ชฎิลเศรษฐี

วันที่ 01 สค. พ.ศ.2568

1_8_68_42br%281%29.jpg

 

ชฎิลเศรษฐี

 

                    เรื่องนี้มีปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา กล่าวถึงชฎิลเศรษฐีซึ่งเป็นผู้มีบุญมาก เกิดในสมัยพุทธกาล ความร่ำรวยของท่านเป็นที่ปรากฏแก่มหาชนในยุคนั้น จนแม้ในยุคปัจจุบันสำหรับท่านที่ได้เคยศึกษาแล้วจะพบกับความอัศจรรย์ทีเดียวว่าทำไมท่านชฎิลเศรษฐีจึงเป็นผู้มีบุญขนาดนั้น และของอัศจรรย์ขนาดนี้ ทำไมจึงบังเกิดขึ้นกับท่าน มันเป็นไปได้อย่างไร นั่นก็เพราะว่าหว่านพืชอย่างไรย่อมได้ผลอย่างนั้น ปลูกถั่วก็เป็นถั่ว ปลูกงาก็เป็นงา ถ้าเราเชื่ออย่างนี้ ทำบุญด้วยทอง เวลาผลบังเกิดขึ้น เราก็จะได้รับผลดังที่เราทำนั้น ทำด้วยทองก็จะได้รับผลคือทอง

 

                    เรื่องมีอยู่ว่า มีเศรษฐีคนหนึ่งอยู่ในเมืองพาราณสี ท่านมีธิดาคนหนึ่งที่สวยงามมาก แล้วท่านก็รักมาก เมื่อลูกสาวอายุได้ ๑๖ ปี ท่านได้สร้างปราสาท ๗ ชั้น แล้วนำลูกสาวไปไว้บนปราสาทชั้นที่ ๗ พร้อมกับให้มีหญิงรับใช้อยู่ด้วยคนหนึ่งคอยดูแล และกำชับเอาไว้อย่างดีเลยว่าให้ดูแลลูกสาวให้ดี ให้อยู่ในสายตาตลอด ลูกสาวอายุ ๑๖ ซึ่งยังสวยอยู่ถูกพ่อจัดให้อยู่บนปราสาทชั้นที่เจ็ด วันๆ หนึ่งก็ได้แต่เปิดหน้าต่างมองลงไปที่ถนน ดูความเป็นไปของคนที่เดินไปมาอยู่อย่างนั้นเท่านั้น ไม่มีโอกาสได้เดินลงมาเลย จนวันหนึ่งมีวิทยาธรคือผู้มีฤทธิ์ สำเร็จวิชชาฌานสมาบัติ สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ ก็ได้เหาะผ่านมาทางนั้นมองเห็นลูกสาวเศรษฐี เกิดความรู้สึกรักใคร่ จึงเหาะเข้ามาเกี้ยวพาราสีและด้วยบุพเพสันนิวาสในที่สุดก็ได้อยู่ร่วมกัน จนกระทั่งลูกสาวเศรษฐีนั้นตั้งครรภ์ เมื่อครบกำหนดคลอด ลูกสาวเศรษฐีก็กำชับหญิงคนรับใช้ว่าอย่าไปบอกใครนะ ให้ไปจัดหาภาชนะใหม่สำหรับเอาไว้ใส่ทารก หาภาชนะใหม่มาที่เดียว แล้วก็อุ้มทารกแรกเกิดวางลงในภาชนะนั้นพร้อมกับพวงดอกไม้ สั่งกำชับไม่ให้ไปบอกใคร ให้หญิงรับใช้นำไปลอยในแม่น้ำคงคา แล้วยังกำชับอีกว่า ถ้าใครถามก็ให้เลี่ยงตอบไปเป็นอย่างอื่น ไม่ให้บอกใครทั้งสิ้น หญิงรับใช้นั้นก็รีบนำภาชนะที่บรรจุลูกของลูกสาวเศรษฐีนำไปลอยในแม่น้ำคงคา

 

                    ที่ตอนใต้แม่น้ำคงคามีหญิง ๒ คนอาบน้ำอยู่ หญิงทั้งสองคนนั้นมองเห็นภาชนะที่ลอยมาตามน้ำ คนแรกก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า ภาชนะนั้นเป็นของฉัน ส่วนหญิงอีกคนก็พูดว่า ถ้าภาชนะนั้นเป็นของเธอ ของที่อยู่ในภาชนะนั้นก็ต้องเป็นของฉัน เมื่อภาชนะนั้นลอยมาถึง หญิงทั้งสองก็ช่วยกันยกขึ้นมาบนฝั่ง เปิดดูพบเด็กอยู่ในนั้น ด้วยความรักในเด็กนั้นหญิงคนแรกจึงพูดว่าภาชนะเป็นของฉัน ของที่อยู่ในภาชนะก็ต้องเป็นของฉันด้วย หญิงคนที่ ๒ ไม่ยอม ในที่สุดก็ถกเถียงกัน และนำมาที่ศาลาลูกขุนให้มหาอำมาตย์ช่วยตัดสิน แต่มหาอำมาตย์ก็ไม่สามารถตัดสินได้ ในที่สุดเรื่องก็ไปถึงพระราชา พระราชาทรงตัดสินให้หญิงคนแรกได้ภาชนะไป ส่วนหญิงคนที่ ๒ ก็ได้เด็กไปเลี้ยง หญิงคนที่ ๒ นี้เป็นอุปัฏฐากของพระมหากัจจายนะ เมื่อได้รับเด็กมาก็ดีใจ นำเด็กมาเลี้ยงโดยมีความตั้งใจว่า เมื่อเด็กโตขึ้นก็จะให้บวชในสำนักของพระมหากัจจายนะ แล้วตั้งชื่อเด็กว่า “ชฎิล” ที่ตั้งชื่อว่าชฎิล เพราะว่าผมบนศีรษะเด็กนั้นเป็นกระเซิงเนื่องจากว่าแม่ของเด็กนั้น เมื่อคลอดใหม่ๆ ด้วยอารามรีบร้อนไม่ได้ชำระล้างมลทินของครรภ์ เนื้อตัวเด็กจึงยังมอมแมม ผมเป็นกระเซิง จึงได้ชื่อว่า “ชฎิล” หญิงคนนี้ก็เลี้ยงเด็กชายชฎิลเรื่อยมาจนเจริญเติบโต

 

                    วันหนึ่งพระมหากัจจายนะออกมาบิณฑบาต เมื่อรับบาตรแล้วก็เข้าไปนั่งฉันภัตตาหารในเรือนของหญิงคนนี้ ได้ไต่ถามถึงความเป็นมาของเด็กชายชฎิลว่าเป็นอย่างไร เมื่อทราบแล้วก็รับเด็กนั้นเอาไว้อยู่ในความดูแลของท่าน หลังจากฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ท่านก็กลับสำนัก ในระหว่างทางนั้นท่านตรวจดูด้วยญาณทัสสนะของท่าน ก็พบว่าเด็กชายชฎิลนี้เป็นผู้มีบุญมาก จะต้องเสวยสุขเป็นฆราวาสเสียก่อน จึงจะออกบวชได้ ภายหลังบวชจะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ จึงนำเด็กชายชฏิลนั้นมาฝากไว้กับท่านเศรษฐี ซึ่งเป็นพ่อค้าอยู่ในเมืองตักศิลา แล้วก็เล่าความเป็นมาทุกอย่างตลอดจนเล่าความประสงค์ว่า เมื่อเด็กคนนี้โตขึ้นจะให้มาบวชเป็นพระ เศรษฐีผู้นั้นเมื่อได้รับฝากจากพระมหากัจจายนะแล้ว ก็นำมาเลี้ยงดู เศรษฐีนี้เป็นพ่อค้าขายของมีสินค้าค้างสต๊อกอยู่ ๑๒ ปี ขายไม่ออกเลย เมื่อรับเด็กชายชฎิลเข้ามาในบ้านแล้ว ก็เกิดความคิดขึ้นมาคิดจะนำสินค้านั้นออกมาตั้งขาย แล้วให้เด็กชายชฎิลนี้เป็นผู้ขาย หลังจากสั่งความเด็กชายชฎิลเรียบร้อยแล้วก็เดินทางไปทำธุรกิจ

 

                    ด้วยอานุภาพแห่งบุญของเด็กชายชฎิลที่สร้างไว้แต่ชาติปางก่อนทำให้เทวดาประจำเมืองนั้นต้องมาช่วย เหมือนพระอนุรุทธที่ท่านเคยสร้างมหาทานบารมีเอาไว้แล้วอธิษฐานว่า “อย่าได้รู้จักคำว่า “ไม่มี” เลยทำให้เทวดารีบลงมาช่วยเหลือเกื้อกูลพระอนุรุทธอย่างที่เราเคยได้ยินคำว่า “ขนมไม่มี” เด็กชายชฎิลนี่ก็เช่นเดียวกัน ได้สั่งสมบุญมาแต่ชาติปางก่อนทำให้เทวดาต้องเข้ามาช่วยเหลือการค้าขายในคราวนี้ โดยได้ไปดลจิตดลใจลูกค้าทั้งหลายให้มาซื้อสินค้าที่ค้างสต๊อกมาถึง ๑๒ ปี ของค้างสต๊อกนี้ขายหมดไปภายในวันเดียว เมื่อเด็กชายชฎิลมาอยู่ในบ้านของเศรษฐี

 

                    เมื่อเศรษฐีกลับมาเห็นเข้าก็ตกใจนึกว่าโดนขโมย แต่พอซักไซ้ได้ความว่าขายหมด ก็ดีใจ แล้วมีความคิดว่าเด็กชายชฎิลนี้ต้องเป็นผู้มีบุญมาแต่ปางก่อนอย่างแน่นอน ฉะนั้นเวลาจะค้าขายอะไรก็ให้เด็กชายชฎิลเป็นผู้ขายก็ขายหมดทุกทีไป ทำอย่างนี้จนกระทั่งเติบโตเป็นหนุ่ม ในที่สุดก็ยกลูกสาวให้เป็นภรรยา แล้วปลูกเรือนไว้ในที่แห่งหนึ่ง เพื่อให้ชฎิลกับลูกสาวไปอยู่ร่วมกัน ในวันขึ้นบ้านใหม่ มีสิ่งแปลกประหลาดอัศจรรย์เกิดขึ้นทันที นี่เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ทีเดียว ทันทีที่ชฎิลก้าวเท้าข้ามธรณีประตูก็ปรากฏความอัศจรรย์เกิดขึ้นที่หลังบ้านนั้น มีภูเขาทองสูง ๘๐ ศอก ผุดขึ้นมาที่หลังบ้าน เป็นแท่งทึบขึ้นไปเลย แท่งทึบเหมือนลูกเต๋าอย่างนั้น ๘๐ ศอก ก็ ๒๐ วา เท่ากับ ๔๐ เมตรสูงขึ้นไป ๔๐ เมตร โบสถ์วัดพระธรรมกายสูง ๒๓ เมตร เอาอีกหลังขึ้นไปตั้งเอาไว้ ตัดช่อฟ้าออกก็ ๔๐ เมตรสูงขนาดนั้นทีเดียว ผุดขึ้นมาเป็นอัศจรรย์ พร้อมด้วยจอบเพชรสำหรับไว้ขุดภูเขาทอง ด้ามทำด้วยทองแต่ใบของจอบนั้นเป็นเพชร เกิดขึ้นพร้อมกันทีเดียว เมื่อเกิดขึ้นเป็นความอัศจรรย์ดังนี้ ก็โกลาหลกันไปทั้งเมืองจนกระทั่งเรื่องราวรู้ไปถึงพระราชาผู้ครองเมือง จึงทรงตั้งชฎิลนั้นให้เป็นเศรษฐีประจำพระนคร

 

                    ในสมัยก่อนวิธีแต่งตั้งให้เป็นเศรษฐี เขาจะมีฉัตรบอกตำแหน่งว่าเป็นเศรษฐีให้ ก็ให้ฉัตรเศรษฐีนั้นแก่ชฎิล ตั้งแต่นั้นมาใครๆ ก็เรียกว่าชฎิลเศรษฐีเป็นต้นมา มีภูเขาทองผุดขึ้นมาหลังบ้านสูง ๘๐ ศอกเท่ากับ ๔๐ เมตรทีเดียว สูงขึ้นไป ๘๐ ศอก เมื่อเวลาชฏิลเศรษฐีต้องการทองคำก็จะเอาจอบเพชรนั้นไปขุดเหมือนขุดดินอย่างนี้ ทองนั้นก็หลุดออกมาแล้วก็เต็มเหมือนเดิม ไม่มีพร่องเลย ไม่ว่าจะขุดออกมาเท่าไรก็เต็มเหมือนเดิมเป็นอยู่อย่างนี้ ชฎิลเศรษฐีเสวยกามสุขอยู่จนกระทั่งมีบุตร ๓ คน เป็นผู้ชายทั้งหมด เมื่อลูกชายเจริญวัยสมควรที่จะปกครองสมบัติได้ ชฎิลเศรษฐีมีความปรารถนาอยากจะออกบวช มีความปรารถนาอย่างแรงกล้ากระตุ้นเตือนจิตสำนึกขึ้นมาว่า อยากจะออกบวชเบื่อหน่ายในสมบัติ ในที่สุดท่านคิดที่จะมอบสมบัติให้แก่ลูกทั้ง ๓ คน แต่เนื่องจากรักลูกทั้งนั้นเท่ากัน ไม่ทราบว่าจะแบ่งสมบัตินั้นให้กับลูกคนใด จึงใช้วิธีทดสอบดูว่าลูกทั้งสามนี้ ใครมีบุญมากพอที่จะรองรับ จึงยื่นจอบเพชรนั้นให้แก่ลูกชายคนโตก่อน ลูกชายคนโตก็พยายามไปขุดภูเขาทอง พอขุดไปทีไรจอบเพชรนั้นก็กระเด้งทุกทีเลย ขุดไม่ได้ จนกระทั่งอ่อนแรง กลับมาบอกกับชฎิลเศรษฐีว่าขุดไม่ได้ ชฎิลเศรษฐีก็ยื่นให้แก่ลูกคนที่สอง ลูกคนที่สองไปขุดในทำนองเดียวกับพี่ชาย ขุดไม่ได้ จนกระทั่งเหลือคนสุดท้อง ปรากฏว่าคนสุดท้องนั้นขุดได้ เอาจอบเพชรนั้นขุดได้ ทองก็หลุดออกมาเป็นแท่งๆเหมือนขุดดินอย่างนั้น

 

                    ชฎิลเศรษฐีจึงกล่าวกับลูกทั้งสามว่า ลูกเอ๋ย พ่อก็รักลูกทั้งสามนี้เท่ากัน แต่ลูกทั้งสองนั้นไม่ได้ทำบุญมาจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับภูเขาทองนี้เป็นสมบัติ แต่น้องคนเล็กนั้นได้ทำบุญร่วมกับพ่อมา เพราะฉะนั้นภูเขาทองนี้พ่อขอยกให้น้องคนเล็ก ส่วนพี่ชายทั้งสองก็ให้อาศัยบุญของน้องปกครองภูเขาทองนี้กันต่อไป แล้วในที่สุดชฎิลเศรษฐีนั้นก็ออกบวช ในไม่ช้าได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ต่อมาพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จนำพระอริยสาวกพร้อมด้วยพระชฎิลมาเยี่ยมที่บ้านเก่าของชฏิลเศรษฐี ลูกชายทั้งสามก็ถวายภัตตาหารเป็นเวลาถึงครึ่งเดือน

 

                    มีคำถามเกิดขึ้น ๒ คำถามว่า ทำไมชฎิลเศรษฐีถึงต้องถูกลอยแพลอยน้ำกันอย่างนี้ และภูเขาทองที่เกิดขึ้นหลังบ้าน ทำไมไม่ไปเกิดหลังบ้านคนอื่น เกิดขึ้นเฉพาะแก่ชฎิลเท่านั้น ชฎิลทำกรรมอะไรไว้

 

                    เรื่องมีอยู่ว่า ในสมัยพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า หลังจากที่พระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้วมหาชนระลึกถึงพระองค์ท่าน อยากจะสร้างพระมหาเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุด้วยทองคำจึงรวบรวมบอกบุญชาวเมืองทั้งหลายให้ช่วยกันสร้างวันหนึ่งพระขีณาสพอรหันต์องค์หนึ่ง มาดูที่พระมหาเจดีย์ ท่านพบว่าทางด้านทิศเหนือนั้นยังไม่เสร็จ ก็ไปถามกับนายช่างว่า ทำไมถึงยังทำไม่เสร็จ นายช่างบอกว่ายังขาดทองคำ พระขีณาสพพระอรหันต์องค์นั้นท่านก็เลยรับอาสาว่า ท่านจะทำหน้าที่รวบรวมชาวเมืองทั้งหลายให้บริจาคทองคำมาสร้างพระมหาเจดีย์ให้สำเร็จ แล้วท่านก็ไปชักชวนสาธุชนทั้งหลาย ชาวเมืองทั้งหลายให้มาร่วมบุญกัน ท่านก็ชวนสาธุชนทำมาเรื่อย จนกระทั่งถึงบ้านของนายช่างทอง พอดีในจังหวะนั้นนายช่างทองกำลังทะเลาะกับภรรยา กำลังขัดใจกันทะเลาะกันอยู่ พระขีณาสพมาถึงก็บอกบุญ ขอให้นำทองคำไปร่วมบุญในการสร้างพระมหาเจดีย์ นายช่างทองนั้นกำลังหงุดหงิดภรรยา ก็ตอบไปด้วยอาการประชดประชันว่าให้ขว้างพระศาสดาของท่านลงน้ำไปเสีย

 

                    ภรรยาขนาดกำลังโกรธกันอย่างนั้นได้ฟังก็ตกใจ ด้วยวิญญาณของกัลยาณมิตร จึงบอกกับสามีว่า “นี่คุณ คุณโกรธฉันคุณว่าฉันเถอะ จะทุบตีอย่างไรฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่คุณอย่าไปว่าพระบรมศาสดาอย่างนั้น มันเป็นกรรมหนักบาปหนักทีเดียวนะ” นายช่างทองนั้นก็เป็นผู้มีบุญอยู่เมื่อได้ฟังภรรยาพูดอย่างนั้นก็ได้สติเกิดสลดใจ กล่าวขอโทษพระขีณาสพอรหันต์ พระอรหันต์นั้นท่านก็บอกว่า ท่านไม่ได้ว่าเรา เรายกโทษให้ท่านไม่ได้หรอก ท่านว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านต้องไปขอโทษพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นายช่างทองก็ถามว่า แล้วจะมีวิธีการใดที่จะขอโทษได้ พระอรหันต์ท่านก็แนะนำว่า ทำอย่างนี้ ท่านนำทองคำมาหล่อให้เป็นหม้อดอกไม้ทองคำสัก ๓ ใบ นำไปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ในมหาเจดีย์แล้วก็ทำผมให้เปียก ทำตัวให้เปียก ไปกล่าวคำขอขมาในวันนั้น กรรมหนักก็จะได้เบาลงไป

 

                    นายช่างทองนั้นก็เลยมาชวนบุตรทั้งสาม ให้มาช่วยกันสร้างหล่อหม้อดอกไม้ทองคำ ๓ ใบ บุตรคนโตปฏิเสธบอกว่า ไม่ได้ทำความผิดเพราะฉะนั้นทำไมจะต้องมาช่วยพ่อทำหม้อดอกไม้ทองคำ ลูกคนที่ ๒ ก็คิดเหมือนกับพี่ชาย เหลือแต่ลูกคนเล็กมีความคิดแปลกแตกต่างจากพี่ชายทั้งสองคือ ลูกคนเล็กมีความคิดว่า ภารกิจอันใดของพ่อก็ตามถือเป็นหน้าที่ของลูกที่จะต้องช่วยเหลือ จึงลงมือช่วยเหลือทำหม้อดอกไม้ทองคำ ๓ ใบ จนกระทั่งสำเร็จเรียบร้อย นายช่างทองนั้นก็ทำผมให้เปียกทำตัวให้เปียก แล้วก็นำหม้อดอกไม้ทองคำ ๓ ใบนั้น ไปบูชาพระมหาเจดีย์แล้วก็บรรจุพระบรมสารีริกธาตุพร้อมกับกล่าวคำขอขมา ในที่สุดกรรมนั้นก็จากหนักก็เป็นเบา

 

                    ด้วยอกุศลกรรมนั้น เกิดมา ๗ ชาติ รวมทั้งชาติสุดท้ายที่จะเป็นพระอรหันต์ ถูกลอยน้ำมาทุกชาติเลย ถูกลอยน้ำมา ๗ ชาติ ด้วยกรรมที่ว่าให้เอาพระศาสดาของท่านไปลงน้ำเถอะ แล้วก็ด้วยอานุภาพแห่งบุญที่ถวายทองคำแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภูเขาทองคำซึ่งเป็นสิ่งอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้นสูง ๘๐ ศอก ลูกชายทั้งสองไม่ได้มีส่วนร่วมบุญกับพ่อ เพราะฉะนั้นก็เลยไม่มีสิทธิ์ที่จะใช้สมบัติที่เกิดขึ้นจากบุญของพ่อคือภูเขาทอง ส่วนลูกคนเล็กมีกุศลศรัทธาได้สร้างบุญเหมือนกับพ่อ จึงมีสิทธิ์ที่จะได้รับมรดกอันนั้นคือภูเขาทอง ซึ่งเกิดขึ้นด้วยบุญ

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.14703320264816 Mins