวกับพื้นโดยมาก เช่น ช้าง ม้า แมว สุนัข ฯลฯ สัตว์ดิรัจฉานนี้ ไม่ต้องเสวยทุกขเวทนาแรงกล้าอย่างสัตว์นรก เปรต อสุรกาย มีกรรมเบาบางกว่า มีความยินดีในการกิน การนอน และการสืบพันธุ์ สัตว์ดิรัจฉานมีชีวิตอยู่ในภูมิเดียวกับมนุษย์ที่เราเห็นได้ด้วยตาเนื้อ มีความเป็นอยู่ลำบากกว่ามนุษย์

           สัตว์ดิรัจฉานบางประเภทอาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ เป็นกายละเอียดไม่สามารถเห็นได้ด้วยตามนุษย์เหตุที่ทำให้ไปเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน เพราะกิเลสตระกูลโมหะ คือ ความไม่รู้ตามความเป็นจริง เช่น หลงยึดติดกับบุคคลหรือทรัพย์สมบัติ หรือเคยทำอกุศลกรรมไว้ในชาติก่อน เมื่อพ้นกรรมจากนรก เปรต อสุรกายแล้ว เศษกรรมก็นำให้มาเป็นสัตว์ดิรัจฉาน และมักจะเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานซ้ำ ๆ อยู่หลายชาติ เป็นชนิดเดิมบ้าง เปลี่ยนชนิดบ้าง มีโอกาสทำกุศลกรรมน้อยมาก

           เทวภูมิ คือ ภูมิของชาวสวรรค์ เป็นที่เพลิดเพลิน ที่รื่นเริง ที่มีความสุขที่เลิศล้ำด้วยกามคุณ ๕ ชาวสวรรค์จะมีหูทิพย์ ตาทิพย์ บริโภคอาหารทิพย์ ฯลฯ ซึ่งเป็นของที่ละเอียดประณีตกว่าของมนุษย์ เทวภูมิ มี 2 ชั้น ดังนี้

           สวรรค์ชั้นที่ ๑ ชื่อ จาตุมหาราชิกา มีที่อยู่รอบเขาสิเนรุ จากตอนกลางของภูเขาสิเนรุลงมาจนถึงใต้พื้นน้ำมหาสมุทร เป็นที่อยู่ของเทวดาจาตุมหาราชิกา ยักษ์เทวดา กุมภัณฑ์เทวดา ครุฑ นาค เทวดาชั้นนี้มีหลายประเภท อยู่บนพื้นดิน บนต้นไม้ และอยู่ในอากาศ บางพวกอยู่ปะปนกับที่อยู่ของมนุษย์ในชมพูทวีป พวกที่อยู่ตามดวงดาวทั้งหลายเป็นอากาศเทวา

           สวรรค์ชั้นที่ ๒ ชื่อ ดาวดึงส์ อยู่บนหน้าตัดของเขาสิเนรุ ซึ่งเป็นกึ่งกลางของกามภพ

           สวรรค์ชั้นที่ ๓ ชื่อ ยามา อยู่ถัดจากชั้นดาวดึงส์สูงขึ้นไปในอากาศ

           สวรรค์ชั้นที่ ๔ ชื่อ ดุสิต อยู่ถัดจากสวรรค์ชั้นยามา สูงขึ้นไปในอากาศ มีขนาดใหญ่กว่าสวรรค์ชั้นยามา

           สวรรค์ชั้นที่ ๕ ชื่อ นิมมานรดี อยู่ถัดจากสวรรค์ชั้นดุสิต สูงขึ้นไปในอากาศ มีขนาดใหญ่กว่าสวรรค์ชั้นดุสิต

           สวรรค์ชั้นที่ ๖ ชื่อ ปรนิมมิตวสวัตดี อยู่ถัดจากสวรรค์ชั้นนิมมานรดี สูงขึ้นไปในอากาศ มีขนาดใหญ่กว่าสวรรค์ชั้นนิมมานรดี

รูปภพ และอรูปภพ

           รูปภพ เป็นที่อยู่ของรูปพรหม และอรูปภพ ซึ่งเป็นที่อยู่ของอรูปพรหม อยู่ถัดจากสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดีสูงขึ้นไปอีก มีขนาดใหญ่ขึ้นไปตามลำดับ

           ถึงจุดนี้ เราคงพอจะนึกภาพได้แล้วว่า เราเป็นใคร อยู่ตรงจุดใดในจักรวาลนี้ และเราจะเลือกทางเดินของตนเองอย่างไรต่อไป

 

จากหนังสือ มนต์เสน่ห์เเห่งสวรรค์ ทัณฑ์ทรมานเเห่งนรก

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0016522487004598 Mins