พื้นฐานแห่งการสร้างปัญญา

วันที่ 06 สค. พ.ศ.2567

 

2567_08_06_b_01.jpg

 

 

พื้นฐานแห่งการสร้างปัญญา



            วารสารบริหารธุรกิจ : อยากทราบว่า โลกุตรปัญญา มีไว้เพื่อแก้โลกียปัญญาใช่ไหมครับ



       พระเผด็จ : ถ้าจะมองในแง่การพัฒนาทางปัญญาของคนใดคนหนึ่งที่ฝึกตน ฝึกใจจนถึงระดับโลกุตรได้ คือ องค์มรรคทั้ง ๔ ผสมกลมกลืนกันเป็นหนึ่ง เกิดความสว่างไสวขึ้นภายใน ในระดับเห็นกายเวทนา-จิต-ธรรม ชัดเจนแล้ว ปัญญาที่เกิดจากการคิด การตรอง การจำผลดีขนาดนี้เลย นี่ยังไม่ได้พูดถึงว่า ทำทานแล้วได้ไปสวรรค์อะไรนะ



          นอกจากนี้พระองค์ยังทรงชี้ให้เห็นว่าอย่าว่าแต่คนเลย แม้สัตว์ก็ต้องให้ทาน เคยเห็นสุนัขให้ทานไหม? แม่สุนัขให้ลูกมันกินนมนั่นแหละทาน นกมันก็ป้อนลูกมันนั่นแหละมันให้ทาน คือ ปันกันกินปันกันใช้ถ้าจะว่าอีกที ทานนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตทุกชีวิตที่จะอยู่ในสังคม



           พระองค์ทรงแบ่งให้ดูชัดๆ ว่าการให้ทานนั้นอย่างน้อยมี ๓ รูปแบบ คือ


 
       
     (๑) ให้สิ่งของเป็นทาน

 


           (๒) อภัยทาน ถ้าใครเห็นว่าอภัยทานเป็นสิ่งไม่ดีเพราะทำให้กฎระเบียบหมดความศักดิ์สิทธิ์เหยาะแหยะอย่างนี้ล่ะก็จะยุ่ง ทางที่ดีอะไรพออภัยกันได้ก็ควรอภัยอะไรที่มันหนักหนาให้อภัยไม่ได้ก็ว่ากันไปตามส่วนในเชิงของศาสนาแล้วไม่มีโทษใดถึงตายเพราะคนเราถึงแม้จะยอมรับว่าตนเองทำผิดแต่จะเอาโทษถึงตายนี่เราก็ยอมไม่ไหวเหมือนกันดังนั้นอภัยทานจึงเป็นสิ่งดีที่ใครๆก็ต้องการ



          (๓) การให้ความรู้เป็นทาน แบ่งออกเป็นสองอย่าง คือ วิทยาทานหมายถึงการให้ความรู้ทางโลก และธรรมทานคือการให้ความรู้ทางธรรม



               ๒. การยกย่องคนดีหรือการให้กำลังใจคนที่ทำความดี เป็นสิ่งที่ควรทำ ถ้าไม่ให้เป็นโบนัสจะให้คำสรรเสริญ ประกาศเกียรติคุณให้เหรียญให้โล่อะไรก็ให้ไป ถ้าไม่อย่างนั้นกำลังใจที่อยากจะทำความดีมันจะลด ถ้าเราไม่ส่งเสริมตรงนี้ให้ดี จะมีลักษณะอีกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นมาแทน คือลักษณะชอบจับผิด แล้วความคิดสร้างสรรค์ก็ไม่เกิด ที่โลกวุ่นวายอยู่ขณะนี้ เพราะคนชั่วทำความชั่วแล้วไปสรรเสริญความชั่วซึ่งกันและกัน เลยทำให้ความชั่วระบาด เช่น รู้ว่าเหล้าเป็นของชั่ว แต่กินแล้วก็สรรเสริญกันว่าดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ เลยมีขี้เหล้าระบาดกันทั้งเมือง งานไหนไม่มีเหล้าล่ะก็ รู้สึกว่างานนั้นจะกร่อย เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะการไม่ยกย่องคนทําความดี



            จากการที่เราไม่ยกย่องคนดีเท่าที่ควร ก็เลยมีการไปยกย่องคนชั่วขึ้นมาแทน ขี้เมาขนาดหนักแทนที่เราจะตำหนิว่าเขาเป็นคนไม่ดี เรากลับชมว่าเขาเป็นเซียนสุราเป็นคอทองแดง ใครจะรักษาศีลก็ต้องหลบไปรักษาใครจะสวดมนต์จะทำสมาธิต้องหลบนะ ไม่งั้นจะถูกค่อนแคะว่าคร่ำครึใครที่เคยกินเหล้ามาเป็นประจำ วันหนึ่งวันใดกะว่าจะรักษาศีลก็ไม่กล้าบอกเพื่อนตรงๆ ต้องเลี่ยงบอกว่าไม่อยากฟังเมียบ่นบ้าง หมอห้ามบ้างสารพัด นี่คือผลที่เราไม่ยกย่องบูชาคนดีเท่าที่ควร ทีนี้ถ้าเรายกย่องบูชาคนดีกันอย่างจริงจัง การมองคนในแง่ดีก็จะเกิด แต่ถ้าไม่ทำในแง่นี้การมองคนในแง่ดีก็จะหายไป



        ๓. การต้อนรับปฏิสันถาร ควรทำ แทบไม่น่าเชื่อว่าเรื่องการต้อนรับแขกจะเป็นสิ่งสำคัญมาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นว่า การต้อนรับแขกเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องทำกันจริงๆ จังๆ และได้ทรงชี้ว่าปัญญาของคนเรานั้นเกิดขึ้นได้ ๒ ทาง คือ



              ๑) มีกัลยาณมิตรเป็นผู้ชี้ทาง คือ ให้ข้อมูลที่ถูกต้องตามความเป็นจริงหรือมีเหตุผลสมควร



             ๒) ตัวเราเองมีโยนิโสมนสิการ คือ จับแง่คิดเป็น เมื่อแขกมาถึงบ้าน ถ้าเราต้อนรับให้ดีก็จะได้ข้อมูลเพิ่ม ได้สติปัญญาเพิ่ม ยิ่งกว่านั้นเราจะได้โปสเตอร์เคลื่อนที่สำหรับสนับสนุนหรือแก้ต่างให้เราไปตลอดชีวิต ใครอย่ามาด่าเราเสียให้ยากเลย เพราะคนเหล่านั้นจะออกรับแทนแต่ถ้าการต้อนรับเชื้อเชิญของเราบกพร่องผิดพลาด เราก็จะได้โปสเตอร์ตามจองล้างจองผลาญมาแทน เพราะฉะนั้นต้องระวังให้ดี



                ๔. กรรมดีกรรมชั่วนั้นมีจริง พูดง่ายๆ ก็คือทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว แต่มีเงื่อนไขว่า



                    ๑) ทำดีต้องให้ถูกดี คือ ถูกวัตถุประสงค์ของงาน



                    ๒) ทำดีต้องให้ถึงดี คือ ปริมาณงานต้องมากพอ



                    ๓) ต้องพอดี ถ้ามากเกินไปก็ใช้ไม่ได้



            เพราะฉะนั้นถ้าใครบอกว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี พวกที่หนึ่งอาจจะเป็นพวกขยันแต่โง่ พวกที่สองอาจจะเป็นพวกฉลาดแต่ขี้เกียจ เขาทำถูกดีแต่ว่าทำน้อยไปหน่อย ยังไม่ทุ่มเท เป็นพวกผักชีโรยหน้า พวกที่สามเป็นพวกไม่พอดี คือเกินไป เหมือนการซักเสื้อเปื้อน ถ้าเราขยี้ ๓๐ ที มันก็ทีเกลี้ยง แต่เราเผื่อเหนียว เลยขยี้ร้อยที่มันก็ขาด ถูกดี ถึงดี พอดี แล้วจึงจะได้ดี ในทำนองกลับกันถูกชั่ว ถึงชั่วแล้วให้พอดีกับความชั่ว เราก็หนีความชั่วไม่พ้นหรอก
 


          ยิ่งกว่านั้นการให้ผลของกรรมดีกรรมชั่ว ต้องใช้เวลาหรือต้องรอเวลา ทำนองเดียวกับปลูกหน่อกล้วยวันนี้ พรุ่งนี้ยังไม่ได้กินหรอกกล้วยได้แต่ความสบายใจว่าได้ทำงานเต็มที่แล้ว เหมือนเข้าทำงานวันนี้ จะเอาสองชั้น สี่ขั้นก็เป็นไปไม่ได้ ได้แต่ทำแล้วก็สบายใจ หลังจากรดน้ำพรวนดิน ๓ เดือน ๕ เดือน คุณก็จะได้ผลิตผลคือใบตอง ต่อไปถึง ๘ เดือน ๙ เดือน ก็ได้หัวปลี พอครบปีคุณก็ได้กล้วย กินของกล้วยๆ ยังต้องใช้เวลาเป็นปีเลย เห็นไหม?



           เมื่อเริ่มลงมือทำงานในระยะแรก ก็ได้แค่ความสบายใจ คือ สบายใจที่ทำงานได้เต็มกำลัง พอปี ๒ บุคลิกชักออก ปีที่ ๓ เพื่อนร่วมงานหรือคนใกล้เคียงยอมรับ ปีที่ ๔ ปีที่ ๕ ผู้บริหารยอมรับ มันส่งผลมาอย่างนี้หากมองในแง่ของผู้บริหาร ลูกน้องบางคนตอนแรกๆ ก็เห็นว่าดี พอปีที่ ๒ ที่ ๓ ชักจะเบี้ยวซะแล้วเราก็เคยเจอ ดังนั้นผู้บริหารยิ่งเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องระแวงมากขึ้นเท่านั้น ฉะนั้นถ้าใครใจร้อนอยากได้รับผลตอบแทนเร็วๆ ก็เรียกว่าจับแง่คิดไม่ถูก ต้องใจเย็นซักหน่อย เพื่อว่าเราจะได้ไม่พลาด แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามก็มีข้อยกเว้นเหมือนกันคือ ต้นกล้วยที่ปลูกข้างโอ่งน้ำย่อมโตเร็วกว่าต้นกล้วยที่ปลูกอยู่กลางดงกลางดอนเพราะกล้วยข้างโอ่งน้ำ มันจะได้น้ำอยู่ตลอด มันจึงโตวันโตคืน แต่ก็มีข้อแม้ว่าโตเร็วนักก็มักตายเร็ว ฉะนั้นคนประเภทฝีมือไม่ดีจริง แต่ว่าอาศัยเส้นก๋วยเตี๋ยว ก๋วยจั๊บ ก็จะไปได้ระยะหนึ่ง ถ้าเปลี่ยนเจ้านายใหม่ ไม่มีใครคุ้มหัวก็รอวันตาย นั่นก็เป็นธรรมดา ใจเย็นๆ หน่อยก็แล้วกัน ถ้าผู้ร่วมงานทุกคนตีประเด็นนี้ได้ชัดเจนเมื่อไหร่ ความคิดสร้างสรรค์ในที่ทำงานก็จะไหลเข้ามาเป็นระลอกๆ ไม่ขาดสาย เหมือนคลื่นในทะเล



            ๕. พ่อแม่มีพระคุณจริง คนที่สามารถจัดการกับเงินเดือนขนาดได้น้อยแล้วยังให้เมียให้ลูกใช้แถมยังส่งให้พ่อแม่ได้ใช้อีก คนๆนี้ต่อไปจะต้องเป็นนักบริหารที่มีฝีมือทีการตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ถือว่าเป็นการใช้หนี้คนที่แม้แต่พ่อแม่ตัวเองยังไม่เห็นความสำคัญแล้วเขาจะเห็นความสำคัญของผู้อื่นได้อย่างไรคนที่ร่วมงานกันจะต้องให้ความสำคัญซึ่งกันและกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกน้องจะต้องให้ความยกย่องหัวหน้าถ้าไม่เช่นนั้นแล้วการวัดรอยเท้าก็จะเกิดขึ้นฉะนั้นต้องฝึกเรื่องความกตัญญูกตเวทีกันไว้ให้ดีไม่งั้นในที่ทำงานก็จะดีได้ระยะหนึ่งแล้วต่อไปก็หักหลังกันเองโค่นล้มกันเอง 



          คนโบราณหากได้พบว่า ใครไม่รู้คุณพ่อคุณแม่เท่าที่ควร ท่านจะถือว่าความคิดสร้างสรรค์ของคนนั้นยังใช้ไม่ได้ คนประเภทนี้อาจมีความคิดร้ายๆ แฝงอยู่อีกเท่าไหร่ก็ไม่รู้ แม้เขาจะมีความรู้ทางด้านวิชาการเก่งกาจอย่างไรก็ตาม ท่านบอกว่าอย่าไปคบ ทรพีถือกำเนิดมาแล้ว นี้คือจุดที่ต้องระวัง แต่ถ้าใครสามารถตีแผ่ตัวเองให้เป็นที่ประจักษ์ชัดได้ว่า ฉันเป็นคนกตัญญูรู้คุณคน เพียงเท่านี้ก็จะมีคนยื่นมือมาประคองเขารอบตัวคนที่ไม่มีความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่นั้นแม้แต่เมียรักผัวรักเขาก็ไม่ไว้ใจฉะนั้นประเด็นนี้ต้องทำให้ดีเคลียร์ให้ชัดถ้าไม่ชัดความคิดสร้างสรรค์จะไม่เกิด นอกจากไม่เกิดแล้ว ความน่าหวาดระแวงจะตามมา ถึงเราจะดีจริงแต่ไม่รู้คุณคนอื่นก็ไม่กล้าสนับสนุน เพราะระแวงว่าเราจะวัดรอยเท้าเขาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้



               อาตมาได้แนะเรื่องนี้ให้กับลูกศิษย์ลูกหาที่มาขอคำปรึกษา เมื่อเวลาเขาเจอปัญหา เช่น ตอนสิ้นปีพวกคนงานที่ทำงานดีๆ ลูกน้องที่ดีๆ แทนที่จะจ่ายโบนัสให้เป็นเงินทอง ก็เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นที่เขาเอาไปฝากพ่อแม่ได้



               นี่ก็เป็นการช่วยให้เขามีโอกาสบูชาพ่อบูชาแม่เขาด้วย ถ้าไม่ใช่บริษัทใหญ่จนเกินไป อาตมาก็จะแนะนำให้เขาเป็นคนจ่ายเงินเดือนให้กับลูกน้องด้วยตนเองและชักให้ได้ว่าเงินทองเหล่านี้ถึงพ่อแม่เขาบ้างไหมจะมากจะน้อยก็ขอให้แบ่งส่งไป วิธีนี้จะเป็นการฝึกให้ลูกน้องไม่คิดวัดรอยเท้าเจ้านาย อันนี้จะต้องทำ ไม่ทำไม่ได้



                 ๖. โลกนี้โลกหน้ามีจริง พูดง่ายๆ ตายแล้วเกิดไม่ใช่สูญ คนเราถ้าคิดว่าตายแล้วสูญ ความพากเพียรทำความดีก็จะหมดไป ถ้าคิดว่าตายแล้วเกิดจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามก็จะทำความดีเอาไว้ก่อนอย่างน้อยที่สุดก็เพื่อเหนียวเมื่อยังมีชีวิตอยู่ผลความดีนั้นก็จะทำให้เขาเป็นสุข แล้วถ้าโลกหน้ามีจริงความดีที่ทำไว้ก็จะส่งผลให้มีความสุขสบายต่อไปอีกหากโลกหน้าไม่มีก็เป็นการทำเพื่อเอาไว้ถึงอย่างไรๆเขาก็ยังเป็นสุขในโลกนี้
 


                  แต่ถ้าเชื่อว่าตายแล้วสูญแล้วลงมือทำความชั่วตามอำเภอใจ แม้มีชีวิตอยู่ เขาก็เดือดร้อน ถ้าตายแล้วจะต้องไปเกิดก็ยิ่งแย่ฉะนั้นเพียงแต่ใครปักใจเชื่อว่าตายแล้วเกิดเท่านั้นความคิดสร้างสรรค์ก็จะมีมาอีกนับไม่ไหวแม้จะยังไม่ค่อยแน่ใจเผื่อเหนียวเอาไว้บ้างก็ยังพอรอดตัว



                  ๗. นรกสวรรค์มีจริง ข้อนี้ก็เพื่อย้ำความคิดเรื่องโลกนี้ โลกหน้าหากนรกสวรรค์มีจริง คนจะได้ตั้งใจทำความดีเพื่อโลกหน้า หากนรกสวรรค์ไม่มีจริง คนก็ยังได้ทำความดีในโลกมนุษย์
 


                  ๘. สมณชีพราหมณ์ที่ปราบกิเลสหมดได้มีจริง คือ พระพุทธเจ้ามีจริงหรือ พระอรหันต์มีจริงนั่นเอง เป็นการยืนยันว่า บุคคลที่ทำความดีแล้วได้ดีจริงๆ นั้นมีอยู่ เมื่อมีตัวอย่างคนก็จะมีความตั้งใจปฏิบัติตาม



                  ทั้ง ๘ ประการนี้ เป็นสัมมาทิฐิเบื้องต้นซึ่งจะเป็นการปูความคิดสร้างสรรค์ในเชิงพุทธขั้นต้นด้วย ถ้าใครมีความเห็นถูกครบ ๘ อย่างก็จะมีกำลังใจในการทำงานและทำความดีแม้งานดีวางแผนดีแต่ถ้าขาดกำลังใจก็ไปไม่รอด แต่ถ้ามีกำลังใจ ถึงงานนั้นจะยากหนักหนาสาหัส ก็ยังพอทนสู้กันไป



 วารสารบริหารธุรกิจ: แม้เรื่องนรกสวรรค์จะยังพิสูจน์ไม่ได้แต่ก็มองเห็นว่าเป็นการพยายามทำให้คนจูงใจตนเอง (Self Motivation) ให้ทําความดีจากคุณ (Reward) และโทษ (Punishment) จากการกระทำของเราเองจึงไม่ต้องให้คนอื่นมาคอยตามควบคุม



                     พระเผด็จ : เดี๋ยวก่อนนะ เรื่องนรก-สวรรค์ไม่ใช่จะพิสูจน์ไม่ได้พิสูจน์ได้ไม่ยากเลย ขอให้ลงมือฝึกสมาธิก็แล้วกัน ถ้าฝึกสมาธิจนสามารถรวมใจให้หยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายได้ ใจก็จะสว่างโพลง ช่วยให้ผู้ปฏิบัตินั้นเห็นนรกสวรรค์ได้ด้วยตนเอง แต่ส่วนมากเขายังไม่ทันลงมือพิสูจน์ก็บอกว่าพิสูจน์ไม่ได้เสียแล้ว แต่ในระดับบุคคลที่ยังพิสูจน์ด้วยตนเองไม่ได้ ถ้าเขามีความเชื่อว่านรก-สวรรค์มีจริง ความเชื่อนี่ก็จะเป็นสิ่งจูงใจให้เขาทำความดี โดยไม่ต้องมีคนอื่นมาควบคุม คุณว่าจริงมั้ย?



                   ในทางโลก การทํางานในหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ จะต้องหาคนมาควบคุมคนในหน่วยงานหรือองค์กรนั้นๆ แต่ในทางธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชี้แนะให้ตัวเรา รู้จักควบคุมตนเอง เข้าทำนองว่า “เราจะไม่ส่งคนไปคุมคุณ แต่ว่าคุณจะต้องควบคุมตัวคุณเอง ที่คุณไม่ทำความชั่วก็ไม่ใช่เพราะเห็นแก่คนอื่น แต่ให้เห็นแก่ตัวเองในทางที่ถูก ที่ทำความดีก็ไม่ใช่เพื่อใครหรอก แต่เพื่อให้คุณภาพใจของคุณดีขึ้น ตั้งแต่ชาตินี้ชาติต่อไปก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ”

 

                        การปลูกฝังเช่นนี้จะทำให้ขั้นตอนในการทำงานลดลง ความไว้เนื้อเชื่อใจต่างๆ ก็มีเต็มขั้น ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ว่าเราต้องให้กำลังใจตัวเองเป็น ควบคุมตัวเองได้



                        ตัวอย่าง “มันรังแกคุณถึงขนาดนั้น ทำไมคุณไม่ฆ่ามันล่ะ” ถ้าตอบแบบคนไม่ซึ้งในหลักธรรม ก็คงตอบว่า “กลัวตะราง” เพราะฉะนั้น ถ้ากฎหมายไม่มี หรือเอื้อมมือไม่ถึงเขาก็คงจะฆ่า แต่ถ้าตอบว่า “แหม! ก็อยากฆ่ามันหรอก แต่สงสารเมียกับลูกมันจะอดตาย” อ๋อ! ถ้าอย่างนั้นหมดสงสารเมื่อไหร่ก็คงจะฆ่า คนที่มีธรรมก็น่าจะตอบว่า “ไอ้เรื่องฆ่ากันมันเป็นเรื่องของหมูของหมา เรื่องของสัตว์ ผมเป็นคนเลยไม่อยากทำตัวเหมือนพวกเดรัจฉาน จึงไม่ฆ่า” หรือ “ทำไมเขาโกงคุณขนาดนั้นคุณจึงไม่โกงกลับ” “ไอ้การแย่งกันกินโกงกันกิน มันเป็นเรื่องของสัตว์ แต่ผมเป็นคนภูมิใจที่จะทําอะไรด้วยตัวเองมากกว่า ไอ้ที่จะไปแย่งความดีความชอบของคนอื่นไปโกงไปฉกฉวยไปคอรัปชั่นอะไรนั้น ผมทำไม่ได้หรอก ที่ผมทำไม่ได้ไม่ใช่เพราะผมสงสารใครทั้งสิ้น แต่ผมสงสารตัวเองว่า นี่เราลดศักดิ์ศรีจากคนมาเป็นสัตว์แล้วหรือ”



                          วันที่อาตมาบวช มีคนถามว่า บวชเพื่ออะไร อาตมาตอบไปว่าบวชเพื่อตัวเอง จะทำตัวเองให้ดีขึ้น นี่เป็น Main Product เป็น Main Idia แต่ว่า Side Product หรือ By Product ล่ะก็ ถ้าฉันดีขึ้นพระศาสนาจะได้คนดีเอาไว้ใช้ ประเทศชาติก็จะได้คนดีเอาไว้ใช้ พ่อแม่ฉันก็จะได้ลูกดีเอาไว้ประคับประคอง อย่างน้อยก็เพื่อเผาศพให้ เราต้องแยก Main Line กับ Side Line หรือ By Product ออกมา เมื่อแยกออกมาอย่างนี้แล้ว ทุกย่างก้าวที่เราจะทำอะไรก็ตาม มันจะทำด้วยความมั่นใจ



                         มีข้อควรระลึกไว้เสมอว่า คนอื่นติเราหนีได้ แต่ถ้าเราติตัวเองไม่รู้จะหนีไปไหน ถึงเข้าไปอยู่ในป่าลึกมันก็ยังติตัวเองได้ เพราะฉะนั้นความชั่วถึงแม้เล็กน้อยก็ไม่ทำดีกว่า เพราะเราจะต้องมาตามติตัวเองให้เป็นทุกข์อยู่ร่ำไป

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0067684809366862 Mins