ความยิ่งใหญ่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

วันที่ 09 กพ. พ.ศ.2565

650209_p04.jpg

ความยิ่งใหญ่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

สุนทรียภาพของพระบรมศาสดา

650209_p01.jpg

         สิ่งที่คนทั้งโลกแสวงหากันทั้งชีวิต คือ

 • ทรัพย์สมบัติ

 • ยศและตำแหน่งจากความเจริญก้าวหน้าในภารกิจหน้าที่การงาน

 • ครอบครัวที่อบอุ่น

           ใครมีทั้ง ๓ ประการ ย่อมได้รับการยกย่อง เป็นเครื่องวัดฐานะทางสังคม เป็นที่ยอมรับของคนทั้งโลก

          ตั้งแต่ก่อนออกบวชเจ้าชายสิทธัตถะทรงพรั่งพร้อม สมบูรณ์ในพระราชสมบัติ ถ้าพระองค์ไม่เสด็จออกบวชจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ผู้เป็นใหญ่ปกครองทวีปทั้ง ๔

           พระองค์เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ ผู้ปกครองแคว้นกบิลพัสดุ์ เป็นรัชทายาทผู้สืบทอดพระราชสมบัติโดยชอบธรรม เป็นผู้ยิ่งด้วยยศอันเลิศโดยกำเนิด ไม่ต้องไปรบแย่งชิงพระราชสมบัติกับใคร

           พระองค์มีพระนางพิมพาเป็นพระอัครมเหสี ผู้เป็นเลิศในรูปสมบัติ งดงามด้วยกิริยามารยาท ถึงพร้อมด้วยตระกูลสมบัติที่เสมอกัน มีพระสนมมากมายในพระราชวังทั้ง 3 ฤดู

          ทั้งทรัพย์ ยศ และครอบครัว เป็นเลิศในทุกด้าน แต่พระองค์ทรงถึงพร้อมด้วยพระบารมี ทรงเห็นสิ่งที่คนทั้งโลกแสวงหาทั้งชีวิต เป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน จึงสละทุกอย่างเพื่อแสวงหาหนทางแห่งความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง แล้วพระองค์ก็ทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ ทรงเผยแผ่คำสอนอันบริสุทธิ์ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ มีผู้บรรลุมรรคผลนิพพานตามพระองค์มากมาย

          ตลอดชีวิตของพระองค์ มีผู้ไม่หวังดี มุ่งทำลาย และทำร้ายหลายครั้ง เช่น ถูกพระเทวทัตคบคิดกับพระเจ้าอชาตศัตรู ส่งนายขมังธนูมาลอบปลงพระชนม์ มอมน้ำเมาช้างนาฬาคีรี ปล่อยมาทำร้ายพระองค์

           ถูกนางมาคันทิยา มเหสีของพระเจ้าอุเทนจ้างคนมาตามด่า

          ถูกพวกเดียรถีย์ นักบวชนอกศาสนา ส่งนางจิญจมาณวิกา และนางสุนทรีมาใส่ร้ายพระองค์ว่า หลับนอนกับนาง

          แต่วิถีทางในการต่อสู้ของพระองค์กับผู้ไม่หวังดี คือ ไม่สู้ไม่หนี ทำดีเรื่อยไป ไม่เคยตอบโต้แบบตาต่อตา ฟันต่อฟันด้วยความรุนแรงเลย ไม่เคยเสียเลือด เนื้อ และชีวิตของพุทธบริษัท จึงไม่เคยปรากฏสงครามศาสนาแม้แต่เพียงครั้งเดียว ตลอดระยะเวลา ๒,๕๐๐ กว่าปีที่ผ่านมา พระองค์ทรงสั่งสอนให้มวลมนุษย์มีเมตตาธรรม และขันติธรรมต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

          จนในวันที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ พร้อมใจกันยกย่องให้วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญของโลก

          ขอเชิญชวนทุกท่านมาระลึกถึงความงดงามของ "สุนทรียภาพแห่งพระบรมศาสดา" ในวาระเทศกาลวันวิสาขบูชา

 

อมตวาจาของผู้ยิ่งใหญ่

650209_p04.jpg

          ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของโลก มักจะมีคำพูดที่เป็นอมตวาจา เป็นคำพูดที่ไม่ตาย คือ ชนรุ่นหลังยังระลึกถึง นำมาเล่าขานสืบต่อกัน แม้ล่วงเลยมาหลายพันปี ฟังแล้วเกิดแรงบันดาลใจอันสูงส่งที่จะสร้างความดีอย่างยิ่งยวด แม้ชีวิตก็ยอมสละได้ ดังพระดำรัสของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสในวาระสำคัญต่างๆ เช่น

วันประสูติ

          เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติจากพระครรภ์ของพระราชมารดา ทรงพระดำเนินไปทางทิศอุดร ๗ ก้าว ทรงเปล่งอาสภิวาจาว่า "เราเป็นผู้เลิศในโลก เราเป็นผู้เจริญที่สุดในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ ความเกิดใหม่ย่อมไม่มี"

วันตรัสรู้

          เมื่อพระโพธิสัตว์รับหญ้าจากนายโสตถิยะ ๘ กำมือ ทรงนำไปปูลาดเป็นโพธิบัลลังก์ ประทับนั่งผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก แล้วทรงอธิษฐานว่า "แม้เลือดและเนื้อในสรีระจะแห้งเหือดหายไปหมดสิ้น เหลือแต่หนัง เอ็น และกระดูกก็ตามที หากเรายังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ จะไม่ทำลายบัลลังก์นี้"

วันปรินิพพาน

          ทรงอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายสอบถามข้อสงสัยแล้ว ทรงประทานปัจฉิมโอวาทว่า "สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด" แล้วเสด็จดับขันธปรินิพพาน

          อมตวาจา 3 ประโยคนี้เป็นแรงบันดาลใจให้มีพุทธบุตรสละชีวิตออกบวชสืบอายุพระพุทธศาสนา และดำเนินชีวิตตามรอยบาทพระบรมศาสดา สืบเนื่องมา ๒,๕๐๐ กว่าปี จนมาถึงปัจจุบัน

          สรรพชีวิตที่บังเกิดขึ้นทั้งในมนุษยโลก เทวโลก และพรหมโลก ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ผู้ที่จะเปล่งถ้อยคำอันเป็นอมตวาจานี้ ในกัปหนึ่งมีไม่เกิน ๕ พระองค์ นี้เป็นความยิ่งใหญ่ประการหนึ่งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

          ขอเชิญทุกท่าน มาร่วมระลึกถึงพระพุทธคุณอันประเสริฐของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในเทศกาลวันวิสาขบูชา

 

ว่าด้วยเทพบุตรพุทธมารดา

650209_p03.jpg

          หลังจากพระนางสิริมหามายาทรงประสูติพระโพธิสัตว์ได้ ๗ วัน ก็เสด็จสวรรคต ทำไมพุทธมารดาจึงอายุสั้น? หรือว่าวิบากกรรม ปาณาติบาตตามมาส่งผล

          การที่พุทธมารดาเสด็จสวรรคต เพราะท่านเสร็จสิ้นภารกิจการทำหน้าที่ให้กำเนิดพระโพธิสัตว์แล้ว จึงเสด็จกลับไปสู่สวรรค์ชั้นดุสิต (ชั้น๔) เป็นเทพบุตรพุทธมารดา รอการมาทำหน้าเป็นพุทธมารดาของพระศรีอริยเมตไตรย์โพธิสัตว์ต่อไป

          พระครรภ์ของพุทธมารดา ไม่ควรเป็นที่กำเนิดของสัตว์ทั้งหลาย เหมือนเศวตฉัตรและพระราชบัลลังก์ ที่เป็นเครื่องราชูปโภคของพระมหากษัตริย์เท่านั้น ไม่ควรแก่บุคคลทั่วไป พุทธมารดาสร้างบารมีมาแสนมหากัป เพื่อปรารถนาตำแหน่งพุทธมารดาเท่านั้น เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ จึงเสด็จสวรรคตกลับไปสู่สวรรค์ชั้นดุสิตสืบไป

          เทพบุตรพุทธมารดาอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต ทำไมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเสด็จไปโปรดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ (ชั้น ๒)?

         เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงระลึกถึงคุณของพุทธมารดา ทรงปรารถนาจะตอบแทน จึงเสด็จไปโปรดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เทพบุตรพุทธมารดาต้องลงมาฟังธรรมจากสวรรค์ชั้นดุสิต ที่เป็นเช่นนี้ เพราะพระบรมศาสดาปราถนาจะให้เกิดประโยชน์ใหญ่แก่เหล่าทวยเทพเป็นอันมาก

         ธรรมชาติของชาวสวรรค์ที่อยู่ชั้นต่ำกว่า จะไม่สามารถขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นสูงกว่าที่ตนอยู่ได้ เหมือนสังคมในโลกนี้ คนทั่วไปจะไปเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์ ไปพบมหาเศรษฐี หรือผู้ที่มียศใหญ่ ส่วนใหญ่จะติดตั้งแต่ประตูทางเข้าหมู่บ้าน เพราะ รปภ. ไม่ให้เข้า บางท่านยังมี รปภ. ที่หน้าบ้านอีก

          ถ้าเจ้าของบ้านไม่ได้ตามมาพบ ก็เข้าพบไม่ได้ แต่พระมหากษัตริย์จะเสด็จมาเยี่ยมมหาเศรษฐีหรือผู้มียศใหญ่จะมาพบคนทั่วไปเป็นเรื่องง่าย และเป็นที่ยินดีของผู้ที่ไปพบด้วย

          เครื่องวัดฐานะทางสังคมในโลกนี้ วัดกันที่ใครมีทรัพย์ ยศ บริวาร และความเป็นใหญ่ แต่ในเทวโลกวัดกันที่กำลังบุญ โดยดูได้จากขนาดของรัศมี ดังนั้นบางคนอาจเป็นคนธรรมดาในมนุษยโลก แต่ไม่ธรรมดาในเทวโลก เหมือนท้าวสักกเทวราช ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในอดีตชาติเป็นคนธรรมดาแต่มีจิตอาสาชอบช่วยเหลือคน แบบเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการทำความดี แม้ถูกภัยคุกคามถึงชีวิต ก็ตั้งมั่นในความเมตตา ไม่ตอบโต้ด้วยความรุนแรง

           ถ้าพระบรมศาสดาเสด็จไปโปรดบนสวรรค์ชั้นดุสิต ทวยเทพตั้งแต่ชั้นยามา (ชั้น ๓) ลงมาย่อมไม่ได้ประโยชน์ แต่เมื่อพระองค์เสด็จไปโปรดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เหล่าทวยเทพตั้งแต่ชั้นยามาขึ้นไปก็สามารถลงมาฟังธรรมได้ ชาวสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา(ชั้น ๑) อยู่เชิงเขารอบๆ เขาพระสุเมรุ ก็ขึ้นมาฟังธรรมได้ เพราะต่อเนื่องกัน

            นี้เป็นพระมหากรุณาธิคุณ และพระปัญญาธิคุณของพระบรมศาสดา

 

วิธีตอบคำถามของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

650209_p02.jpg

           ความสงสัยย่อมมีแก่ปุถุชนเป็นปกติ แต่คนถามไม่ได้ถามเพราะสงสัยเพียงอย่างเดียว มีเหตุผลในการถามหลากหลาย เช่น

๑. ถามเพราะไม่รู้ ไม่เคยได้ฟังมาก่อน

๒. ถามเพื่อเทียบเคียงกับความรู้ที่เคยได้ยินได้ฟังมา ถามเพื่อคลายความสงสัยเรื่องที่ค้างอยู่ในใจ

๓. ถามเพื่อให้ผู้ฟังคล้อยตาม

๔. ถามเพื่อตอบเอง ให้ผู้ฟังเข้าใจ

           ด้วยเหตุผลในการถามที่หลากหลายนี้เอง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสวิธีตอบคำถามไว้ ๔ วิธี คือ

๑. ตอบแง่เดียว ตอบทางเดียว เช่น

          คำถาม: สรรพสิ่งในโลกมีอะไรบ้างที่ไม่ผุพัง?

         คำตอบ: ผุพังทุกอย่าง เพราะสรรพสิ่งในโลก ล้วนตกอยู่ในอำนาจไตรลักษณ์ คือ เปลี่ยนแปลง ไม่คงที่ ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้และไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง

๒. แยกแยะตอบ เช่น

          คำถาม: ถ้าใส่บาตรทุกวันแล้วจะได้ไปสวรรค์ไหม?

          คำตอบ: ไม่แน่ จะไปสวรรค์หรือไม่ อยู่ที่ใจผ่องใส หรือใจเศร้าหมอง ดังที่พระพุทธองค์ตรัส ไว้ว่า “จิตเต อสังกิลฎเฐ สุคติ ปาฏิกังขา” เมื่อจิต ผ่องใส ไม่เศร้าหมอง สุคติเป็นอันหวัง ถ้าใกล้ตาย นึกถึงภาพใส่บาตรได้ปลื้มใจ จิตผ่องใสจนละสังขาร ได้ไปสวรรค์ แต่ถ้าไปนึกถึงบาปอกุศลที่เคยผิดพลาดทำมาในอดีตจิตขุ่นมัวเศร้าหมองจนละสังขาร ทุคติเป็นอันหวัง

๓. ย้อนถามแล้วตอบ เช่น

          คำถาม: พระพุทธเจ้ามีจริงหรือ? เพราะไม่เคยเห็น

          คำตอบ: ปู่ของคุณ มีไหม? ปู่ของปู่ล่ะ มีไหม? แล้วปู่ของปู่ของปู่ ของปู่ ของปู่ล่ะ มีไหม? เคยเห็นหรือเปล่า?

๔. งดตอบ ไม่ตอบ เช่น
          คำถาม: เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๔๐ มีสื่อมวลชนบางฉบับเข้าไปถามพระมหาเถระ มีตำแหน่งเป็นกรรมการมหาเถรสมาคมว่า นิพพานเป็นอัตตา หรืออนัตตา (อัตตา แปลว่า ใช่ตัวตน, อนัตตา แปลว่า ไม่ใช่ตัวตน สรรพสิ่งที่อยู่ในภพทั้งคน สัตว์ สิ่งของ ล้วนผุพังไปสู่ความแตกสลาย สุดท้ายแล้วก็หาตัวตนไม่พบ เรียกว่า อนัตตา)

          คำตอบ: คำถามนี้ ผู้ที่ตอบได้ ต้องมีภูมิธรรมเป็นพระอรหันต์ เมื่อไหร่ที่อาตมาบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วจะตอบ...

          นี้คือ คำตอบที่ไม่ได้คำตอบ...

          เคยถามคำถามนี้กับพระหนุ่มในระหว่างการอบรม ถ้ามีคนขี้เมาเดินโซเซเข้ามาในวัด เจอท่านพอดี เลยเดินเข้ามาถามว่าพระคุณเจ้า “นิพพานเป็นอัตตา หรืออนัตตา” ท่านจะตอบยังไง?

          ท่านตอบว่า “ผมจะเอากำปั้น อัดตามัน” !!!

 

จากหนังสือ ราตรีสว่าง

พระครูวิบูลนิติธรรม (ไพบูลย์ ธัมมวิปุโล)

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.024140000343323 Mins