ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยบุญ

วันที่ 18 มิย. พ.ศ.2567

 

180667b01.jpg

ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยบุญ

พระธรรมเทศนาเพื่อการปฏิบัติธรรม วัดพระธรรมกาย
โดย... พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)


                ต่อจากนี้ให้ตั้งใจให้แน่แน่วมุ่งตรงต่อหนทางของพระนิพพานกันนะจ๊ะ ให้เอาขาขวาทับขาซ้ายมือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ นะจ๊ะ หลับตาของเราเบา ๆ พอสบายคล้ายกับเรานอนหลับ  อย่าไปบีบหัวตาอย่ากดลูกในตา หลับแค่พอสบายเท่านั้นนะจ๊ะ แล้วก็ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี กะคะเนให้เลือดลมในตัวของเราเดินได้สะดวก จะได้ไม่ปวดไม่เมื่อย ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย ตั้งแต่บริเวณเปลือกตา หน้าผาก ศีรษะให้ผ่อนคลายให้หมด กล้ามเนื้อบริเวณบ่าไหล่ แขนทั้งสองถึงปลายนิ้วมือให้ผ่อนคลาย กล้ามเนื้อบริเวณลำตัว ขาทั้งสองถึงปลายนิ้วเท้าให้ผ่อนคลายให้หมด ผ่อนคลายร่างกายทุกส่วนให้หมดเลยนะจ๊ะ 

 


                เมื่อเราผ่อนคลายร่างกายแล้วต่อจากนี้ก็ปรับที่ใจของเรา ใจที่เหมาะสมต่อการปฏิบัติธรรมและเข้าถึงพระธรรมกายในตัวจะต้องเป็นกายที่ปลอดโปร่งว่างเปล่าจากภารกิจเครื่องกังวลใด ๆ ทั้งสิ้นใจต้องวางทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสัตว์สิ่งของมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตามจะเป็นเรื่องการศึกษาเล่าเรียนธุรกิจการงาน เรื่องครอบครัว เรื่องที่คั่งค้างอยู่ในใจหรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้น่ะ ผ่อนคลายทิ้งไปให้หมด ขจัดออกให้หมด อย่าให้มีหลงเหลืออยู่ในใจของเราให้ใจของเราวางเปล่าจากความคิดทั้งหมวล ปลอดความคิดชั่วขณะที่เราจะปฏิบัติธรรมนะจ๊ะ

 


                เพราะเราได้ใช้ความคิดกันมาตลอดระยะเวลายาวนานทีเดียว ใช้ความนึกคิดตลอดเวลา เพราะว่าระบบของโลกเขาหล่อหลอมกันอย่างนั้น เขาหล่อหลอมให้คิดกัน ไม่ว่าจะทำมาหากินก็จะต้องคิด จะศึกษาเล่าเรียน จะครองเรือนต้องคิดกันทั้งนั้น เพราะความคิดนั่นแหละทำให้ใจของเราว้าวุ่นสับสน ไม่เป็นระเบียบ จึงปราศจากความสุข เพราะฉะนั้นเราจะมาพักความคิด หยุดความคิดกันชั่วคราวในวันนี้นะจ๊ะ เป็นวันที่เราปลอดความคิดใด ๆ ทั้งสิ้น ทำใจให้มันว่าง ๆ ให้มันนิ่ง ๆ หยุดนิ่งเฉย ๆ และเดี๋ยวเราจะพบว่า การที่ไม่คิดนั้นน่ะ หรือการที่ใจหยุดนิ่งนั่นน่ะ เราจะพบความสุขอันล้ำค่าอย่างที่เรานึกไม่ถึงมาก่อนเลย ว่าจะมีสิ่งนี้เกิดขึ้นในชีวิตของเรา หรือมีอารมณ์ชนิดนี้ในโลก ณ จุดตรงนั้นน่ะ เราจะพบความสุขอย่างที่เราไม่เคยเป็นมาก่อนแค่วันละ เราหยุดความคิดทั้งหมวล 

 


                เพราะฉะนั้นตอนนี้ทำใจให้ว่างเปล่า ประหนึ่งว่าเราอยู่คนเดียวในโลก ทำใจให้ได้อย่างนี้นะจ๊ะ ให้นิ่ง ๆ แล้วก็ทำให้เบิกบานสบาย ๆ ให้ทำใจให้เรา ให้บริสุทธิ์ผ่องใส  ว่าง ๆ ทำให้ได้อย่างนี้ สัก ๑ หรือ ๒ นาทีนะจ๊ะ ให้นิ่ง ๆ พร้อมกับการผ่อนคลายของร่างกายเรา ผ่อนคลายทั้งกายและใจให้สบาย ๆ ให้เบิกบานให้แช่มชื่น ให้แช่มชื่นสัก ๑ หรือ ๒ นาทีลองทำดูนะจ๊ะ ทำใจดูให้นิ่ง ๆ ว่าง ๆ วันนี้เป็นวันที่สำคัญวันหนึ่งในชีวิตของเราทีเดียว เพราะกิจที่เรากำลังจะทำต่อไปนี้น่ะ มันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตของเราเช่นเดียวกับลมหายใจเข้าออก ที่สืบทอดชีวิตให้ยืนยาว สิ่งที่เราจะต้องทำนี้มันเกี่ยวข้องกับตัวเราตลอด ก็คือการแสวงหาหนทางที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ ให้เข้าถึงความสุขที่แท้จริง 

 


                พื้นฐานชีวิตทุกคนน่ะมีความสุขกันทั้งนั้น ตั้งแต่เกิดเรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้น่ะ เราเจอแต่ความทุกข์ ความสุขนั้นยังไม่เคยเจอกันเลย เจอแต่สภาพที่ความทุกข์มันลดลงบ้างเป็นบางครั้งคราว อยู่ในสภาพที่พอทนได้ทั้งนั้น และเราก็เข้าใจว่านั่นคือความสุข แต่ที่จริงนั่นแค่ คือความทุกข์ที่มันลดลง โดยอาจจะไปเพลิดเพลินในบางสิ่งบางอย่างให้มันลืม ๆ ความทุกข์กันไป แต่มันก็ยังไม่ใช่ความสุขมันแค่เป็นความเพลิน หรือความทุกข์ที่ลดลง ความสุขที่แท้จริงนั้นน่ะมันอยู่ภายในตัว ไม่ได้อยู่ที่วัตถุสิ่งของ เราจะไปแสวงหาความสุขที่แท้จริงจากวัตถุสิ่งของแก้วแหวนเงินทองทรัพย์สินอะไรต่าง ๆ เหล่านั้นไม่ได้เลย เพราะมันไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น ถ้าเราไปหาผิดที่มันก็ไม่เจอ ถ้าถูกที่แล้วจึงจะเจอ ถูกที่ยังไม่พอต้องถูกส่วนด้วย 

 


                ถูกที่และถูกส่วนจึงจะเจอความสุขที่แท้จริง ถูกที่ก็คือที่ตั้งของความสุขนั้นมันอยู่ในตัวของเรา อยู่ตรงกลางกายตรงฐานที่ ๗ เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ โดยสมมุติเราขึงเส้นด้าย ๒ เส้นนะจ๊ะ จากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายเส้นหนึ่ง ให้เส้นได้ทั้งสองตัดกันเป็นกากบาทเหนือจุดตัดของเส้นด้ายทั้งสองขึ้นมา ๒ นิ้วมือตรงนี้แหละเป็นที่ตั้งใจของเรา ใจที่กำลังจะแสวงหาความสุขที่แท้จริง ตรงนี้ถึงจะเรียกว่าถูกที่ ถูกที่ตั้งแห่งความสุขแท้จริง เราจะต้องนำใจของเรานะจ๊ะ ที่แว่บไปแว่บมาน่ะ มาหยุดอยู่ที่ตรงนี้น่ะ หยุดอยู่ตรงฐานที่ ๗ ตรงนี้ ให้ได้ตลอดเวลาอย่าเผลอทีเดียวนะจ๊ะ อย่างนี้เรียกว่าถูกที่ ให้ใจเนี่ยมาหยุดอยู่ที่ตรงนี้น่ะตรงฐานที่ ๗ ถูกที่ตั้งของความสุข และประคองไปเรื่อย ๆ อย่าให้เผลอนะ ประคองใจไปเรื่อย ๆ โดยอย่าให้มีความคิดใด ๆ ทั้งสิ้น  เข้ามาครอบงำ อย่าให้ความคิดใด ๆ เกิดขึ้นแค่ทำใจหยุดกับนิ่งอยู่ที่ตรงนี้แหละตรงฐานที่ ๗ ประคองไปเรื่อย ๆ เลย ไม่ให้เผลอ แล้วต้องประครองอย่างเบา ๆ สบาย ๆ ทำหยุดทำนิ่งทำเฉย ๆ ให้เป็นที่ปลอดความคิดอย่างแท้จริง หยุดให้นิ่ง ๆ สบาย ๆ เดี๋ยวมันจะถูกส่วนเอง

 


                เวลาถูกส่วนนะจ๊ะ มันจะเปลี่ยนจากภาวะหยาบไปสู่ความละเอียด ใจจะค่อย ๆ โล่งขึ้นทีละน้อย ร่างกายดูเหมือนจะบางเบา มีความรู้สึกว่ามันบางเบา และก็ขยายกว้างออกไป บางครั้งคล้ายจะเหาะจะลอยได้ ใจก็จะนิ่งแน่นอยู่ตรงนั้นแหละ นิ่งจนแน่นปึ้กลงไปตรงนั้นเลยเนี่ย นิ่งแน่นก็ขยายไปเรื่อย ๆ ยิ่งเรานิ่ง หยุดกับนิ่งตรงนั้นไปเรื่อย ๆ ก็ยิ่งขยาย ใจขยายเอาล่ะตอนนี้และความสุขก็เริ่มพรั่งพรูออกมาทีละน้อย เราจะเริ่มสัมผัสแหล่งของความสุข ที่มีความรู้สึกว่าใจเริ่มบริสุทธิ์ขึ้น เกลี้ยงเกลาขึ้นเป็นอิสระเพิ่มขึ้นขยาย โปร่งเบาไปเรื่อย ๆ เลย จนกระทั่งความรู้สึกที่ร่างกายของเราหมดไป

 


                เหมือนกับเราไม่มีร่างกายมีแต่ใจอยู่เพียงดวงเดียว ที่หยุดนิ่งอยู่ ณ จุดที่เป็นแหล่งกำเนิดของความสุข ความสุขจะเกิดขึ้นตอนนี้แหละทีละน้อย ทีละน้อย ทีละน้อยเรื่อยไปเลย เป็นความสุขที่เราเริ่มจะยอมรับว่าเอ้ออย่างนี้เรียกว่าความสุข เป็นอารมณ์ที่แตกต่างจากที่เราเคยเจอมาก่อน มันไม่เหมือนกันจริง ๆ เป็นความปราณีตที่ละเอียดอ่อน ยิ่งใจนิ่งแน่นหนักเข้าไปเรื่อย ๆ ความบริสุทธิ์ของดวงจิตก็ยิ่งปรากฏขึ้น เป็นแสงสว่างเรืองรองก็มาทีละน้อย ๆ เหมือนฟ้าสาง ตอนเช้าในฤดูร้อนน่ะค่อย ๆ สว่างขึ้นอาการก็คล้าย ๆ กับดวงอาทิตย์ผุดเกิดขึ้นตอนเช้านั่นแหละ 

 


                แต่มันเป็นความสว่างภายใน นี่เป็นความอัศจรรย์ เป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์ของดวงจิต ความสว่างนี้มาพร้อมกับความสุข จะสว่างขึ้นเรื่อยเหมือนดวง เหมือนความสว่างของดวงอาทิตย์ตอน ๖ โมงเช้า ๗ โมงเช้า ๘ โมงเรื่อยไปเลย จนกระทั่ง ๑๐ โมง ๑๑ โมงถึงเที่ยงวัน เป็นความสว่างที่เกิดขึ้นจากจิตที่บริสุทธิ์ เพราะหยุดนิ่งไม่มีความคิดใด ๆ มาปรุงแต่ง จะสว่างเป็นความสว่างที่สุขใส เหมือนแสงแก้วที่ไม่เคืองตา สว่างเหมือนดวงอาทิตย์เย็นกว่าแสงจันทร์ กายก็เบาสบายขยายไม่มีขอบเขต มีความสุขมากทีเดียวในท่ามกลางของแสงสว่าง ที่เจิดจ้าเหมือนดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน เป็นแสงที่กระจายไปทั่ว เป็นปริมณฑลในที่กว้าง ๆ โล่ง ๆ เหมือนกลางอวกาศที่เต็มไปด้วยแสงสว่างแห่งความสุข ที่สบายที่สุดเลย 

 


                ใจก็จะยิ่งนิ่ง นิ่งลงไปอีก หยุดนิ่งแน่นไปเรื่อย นิ่งลงไปในกลางความสว่าง นิ่งลงไปในกลางความสุข พอถูกส่วนอีกระดับหนึ่ง ก็จะเห็นจุดกึ่งกลางของความสว่างที่กระจายโดยรอบ เล็ก ๆขนาดดวงดาวในอากาศ จุดสว่างนี้สว่างกว่าแสงที่กระจายโดยรอบ เป็นเครื่องหมายให้เราเห็นเป็นที่รวมของใจคือ ความเห็น ความจำ ความคิด ความรู้ ๔ อย่างมารวมหยุดเป็นจุดเดียวกันเลย ไม่คิดเรื่องอะไรเลย มีแต่ดวงสว่างใส ๆ ที่เล็กเหมือนดวงดาวในอากาศ และยิ่งเราหยุดนิ่งไปเรื่อย ๆ ก็ยิ่งขยาย โตขึ้นขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ ยิ่งเรานิ่งเข้าไปอีกก็ยิ่งขยาย ขนาดดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงวันกลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว งามไม่มีที่ติทีเดียว ไม่มีตำหนิเลยแม้แต่นิดเดียว 

 


                เป็นความใสที่เกินความใสใด ๆ ในโลก คือใส่กว่าน้ำใสกว่ากระจกเงาที่ส่องเงาหน้า ใสกว่าเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขีดข่วนเลยน่ะ เป็นความใสที่เกินความใสใด ๆ ในโลกมาพร้อมกับความสุข ที่เพิ่มพูนทัพทวีขึ้นมาเกิดขึ้น ใจของเราก็ดวงนั่นน่ะเเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดวงธรรมดวงนี้แหละเรียกว่าดวงธรรมเบื้องต้น เป็นความบริสุทธิ์ที่สมบูรณ์ในเบื้องต้น เป็นจุดเริ่มต้นที่จะเดินทางไปสู่อายตนะนิพพาน ทางนี้ไม่ใช่ทางธรรมดาเหมือนในโลกมนุษย์ เป็นทางของพระอริยเจ้าคือผู้ที่ห่างไกลจากกิเลสอัศวะ มีชีวิตอันประเสริฐ สมบูรณ์อุดมไปด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ทางนี้เรียกว่าอารยมรรค เริ่มจากดวงธรรมดวงแรกนี่แหละ ที่ใสสว่างกลมรอบตัวทีเดียว ถ้าเมื่อใดเราได้พบดวงธรรมดวงนี้น่ะ เข้าถึงแล้วปิดประตูอบายภูมิ รักษาดวงธรรมนี้ตลอด ดวงธรรมนี้จะคุ้มครองเราให้ทำแต่สิ่งที่ดีงาม 

 


                เพราะว่าเมื่อใจเข้าถึงดวงธรรมดวงนี้ความบริสุทธิ์ก็เกิดขึ้น สัมมาทิฏฐิเกิดขึ้นตอนนี้แหละ เราจะมีความเห็นถูก ว่าต้องอย่างนี้ ต้องเดินทางนี้ ถึงจะถูกต้อง ถึงจะหลุดจากความทุกข์ทั้งมวลได้ ความเห็นถูกก็จะเกิดขึ้นในตอนนี้แหละ เพราะเห็นดวงธรรมเบื้องต้น เป็นดวงกลมใสบริสุทธิ์ ใครยังไม่เห็นดวงธรรมนี้เนี่ย มันยังเห็นไม่ถูก มักจะมีความเห็นไปต่าง ๆ นา ๆ ตามรสนิยมตามความเข้าใจ แต่ถ้าเข้าถึงธรรมดวงนี้แล้วเนี่ย เห็นเพียงประการเดียวว่าต้องไปสู่อายตนะนิพพานเท่านั้น จึงจะหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลาย จะต้องหยุดนิ่งอยู่ในกลางดวงธรรมนี้ และต้องเดินเส้นทางสายนี้ คือเข้าไปสู่ภายในดวงธรรมนี้ ดวงเดียวเท่านั้น วิธีเดียวเท่านั้นจึงจะหลุดพ้นจากสัพพทุกข์ สัพพกิเลสทั้งหลายได้ จะเข้าถึงความสุขอันเป็นอมตะได้ต้องผ่านเข้ามาในกลางดวงธรรมดวงนี้เนี่ย 

 


                เพราะฉะนั้นความรู้สึกชนิดนี้ จะเกิดขึ้นมาเมื่อเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมเบื้องต้น ที่บังเกิดขึ้นเป็นดวงใสบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นความเห็นถูกก็จะเกิดขึ้น ความเห็นถูกนี่ก็เป็นต้นทางของความคิดถูก ความคิดของเราก็เริ่มมีระบบขึ้นมา มีระบบมุ่งตรงไปสู่อายตนะนิพพาน ความคิดที่จะแตกต่างจากความคิดเดิม คิดเดิมคิดอยากจะครองโลก ครองบ้าน ครองเรือน ครองทรัพย์สินเงินทองเท่านั้น ครองทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็นนี่แหละ การเบียดเบียนมันถึงเกิดขึ้น 

 


                แต่พอมาถึงตอนนี้เนี่ยความคิดถูกต้อง มันเกิดขึ้นมาเองเลย เกิดขึ้นเมื่อเราเข้าถึงธรรมดวงนี้แหละ คือคิดที่จะออกจากทุกข์ทั้งหลาย อะไรเป็นเครื่องรุงรังของชีวิตก็จะปลดปล่อยวาง คิดมุ่งตรงต่อหนทางของพระอริยเจ้าอย่างเดียว ถึงตรงนี้ใจก็จะหยุดนิ่งไปเรื่อย ก็จะมองหาวิธีว่าทำอย่างไรกาย วาจา ใจของเราจึงจะบริสุทธิ์ได้ เพราะเส้นทางสายนี้เนี่ย เป็นเส้นทางของผู้บริสุทธิ์เท่านั้น หมายความว่าถ้ากายวาจาใจเราบริสุทธิ์ได้เราจึงจะเข้าสู่เส้นทางนี้ได้ และถึงตอนนี้กำลังใจก็เกิดขึ้นมาอยากจะทำกาย วาจา ใจให้บริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นเมื่อคิดแล้วเนี่ย การกระทำก็ดี คำพูดก็ดี ก็หาวิธีทางที่ทำให้มันถูก คิดถูกทำถูกพูดถูกเกิดขึ้นเลย ในตอนนี้น่ะมันเกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กัน 

 


                อันใดที่ทำให้กายวาจาใจไม่บริสุทธิ์ ก็จะไม่ทำสิ่งนั้น สิ่งใดที่ทำให้คิดอย่างไร กระทำอย่างไรและพูดอย่างไร ถึงจะชอบถึงจะถูกต้องถูก ความถูกนั้นนำไปสู่อายตนะนิพพาน ก็จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เลย เป็นขบวนการไปตามลำดับ จนกระทั่งตรวจตาดูเข้าไป ถึงธรรม ความเพียรถูก เพียรอย่างไรเนี่ยเราควรจะเพียรไปทุกเรื่องไหม ดวงปัญญาก็จะเกิดขึ้นแล้ว ว่าการทำความเพียรเนี่ย มันต้องเพียรเพื่อที่จะทำให้กายวาจาใจบริสุทธิ์ เพราะเส้นทางนี้เป็นเส้นทางแห่งความบริสุทธิ์ ความเพียรก็จะต้องบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นอะไรที่เป็นบาปเป็นอกุศลก็จะพยายามระวังไม่ให้เกิด เกิดแล้วก็พยายามแก้ไข สิ่งอะไรที่มันเป็นความบริสุทธิ์ก็เติมขึ้นมา และก็ทำให้มันเจริญ

 


                เมื่อนิ่งแน่นหนักเข้าไปเรื่อย ๆ สติก็จะตั้งมั่นเป็นมหาสติ มหาสติที่เป็นไปภายใน โดยใจจะดึงมาอยู่ภายใน มาหยุดนิ่งอยู่ภายใน ตรงหยุดนี่แหละสติจึงเป็นมหาสติ ใจจะหยุดนิ่ง นิ่งแน่นไปเรื่อยเลย มีสติที่เคยอยู่ในภายใน สมาธิที่ถูกต้องก็บังเกิดขึ้น คือนิ่งแน่นหนักเข้าไปเรื่อย ๆ หลุดพรั๊วะเข้าไปเลย เข้าถึงดวงธรรมดวงถัด ๆ ไป ถึงดวงศีลดวงสมาธิ ถึงปัญญา ถึงดวงวิมุตหลุดเข้าเป็นชั้น ๆ เข้าไปเรื่อย ๆ เลย จนกระทั่งเข้าไปถึงกายภายใน ถึงกายมนุษย์ละเอียด ลักษณะหน้าตาเหมือนกับตัวเรา ท่านหญิงเหมือนท่านหญิงท่านชายก็เหมือนท่านชาย หลุดเข้าไปเป็นชั้น ๆ อย่างนี้แหละ ชั้นแล้วเราก็จะพบกายภายใน พบดวงธรรมต่าง ๆ สลับกันไปทีเดียว ในกลางกายก็มีดวงธรรม ในกลางดวงธรรมก็มีกาย กายก็มีกายมนุษย์ละเอียด มีกายทิพย์มีกายรูปพรหม มีกายอรูปพรหม แล้วก็เข้าถึงกายธรรมได้ในที่สุด

 


                กายก็มีกายมนุษย์ละเอียด มีกายทิพย์ มีกายรูปพรหม มีกายอรูปพรหม แล้วก็เข้าถึงกายธรรมได้ในที่สุด กายธรรมคือสรณะ เป็นตัวหลักของพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาก็แปลว่าคำสอนหรือความรู้ที่เกิดมาจากความบริสุทธิ์ของผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานแล้ว ผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานแล้วก็คือธรรมกายนั่นเอง เป็นเนมิตกนามของธรรมกาย เป็นตัวหลักทีเดียว เข้าถึงธรรมกายก็เป็นตัวหลัก ธรรมกายนั่นก็คือพุทธรัตนะเป็นที่พึ่งและที่ระลึกอันสูงสุดของเราเพราะว่าธรรมกายนั่นน่ะ ท่านมีธรรมจักขุ มีญาณทัสสนะ มีความบริสุทธิ์ มีอานุภาพ มีความรอบรู้ซึ่งไม่มีประมาณทีเดียว 

 


                ธรรมกายนี้จึงเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึกของเรา ลักษณะเหมือนพระพุทธรูปอย่างนี้แหละแต่ว่าสวยงามกว่า เกตุดอกบัวตูม ท่านนั่งทำสมาธิอยู่ภายใน ในลักษณะที่ทำสมาธิซึ่งเป็นท่านั่งของผู้ที่เส็จกิจแล้วกิจอย่างอื่นไม่ต้องทำแล้ว นั่งสงบนิ่งอยู่ภายใน ใสสว่างงามไม่มีที่ติ ธรรมกายนี้ก็จะมีเกิดขึ้นเป็นชั้น ๆ เข้าไปตามลำดับ ตั้งแต่หยาบไปหาธรรมกายที่ละเอียด ผุดซ้อนกันขึ้นมา มีกายธรรมพระโสดา พระสกิทาคามี    พระอนาคามีแล้วก็พระอรหัตซ้อน ๆ กันอยู่ทั้งหมดนี้เป็นแผนผังของชีวิตมนุษย์ทุก ๆ คนในโลก เป็นสิ่งที่เราจะต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้ ถ้าเราไม่รู้ว่ามีสิ่งเหล่านี้อยู่ภายใน และเราจะต้องทำอย่างนี้ การดำเนินชีวิตก็จะผิดพลาดเราก็จะทำแบบผู้ไม่รู้ทั้งหลายที่อยู่ในโลก ที่เขาเกิดมาแค่ทำมาหากิน ทำมาค้าขายทำมาหาเก็บเอาไว้ให้ลูกให้หลานกันต่อไป แล้วก็ตายฟรี เราก็จะมีความรู้ในระดับแค่นั้นเท่านั้นเอง ชีวิตมันก็ไม่ปลอดภัยถ้าว่าไม่รู้แล้วการดำเนินชีวิตก็ผิดพลาดบางครั้งและส่วนใหญ่มักจะทำให้ไม่บริสุทธิ์ คือทุศีลเกิดขึ้น ก็จะต้องพลัดไปสู่อบาย ไปเกิดในอบาย และตัวก็ไม่รู้ว่าอบายมันมีจริงไม๊อยู่ที่ตรงไหนอย่างไร ทำไปเพราะไม่รู้แต่ผลของความไม่รู้นั้นคือความทุกข์ทรมาน

 


                เพราะฉะนั้นไม่รู้จริงไม่ได้ต้องรู้อย่างเดียวชีวิตจึงจะปลอดภัย ดังนั้นในวันนี้ให้รู้ไว้ว่า มีกายในกายเนี่ยซ้อนอยู่ภายในอีกมากมายทีเดียวหลายกาย กายแต่ละกายนั้นมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป กายที่สำคัญคือพระธรรมกายน่ะ กายธรรมที่อยู่ภายในเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งที่ระลึกของเรา ถึงกายธรรมนี้เนี่ย เราดับทุกข์ได้ แต่กายอื่นนั้นยังดับทุกข์ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเกิดมาภพนี้ชาตินี้เนี่ย เราต้องการแสวงหาหนทางพ้นทุกข์ เพราะฉะนั้นต้องเข้าถึงธรรมกาย ต้องถูกที่และถูกส่วนจึงจะเข้าถึงได้ ดังนั้นต่อจากนี้ขอให้ท่านทั้งหลายฝึกใจให้หยุดนิ่งอยู่ภายในนะจ๊ะ ฝึกให้หยุดนิ่งอยู่ตรงฐานที่ ๗ ตรงนี้แหละ ให้ถูกที่แล้วก็ให้ถูกส่วน จะได้ไปรู้เห็นเข้าถึงดวงธรรมและกายต่าง ๆ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว

 


                ทีนี้สำหรับท่านที่มาใหม่น่ะ ถ้าหากให้วางใจนิ่งเฉย ๆ ตรงฐานที่ ๗ บางทีเราไม่มีเครื่องหมาย เพื่อให้เป็นที่ยึดที่เกาะของใจเรา จะทำให้เราสับสนไม่รู้ว่ามันตรงไหน ดังนั้นเครื่องหมายที่อยู่ตรงฐานที่ ๗ นั้นให้กำหนดขึ้นมาอย่างนี้นะจ๊ะ กำหนดเป็นบริกรรมนิมิตคือนึกว่าตรงฐานที่ ๗ นั้นน่ะมีเพชรลูกใส ๆ บริสุทธิ์ที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขีดข่วนคล้ายขนแมว โตเท่ากับแก้วตา นึกว่ามีเพชรสักเม็ดนึงที่ใสบริสุทธิ์อยู่ตรงฐานที่ ๗ นะจ๊ะ นึกถึงความใสหรือจะนึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้นะ เป็นสิ่งแทนตัวพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เป็นเครื่องหมายเป็นที่ยึดที่เกาะของใจเราตรงฐานที่ ๗ นะจ๊ะ นึกถึงความใสน่ะ หรือจะนึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้น่ะ เป็นสิ่งแทนตัวพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เป็นเครื่องหมายเป็นที่ยึดที่เกาะของใจเรา ตรงฐานที่ ๗ นะจ๊ะ นึกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง เราถนัดอย่างไหนก็นึกอย่างนั้น

 


                แต่ให้นึกตรงฐานที่ ๗ อย่างสบาย ๆ การนึกกับการเห็นนั้นมันไม่เหมือนกัน การนึกนี่เราจะเห็นไม่ชัดเจนคือภาพมันปรากฏไม่ชัดเจน เพราะเรายังนึกอยู่ส่วนการเห็นนั้นมันชัดเจน และเราคุ้นกับการเห็นมากกว่า ดังนั้นเวลาที่เรากำหนดบริกรรมนิมิตคือนึกถึงภาพดวงแก้วหรือว่าเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขีดข่วนคล้ายขนแมว ก็ให้นึกอย่างสบาย ๆ นะจ๊ะ นึกได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้นให้นึกอยู่ในระดับที่ใจสบาย นึกให้ต่อเนื่องกันไป อย่าให้เผลอนะอย่าให้เผลอไปคิดเรื่องคนเรื่องสัตว์เรื่องสิ่งของ ให้นึกแต่เพชรลูกเป็นบริกรรมนิมิต หรือนึกแต่พระแก้วขาวใสบริสุทธิ์ ให้ต่อเนื่องกันไปเลย อย่าให้เผลอพร้อมกับภาวนาในใจ เมื่อใจเราฟุ้งนะภาวนาสัมมาอะระหัง ๆ ๆ ให้ภาวนาไปอย่างนี้นะจ๊ะ 

 


                ภาวนาไปอย่างสบาย ๆ โดยให้เสียงของคำภาวนาดังออกมาจากจุดกึ่งกลางของบริกรรมนิมิต ถ้าหากว่าเป็นเพชรลูกก็ให้ดังออกมาจากจุดกึ่งกลางของเพชรลูกตรงฐานที่ ๗ ถ้าเป็นพระแก้วใส ๆ ก็ให้ดังออกมาจากในกลางท้องของท่าน ภาวนาไปเรื่อย ๆ จะกี่ครั้งก็ได้แล้วแต่ความพึงพอใจของเรา หรือจะไม่ภาวนาก็ได้ จะนึกถึงภาพเพชรลูกที่เจียรไนแล้ว ไม่มีขีดข่วนคล้ายขนแมวอย่างเดียวก็ได้ โดยไม่ภาวนาหรือจะนึกถึงพระแก้วใส ๆ บริสุทธิ์โดยไม่ภาวนาก็ได้นะจ๊ะ ทดลองทำดูนะทำไปอย่างสบาย ๆ หลับตานึกไปเบา ๆ ให้ต่อเนื่อง พระแก้วใส ๆ ก็ดี เครื่องหมายเพชรลูกก็ดีที่เป็นของใส ๆ นั่นน่ะยิ่งระลึกเท่าไหร่ใจก็จะยิ่งบริสุทธิ์ผุดผ่องขึ้นไปเรื่อย ๆ แหละ เพราะฉะนั้นนึกให้ต่อเนื่องกันไป ภาวนากลับไปเรื่อย ๆ จนกว่ากายวาจาใจจะสะอาดบริสุทธิ์ผ่องใสต่างคนต่างทำกันไปเงียบ ๆ 

 


                ใจของเรายังอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตลอดเวลาเลย เอาใจหยุดนิ่ง ๆ ในกลางกายใครเข้าถึงดวงธรรมก็หยุดไปในกลางดวงธรรม ใครเข้าถึงกายภายใน ก็เอาใจหยุดไปที่กลางกายภายใน จะเป็นกายมนุษย์ละเอียดกายทิพย์ กายรูปพรหม หรือกายรูปอรูปพรหมก็ตาม ใครเข้าถึงกายธรรมก็เอาใจหยุดไปที่กลางกายธรรม ทำใจให้หยุดในหยุด หยุดในหยุด นิ่งในนิ่งลงไปนะจ๊ะ อย่างสบาย ๆ ทุก ๆ คน กระแส    ธารแห่งบุญก็หลั่งไหลพรั่งพรูออกมา มาติดอยู่ในศูนย์กลางกายของเรา เป็นดวงสว่างทีเดียวสว่างที่กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้วอย่างนั้นแหละ ติดหมดทุกกายมีกี่กายติดหมดเลย

 


                บุญอยู่ในกายไหน เวลาเราเกิดมาเป็นมนุษย์บุญอยู่ในกายมนุษย์ก็เปิดขึ้นใช้ ให้เราได้มีสมบัติทั้ง ๓ ครบถ้วนบริบูรณ์ ทั้งรูปสมบัติ ทั้งทรัพย์สมบัติ ทั้งคุณสมบัติรวมทั้งลาภยศสรรเสริญสุขมรรคผลนิพพานติดเราไปหมดเลย รูปสมบัติเราก็จะมีรูปงาม แข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ มีอายุยืนยาวสร้างบารมีไปได้นาน และสะดวกสบายนั่งธรรมะก็ไม่ค่อยปวดค่อยเมื่อย นั่งกันได้นานกันทีเดียว ใครเห็นก็เป็นที่ดึงดูดตาดึงดูดใจยกย่องชื่นชมกันหมดทุก ๆ คนที่เห็นรูปสมบัติของเราที่เราจะพึงได้เกิดขึ้น ทรัพย์สมบัติที่จะเกิดขึ้นมาจะเป็นทรัพย์ที่มีวิญญาณครองหรือไม่มีวิญญาณครองจะเป็นทรัพย์อะไรก็แล้วแต่เกิดขึ้นมากมายทีเดียว ให้เราได้สร้างบารมีกันไม่รู้จักหมดจากสิ้น แล้วก็สร้างได้สะดวกสบาย ไม่เหมือนภพนี้ชาตินี้มันสร้างกันลำบาก 

 


                แต่ภพชาติต่อไปกำลังบุญที่เราได้ จากการบูชาข้าวพระนี้เนี่ย สมบัติของเรานี่มันตักกันไม่พร่องกันเลยน่ะ ได้สร้างกันอย่างสนุกสนานกันทีเดียว คุณสมบัติมีความเฉลียวฉลาดแตกฉานทั้งทางโลกทางธรรม รู้เท่าทันเหลี่ยมคูผู้คนหมด ใช้สติปัญญาก็ได้ดั่งใจ เข้าอกเข้าใจในชีวิตที่แจ่มแจ้ง รวมทั้งแทงตลอดในวิชาธรรมกายด้วย ลาภยศสรรเสริญต่าง ๆ ก็จะตามมาพร้อมหมดรวมอยู่ในกลางดวงบุญ บุญนี่เป็นสิ่งสำคัญนะจ๊ะ สำคัญมากทีเดียว ถ้าหากว่าบุญกำลังส่งนั้นน่ะจับอะไรมันก็เป็นเงินเป็นทองความสำเร็จอะไรต่าง ๆ มันก็จะเกิดขึ้น แต่ว่าเมื่อไหร่หมดบุญนั่นน่ะ สิ่งที่เราได้ครอบครองอยู่มันก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงกระจัดกระจายไป

 


                ในสมัยพุทธกาลมีเรื่องจริงที่เหลือเชื่ออยู่เรื่องหนึ่งคือเศรษฐีท่านหนึ่งมั่งมีสมบัติมากมายทีเดียว แก้วแหวนเงินทองมีคนนับหน้าถือตา แต่ก็มีชีวิตอยู่ด้วยความประมาท มัวเพลิดเพลินเกี่ยวกับเรื่องทำมาหากินอะไรกันอย่างเดียว บุญก็ไม่ได้ทำต่อไปอีก กินแต่บุญเก่า ต่อมาบุญเก่าหมดสมบัติเหล่านั้นน่ะกลายเป็นถ่านจากทองน่ะเป็นถ่าน จากที่มีมูลค่ากลายเป็นไร้มูลค่าไม่น่าเชื่อเลย เกิดความทุกข์ใจไปปรึกษาเพื่อนพอดีเพื่อนก็เป็นบัณฑิต นึกคิดอะไรได้ก็แนะนำกันไป ก็บอกว่าเออนี่ ที่สมบัติของเพื่อนจากทองกลายมาเป็นถ่าน นี่แสดงว่ามันหมดบุญนะ

 


                มันจะต้องหาคนมีบุญน่ะเขามา มาดูแลเพราะเราเนี่ยกำลังบุญไม่พอที่จะไปครอบครองสมบัติแล้วหมดบุญแล้วทองจึงเป็นถ่าน เพื่อนก็ถามว่าเพื่อน เศรษฐีก็ถามเพื่อนว่าจะทำยังไงก็เอางี้สิเอาเอาถ่านนี่นะ เอาไปขายในตลาดไทรัพย์ที่มันแปลเป็นถ่านเนี่ยนี่ เอาไปตั้งเอาเสื่อปูแล้วก็เอาทองเนี่ยไปกองเอาไว้เลยที่เป็นถ่านเนี่ยแล้วก็ขาย ใครเดินไปเดินมาก็ประกาศขายไปเรื่อย ๆ ในตลาดและถ้าหากว่าเจอผู้มีบุญนี่นะ เขามาจับถ่านเป็นทองได้ ถ้าเป็นผู้หญิงก็เอามาเป็นสะใภ้ ถ้าเป็นชายก็เอามาเป็นลูกเขยซะ แล้วทรัพย์นั้นก็ยกให้เขาครอบครองไปเถอะ เราอาศัยบุญเขาอยู่ไปตลอดชีวิตอย่างเนี้ยถึงจะได้ 

 


                เศรษฐีนะไม่มีทางเลือกก็ตัดสินใจทำตามคำแนะนำของเพื่อน หอบเอาสมบัติที่กลายเป็นถ่านนั้นน่ะ มากองขายกลางตลาดทีเดียว  คนไปคนมาเขาก็แปลกใจว่าเอ้ เศรษฐีทำไมมานั่งขายถ่านก็ถามท่านว่าทำไมขายถ่าน เศรษฐีก็บอกว่ามันก็เป็นเรื่องธรรมดามีอะไรขายได้มันก็จะขายไป ไม่เห็นจะแปลกอะไรต่อมามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งรูปร่างบาง ๆ รูปร่างบอบบางแต่เป็นคนมีบุญอัดแน่นอยู่ในร่างบอบบางนั้นน่ะ เดินผ่านมาเข้าก็ถามเอ้าลุง ลุงทำไมเอาทองมานั่งขายเหมือนขายผักขายเนื้ออย่างนี้เนี่ย เดี๋ยวขโมยขโจรมันมาปล้นเอาน่ะ เศรษฐีก็ถามว่าไหนหนูไอ้ตรงไหนน่ะที่มันเป็นทองน่ะ เด็กผู้หญิงนั้นก็เลยหอบเอาไปบอกว่านี่ไง ไปไว้ในมือเศรษฐีเออถ่านมันเป็นทองจริง ๆ น่ะไอ้คนมีบุญนี่มันจับอะไรมันเป็นเงินเป็นทองหมด แน่ะจับผ่านก็เป็นทองเลยให้จับทั้งกองมันก็เลยเป็นทองทั้งกองหมด ก็เลยถามว่าหนูบ้านอยู่ไหนเนี่ย เพื่อจะสืบถามดูว่าแต่งงานแล้วหรือยัง ปรากฏว่ายังเป็นโสดอยู่ก็เลยไปขอมาเป็นสะใภ้ แล้วก็ได้ครอบครองสมบัติอันนั้น

 


                เพราะฉะนั้นบุญนี่สำคัญนะจ๊ะ มันเป็นทุกสิ่งทีเดียว ประสาทราชวังน่ะสร้างมากับมือถ้าหมดกำลังบุญแล้วมันอยู่ไม่ได้นะ มันจะต้องเปลี่ยนแปลงไปทีเดียว ทั้ง ๆ ที่เคยคิดว่ามันเป็นของเรานี่แหละสร้างด้วยเงินของเราเนี่ย แต่พอหมดบุญแล้วมันอยู่ไม่ได้ มันก็ได้แต่ดู ได้แลดูแล้วก็เศร้าโศกเสียใจกันไป เพราะฉะนั้นบุญนี่สำคัญเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว สั่งสมเอาไว้เถิดเวลาเราจะไปเกิดอยู่ ณ ภพภูมิไหนก็ตาม บุญนั้นน่ะจะส่งผลให้เรามีสมบัติทั้ง ๓ พร้อมทั้งความสุขความสำเร็จในชีวิตทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ก็ดี เป็นเทวดาก็ดี คนเราเวลาจะประกอบธุรกิจการงานหรือทำความสำเร็จอะไรสักสิ่งหนึ่ง ไม่ใช่แค่ใจถึงมือถึงทุนถึงทีมถึงอะไรทุกอย่างถึงและความสำเร็จมันจะเกิดขึ้นมันยังไม่สำเร็จหรอกถ้าบุญไม่ถึง

 


                เพราะฉะนั้นบุญนี่เป็นเรื่องใหญ่นะจ๊ะ เป็นเรื่องใหญ่มากทีเดียว เป็นทุกสิ่งทั้งหมด ดังนั้นเมื่อพูดถึงเรื่องบุญแล้ว เรานักสร้างบารมีอย่าไปหวั่นไหวต่อสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ต่อสถานการณ์ไม่ว่าเศรษฐกิจจะขึ้นจะลงก็แล้วแต่ ใจเราอย่าฟุบอย่าแฟบตามเขาไป มันเป็นเรื่องของเศรษฐกิจคนละเรื่องกับการสร้างบารมีของเรา ในช่วงจังหวะเวลานี้เนี่ยหลาย ๆ คนเขาทุกข์ใจกัน แต่มันกลับเป็นจังหวะที่ดีของนักสร้างบารมีทีเดียวนะจ๊ะ คือจะสร้างในยามยาก ยามลำบาก ยามเกิดทุพภิกขภัยข้าวยากหมากแพง ทำด้วยหัวใจนักสร้างบารมี ไม่หวาดกลัวอุปสรรคใด ๆ ทั้งสิ้นแม้ด้วยชีวิต เวลาผลบุญตอบสนองนั้นน่ะ มันเกินควรเกินคาด

 


                อย่างที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ เกี่ยวกับเรื่องประวัติของท่านเมณฑกเศรษฐีเนี่ย ทุกเศรษฐีที่ยิ่งใหญ่ในสมัยพุทธกาลที่มีสมบัติจักรพรรดิตักไม่พล่องน่ะ ล้วนแต่ทำในยุคทุพภิกขภัยทั้งสิ้น คือในยุคนั้นจะเป็นเครื่องวัดกำลังใจของแต่ละคนและวัดกำลังสติปัญญา ว่าใครมีภูมิปัญญาที่จะ ที่จะดำเนินชีวิตตัวของเราหรือให้ชีวิตของเรานี่ประสบความสำเร็จไปทุกภพทุกชาติกระทั่งถึงที่สุดน่ะ   ใครเขาจะมีภูมิปัญญากันแค่ไหน จะมองใกล้มองไกลกันแค่ไหน บางคนมองช่วงสั้นก็เอาดีเฉพาะภพชาติปัจจุบัน แต่คนที่มีภูมิปัญญานะเขามองไกล มองกันข้ามภพข้ามชาติแล้วมองกันหลาย ๆ ชาติ และเขาคิดอีกว่าถ้าหากเรามีสมบัติปริมาณขนาดนี้น่ะ เราทำอย่างไรทำทีเดียวใช้ได้หลายที ใช้ได้หลายชาติ ตายแล้วยังใช้ได้อีก เกิดใหม่ก็ใช้ได้อีก

 


                คนมีภูมิปัญญาเนี่ยเขาจะคิดกันอย่างนี้ ว่าทรัพย์เรามีแค่นี้ทำไงมันจะขยายไปใช้กันได้มาก ๆ และก็วัดกำลังใจว่าในวาระเศรษฐกิจตกต่ำเกิด ทุพภิกขภัยใครจะมีกำลังใจสร้างความดีกัน เขาดูกันตรงนี้ เพราะฉะนั้นท่านเมณฑกเศรษฐีเศรษฐีในยุคก่อนโน้น เราได้ยินได้ฟังกันมาบ่อยชื่อนี้น่ะ ท่านมีกำลังใจเนี่ยสูงส่งฉกฉวยชิงโอกาส โอกาสที่เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างนั้น สร้างบารมีไปเลย ท่านมองดูว่าถ้าข้าวมื้อนี้เนี่ย เรากินก็อิ่มแค่มื้อนี้เท่านั้นเอง แต่มื้อนี้ถ้าคิดถึงเป็นมูลค่ามันก็ไม่กี่บาท ถ้าเราไปใส่บาทพระ พอข้าวตกจากมือเรา ของเราเนี่ยหล่นลงไปในบาตรพระ พอตกไปถึงตรงนั้นเข้า มันมีฤทธิ์มีอานุภาพเป็นผลบุญติดอยู่ในตัวของเราเนี่ย ติดไปกระทั่งถึงวาระสุดท้ายทีเดียว เวลาตายนึกถึงบุญนี้ก็ปลื้มปิติ ตายแล้วบุญส่งผลให้ไปมีสมบัติอันเป็นทิพย์ มีรูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ รสทิพย์ สมบัติเป็นทิพย์ มีความเป็นใหญ่ที่เป็นทิพย์ทั้งหมดลงมาเกิดอีกบุญนั้นยังส่งผลให้มาเป็นมหาเศรษฐีอีกแล้ว ก็ไม่ได้เป็นชาติเดียวเป็นแล้วเป็นอีก เป็นแล้วเป็นอีก เป็นอีกแล้วก็ทำบุญอีกจนกระทั่งภพสุดท้าย ถึงได้มีสมบัติที่ตักกันไม่พร่องกันทีเดียว เป็นสิ่งที่เหลือเชื่อแต่ว่ามันก็เป็นความจริง เหลือเชื่อคือมนุษย์ในยุคนี้น่ะ นึกไม่ออกว่ามันจะเกิดสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร

 


                เพราะฉะนั้นภาวะนี้เนี่ย เป็นภาวะที่จะวัดกำลังใจของเรา ว่าเราจะมีกำลังใจเข้มแข็งกล้าหาญเด็ดเดี่ยวกันแค่ไหน และวัดภูมิปัญญาของนักสร้างบารมี ถ้าใครตระหนี่ขี้เหนียวภพชาติต่อไป ไอ้ความตระหนี่นี่แหละ ทำให้เราจะลำบากยากแค้นกว่าภพชาตินี้ แต่ถ้าหากว่าใครไม่ตระหนี่ทุ่มเทกันเข้าไปเลย ใช้สติใช้ปัญญาเอา ทำกันให้เต็มที่ พอเราเกิดมาสร้างบารมี บุญนี้มันก็จะไปเป็นของเรา ไม่ได้เป็นของใคร แต่สมบัตินี้มันก็ตักกันไม่พร่อง โจรปล้นก็ไม่ได้ น้ำท่วมก็ไม่ได้ ไม่ทำลายไม่เสียหาย ไฟไหม้ก็ไม่เป็นไร จะเกิดวาตภัยลมพัดก็เฉย ๆ ไม่มีอะไร ที่จะทำลายสมบัตินี้ได้เลย เหมือนท่านโชติกเศรษฐีตัวไม่อยู่ไปวัด สมบัติอยู่ที่บ้านพระราชาจะมาปล้นจะมาจี้จะมาขนสมบัติเอาอะไรไปไม่ได้เลย แม้แต่นิดเดียวทั้ง ๆ ที่มีพลพยุหเสนามากมายก่ายกอง ก็ยังเอาอะไรไปไม่ได้ทำลายไม่ได้เลย เพราะบุญคุ้มครองเอาไว้ของใครก็ของคนนั้น

 


                บุญนี่เป็นสิ่งสำคัญนะจ๊ะ เราจะทอดทิ้งธุระไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นมีอะไรที่เป็นบุญได้ พึงทำเสียเถิดอย่าไปหวั่นไหวตามกระแสโลกเขา นั้นเป็นเรื่องของผู้ไม่รู้ คนที่เขาไม่รู้หนทางที่จะไปสู่ที่สุดแห่งธรรมน่ะปล่อยเขาไปเถอะ แต่เรารู้แล้วเห็นแล้วนั่นน่ะ  ต้องทุ่มเทชีวิตจิตใจเป็นเดิมพัน ทำด้วยตัวเองแล้วก็ไปชวนคนอื่นมาทำกันให้เยอะ ๆ บนสวรรค์จะได้มีหมู่พวกของเราให้เต็มกันไปหมดเลย เพราะฉะนั้นให้เข้าใจตามนี้นะจ๊ะ ต่อจากนี้ไปก็อธิษฐานจิตตามใจชอบทุก ๆ คนในขณะที่กระแสธารแห่งบุญ กำลังหลั่งไหลเกิดขึ้นในศูนย์กลางกาย ให้ทุกคนอธิษฐานจิต จะสำเร็จเป็นอัศจรรย์ทีเดียว ต่างคนต่างอธิษฐานกันนะจ๊ะ


 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0012014309565226 Mins