วันวาเลนไทน์ + วันมาฆบูชา = วันแห่งความรักที่มีแต่บุญ ทั้งผู้ให้และผู้รับ

วันที่ 13 กพ. พ.ศ.2557

วันวาเลนไทน์ Valentine's Day
วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 และ ตรงกับวันมาฆบูชา

ประวัติวันวาเลนไทน์ วันแห่งความรักนวลสงวนตัว

     ในปัจจุบันวัยรุ่นมีค่านิยมเรื่องวันแห่งความรักตามสมัยนิยม อย่างเช่นวันวาเลนไทน์ ซึ่งตามประวัติแล้วเขาต้องการให้รักเพื่อนมนุษย์ แต่คนรุ่นใหม่ตีความหมายพลาดไป แล้วสร้างค่านิยมใหม่เรื่องความรักและการมีความสัมพันธ์กัน โดยที่ยังไม่ตกลงนับถือกันเป็นคู่ชีวิตหรือทำเพื่อความสนุกสนาน ถือว่าเป็นค่านิยมที่ผิดทีเดียว เพราะความรักเป็นของสูงส่งมิใช่ของสำส่อนเหมือนดังที่สัตว์บางประเภทประพฤติอยู่เป็นปกติ

     ในการแก้ไขนั้นเราต้องเลิกค่านิยมนี้ และชักชวนกันศึกษาธรรมะเพื่อให้เกิดความเข้าใจ ถึงโทษ ความผิดศีล ผิดธรรมหรือแม้กระทั่งผิดกฎหมาย ส่งเสริมค่านิยมที่ถูกต้องในวันวาเลนไทน์ บำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อบิดามารดา และสังคมแทนที่จะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องกามารมณ์ หรือสิ่งที่พาให้ใจไขว้เขว ฟุ้งซ่าน เพียงเท่านี้ ชีวิตก็จะมีคุณค่า และเป็นแบบอย่างที่ดีของโลกเพราะหากเรามีความรักที่แท้จริงให้แก่กันเราย่อมมีความสุขุมเพียงพอที่จะเก็บรักษาสิ่งสำคัญนี้ไว้เพื่อคนสำคัญของเรา ในโอกาสที่ถูกทำนองคลองธรรม และไม่เป็นการทำร้าย หรือทำลายกัน

     วันแห่งความรัก หรือวันวาเลนไทน์ Valentine's Day แท้จริงแล้วคือวันรักนวลสงวนตัว ตามเจตนารมณ์เดิมว่าเป็นวันแสดงความรักแก่เพื่อนมนุษย์ ในวันวาเลนไทน์เราควรแสดงความรัก ความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ แต่ในเมื่อยุคสมัยได้บิดเบือนเจตนารมณ์ดั้งเดิมให้กลายเป็นเรื่องของเพศสัมพันธ์ไป เราต้องช่วยกันนำกลับไปสู่จุดดั้งเดิม คือสร้างความเข้าใจและแบบแผนอันดีงามขึ้นมาใหม่ในวันวาเลนไทน์

       แม้แต่การทดลองอยู่ร่วมกันก่อนแต่งงานนั้นก็ไม่ถูกหลักวิชชา เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องของการทดลองทางวิทยาศาสตร์ แสดงให้เห็นว่ายังขาดความเข้าใจว่า ความรักมีเพื่อสิ่งใด ชีวิตคู่ไม่ใช่ของลองเล่น แต่เป็นสิ่งสูงส่ง เป็นเรื่องสำคัญเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ที่จะให้กายละเอียด ได้เกิดมาเป็นมนุษย์เพื่อสร้างบารมี และยกฐานะของเรา จากคู่รัก เป็นสามีภรรยา เป็นบิดาบารดาเป็นครู เป็นเทวดา กระทั่งเป็นพระพรหม พระอรหันต์ในบ้านยกระดับไปตามขั้นตอน อย่างนี้จึงจะถูกหลักวิชชา - วันวาเลนไทน์ วันแห่งความรักนวลสงวนตัว

     วันแห่งความรัก วันวาเลนไทน์ Valentine's Day แท้จริงแล้วตามเจตนารมณ์เดิม ว่าเป็นวันแสดงความรักแก่เพื่อนมนุษย์ ความรักทรงกลม เรื่องของความรักดีๆ ในวันวาเลนไทน์นี้ Valentine's Day ความรักเป็นสิ่งที่ทุกผู้ทุกนามพึงมี บางคนรักแต่ตัวเองรักอย่างนี้เรียกว่า "รักเห็นแก่ตัว" บางคนรักแค่คู่ครอง รักแค่ครอบครัว ก็จัดเป็นความรักแบบ "หางรัก" บางคนรักคนรอบตัวเพิ่มขึ้นไปอีกนิดก็เป็น "รักที่ยังไม่กว้าง" บางคนเลือกที่จะรัก จัดเป็นความรักแบบ "ลำเอียงรัก" ความรักเหล่านี้เป็นความรักแคบๆ ทั้งสิ้น เป็นเพียงเศษแห่งรัก ความรักกว้าง ๆเป็นอย่างไรเป็นความรักชนิดไหน... ความรักดีๆ ในวันวาเลนไทน์นี้ ทุกคนสามารถเข้าถึงความรักชนิดนี้ได้หรือไม่ อย่างไร        

      บางคนมองความรักไว้เพียงชาติเดียว มุ่งสะสมสมบัติ ชื่อเสียง เกียรติยศ ไม่ศึกษาธรรมะของพระพุทธองค์ ทำให้ไม่รู้บุญรู้บาป ไม่รู้ดีรู้ชั่ว ถ้าจะสุขก็สุขเพียงเล็กน้อย สุขได้อย่างเก่งก็แค่ชาติเดียว
ชาติต่อไปอาจจะทุกข์อย่างมหันต์ก็ได้ คนรักตัวเอง 2 ชาติคือ ชาตินี้ กับชาติหน้า จึงจัดเป็นบัณฑิตได้ระดับหนึ่ง บุคคลประเภทนี้จะทำความดีเผื่อไว้ชาติหน้า บางคนรักตัวเองทุกชาติรักที่จะข้ามห่วงแห่งทุกข์เข้าสู่ฝั่งพระนิพพาน จึงจัดเป็นบัณฑิตอย่างยิ่ง บุคคลประเภทนี้จะทำความดีอย่างยิ่งยวด บางคนนอกจากรักตัวเองทุกชาติแล้ว ยังปรารถนาให้สัตว์ทั้งหลายมีสุขพ้นทุกข์ เฉกเช่นเดียวกับตน มีความเมตตากรุณาแก่เหล่าสัตว์โดยทั่วหน้า บุคคลประเภทนี้จะเป็นใครอื่นไปไม่ได้ นอกจากพระโพธิสัตว์เจ้าเท่านั้น ความรักอย่างนี้จัดเป็นความรักสูงสุดความรักสูงสุดต้องเป็นความรักที่เท่าเทียม ไม่เลือกชนชั้นวรรณะ เป็นรักที่ไร้อคติ เป็นความรักกว้างขวางที่แผ่ขยายไปอย่างไม่มีขอบเขต เป็นความรักทรงกลม เป็นความรัก 360 องศา เป็นรักรอบตัวเป็นความรักที่มอบแก่สรรพสัตว์โดยปราศจากความกำหนัดยินดีและแผ่ขยายรอบตัวต่อไปอีกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังคำของพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย ที่ว่า "เหมือนเป็นทรงกลมที่ไม่มีเส้นรอบวง" ความรักชนิดนี้เป็นความรักที่กว้างขวางยิ่งใหญ่ไม่เป็นความรักที่พุ่งหาเฉพาะใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นความรักที่แผ่ขยายรอบตัวเหมือนเป็นพลังมวลแห่งความบริสุทธิ์ที่ขยายกว้างออกไปพร้อม ๆ กันทั้ง 360 องศา ความรักประเภทนี้ผู้เขียนขอเรียกสั้น ๆ ว่า  "ความรักทรงกลม" 
ความรักทรงกลมนี้เป็นความรักสูงสุด มนุษย์ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ด้วยการทำใจให้หยุดนิ่ง สงบเป็นสมาธิ(Meditation) จนเข้าถึงภาวะแห่งความรักทรงกลม คือ เข้าถึงดวงธรรมภายใน ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7(อยู่กลางตัวเหนือสะดือขึ้นมา 2 นิ้วมือ) ยิ่งดวงธรรมแผ่ขยายไปถึงไหน ความรักและความปรารถนาดีอันบริสุทธิ์ก็ไปถึงนั่น เป็นความรักมาตรฐาน รักที่อมตะ เป็นความสุขแท้ทั้งผู้รับและผู้มอบ เป็นความรักที่ท้าทายการเข้าถึง ซึ่งอยู่ในตัวของท่านเอง !  

*โดย เกษมสุข ภมรสถิตย์ จากวารสารกัลยาณมิตร ปี 2540
 

      ความรักนี่เป็นอารมณ์อย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วถือว่าส่งผลต่อความรู้สึกนึกคิดของคนคนนั้นอย่างมากเลย เราจะเห็นว่า บทเพลงเอย บทกวีเอยในโลกส่วนใหญ่ก็เกี่ยวกับเรื่องความรักความใคร่ต่างๆเป็นส่วนใหญ่ ยิ่งคนในวัยหนุ่มวัยสาวอารมณ์ในเรื่องนี้ก็จะยิ่งแรงเป็นพิเศษ พูดถึงเรื่องความรักยังจำได้สมัยเรียนมัธยมมีบทพระราชนิพนธ์ของราชการที่ 6 ที่พูดเรื่องของความรัก 

"ความเอ๋ยความรัก เริ่มสมัครชั้นต้น ณ หนไหน
เริ่มเพราะเหมาะกลางหว่างหัวใจ หรือเริ่มในสมองตรองจงดี
แรกจะเกิดเป็นไฉนใครรู้บ้าง อย่าอำพรางตอบสำนวนให้ควรที่
ใครถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงราตรี ผู้ใดมีคำตอบขอบใจเอย"

คราวนี้มีอีกอันหนึ่งที่ให้ข้อคิดเกี่ยวกับเรื่องความรักดีเหมือนกัน เขาบอกว่า

   "จะหักอื่นฝืนหักก็จักได้ หักอาลัยนี้ไม่หลุดสุดจะหัก
สารพัดตัดขาดประหลาดนัก แต่ตัดรักนี้ไม่ขาดประหลาดใจ"

   
    บางคนพอมีความรักเกิดขึ้นเรียกว่าถ้าเกิดผิดหวังอกหักแล้วละก็เรียกว่ามองฟ้าฟ้าก็หม่นหมอง มองดินดินก็เศร้า ดูต้นไม้ใบหญ้าดูมันแย่ไปหมดอารมณ์มันจะเกาะอยู่กับเรื่องนั้นตัดใจไม่ขาดเลย แล้วถ้าเกิดคนรักกันชอบกันตีห่างกันไปเป็นปี 3 ปี 5 ปีไปอยู่ต่างประเทศอยู่ต่างถิ่นต่างแดนยังไง ก็ยังมีความอาลัยรักถึงกัน ถึงอารมณ์รักเป็นอารมณ์ที่มีพลานุภาพค่อนข้างจะรุนแรงมากทั้งทางบวกและทางลบ ผิดหวังมาบางทีทำเรื่องร้ายๆได้ ถ้าฉันไม่ได้ใครก็อย่าได้เลย ทำลายแทน อันนี้ก็มีข่าวคราวกันอยู่ จากความรักเป็นความแค้นก็แค่เส้นใยเดียวเหมือนกัน 

 

อารมณ์รัก ความรักในวันวาเลนไทน์

       อารมณ์รัก ศัพท์ทางบาลีใช้คำว่า สิเน่หา แปลเป็นไทยว่า (เสน่ห์) ถ้าใจเกาะอารมณ์นี้เมื่อไหร่ มันจะคล้ายๆ ลิงติดตัง เราเคยรู้จักลิงติดตัง ถ้าคนสมัยก่อนจะนึกออกนะ เวลาเขาจะจับลิงป่า เขาจะเอาตัง คือน้ำมันยางเหนียว เคี่ยวจนข้นเหนียว ยางไม้ จนเหนียว เหมือนกับกาวเหนียวแล้วก็ไปวางเอาไว้ โดยลิงมันจะชอบเลียนแบบคน มันจะแอบดูว่าคนทำยังไงเขาก็จะวางไว้เสร็จเรียบร้อยก็จะทำเป็นเอามือไปจับๆ แตะๆ แล้วเดี๋ยวซักพักคนก็เดินไป พอคนเดินไปลิงมันเหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นคนแล้วมันจะเริ่มไต่ต้นต้นมะพร้าวลงมา เมื่อถึงมันก็มาลองแตะดู พอมันแตะมือๆก็ติดดึงไม่ออก มันก็เอามืออีกมือหนึ่งมายัน เพื่อจะดึงมือแรกออกแต่กลับติดทั้งสองมือ เอาขาทั้งสองมาช่วยยัน ขาก็ติดอีก สุดท้ายแล้วเอาหัวไปดัน ปรากฏว่าทั้งมือ แขน ขาและหัว ติดจุกอยู่ตรงยางเหนียวที่เรียกว่าตังนั้นเอง ชาวบ้านก็ออกมาจับหิ้วไป ใส่ปลอกคอไปล่ามโซ่เป็นลิงเลี้ยงสบายไปเลย นี่แหละคือลิงติดตัง อารมณ์ของใจเหมือนกัน ปกติใจคนเรามันจะเพลิดเพลินในอารมณ์ต่างๆเดี๋ยวคิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้เปลี่ยนไปเรื่อยๆนี่ใช่ไหม แต่พอเจออารมณ์รักเมื่อไหร่ไปถามหนุ่มถามสาวดูจะรู้ดีว่าเป็นลิงติดตังมันเป็นอย่างไร หลับตาลืมตาฝ่ายหนุ่มเห็นแต่หน้าสาวลอยมา ฝ่ายสาวเห็นแต่หน้าหนุ่มลอยมาคิดเรื่องอื่นไม่ออก แล้วดูไปที่ไหนก็เห็นแต่หน้าเขาลอยมาใจมันหมกหม่นวนอยู่กับอารมณ์

สิเน่หา แปลว่า ยางเหนียว ให้เรารู้กันว่าเรื่องความรักอารมณ์ สิเน่หาไม่ธรรมดาเพราะฉะนั้นเราเองระวังว่าอย่าให้เป็นลิงติดตังเสร็จแล้วก็ถูกจูงไปในทางที่ไม่ดีได้ก็แล้วกัน..

 

 

ธรรมะดีๆ ในวันวาเลนไทน์ Valentine's Day

    ความรักที่จะเกิดผลดี คือเปลี่ยนพลังขับเคลื่อนที่รุนแรงไปในทางสร้างสรรค์ได้จะต้องไปคู่กับความรับผิดชอบ ถ้าปล่อยให้อารมณ์สิเน่หาดึงเราเพลิดเพลินไปตามอารมณ์ เกิดผลเสียได้เยอะ แต่ถ้าเกิดเมื่อไหร่ความรักเกิดมาคู่กับความรับผิดชอบ ซึ่งมันก็คือการจะไม่มองอะไรไกลขึ้นกว่าความต้องการเฉพาะหน้า ถ้าอย่างนี้แล้วละก็เราสามารถเปลี่ยนอารมณ์นี้ไปในทางสร้างสรรค์ได้ 

     อย่างที่มีพระเดชพระคุณพระผู้ใหญ่รูปหนึ่งท่านเล่าให้ฟังว่าท่านนายห้างแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นนักธุรกิจใหญ่ที่ประสบความสำเร็จมาก เริ่มต้นตอนทีท่านยังหนุ่มฐานะก็ยังธรรมดานะ ไม่ได้เป็นคนมีฐานะอะไร
แต่ฝ่ายภรรยา เป็นลูกเจ้าสัวมีฐานะดีมากเลยผู้หญิงสมัยก่อนต้องฟังคุณพ่อคุณแม่ คุณพ่อคุณแม่ก็ไปให้หมอดูช่วยดูดวงให้ หมอดูก็บอกว่าแต่งไม่ได้นะแต่งแล้วจะแย่จะอย่างงั้นจะอย่างงี้ ล่มจมอะไรสารพัดอย่าง แต่ว่าคุณพ่อคุณแม่ของฝ่ายหญิงมีความเคารพพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำมาก ก็เลยมากราบถามพระเดชพระคุณหลวงปู่ถามว่าจะเอายังไงดี พระเดชพระคุณหลวงปู่ท่านหลับตานิ่งๆ พักเดียวท่านบอกว่า แต่งเลยแต่งแล้วจะรวย สวนหมออื่นทั้งหมดแต่ความที่คุณพ่อคุณแม่ฝ่ายหญิงเคารพหลวงปู่มากพอฟังก็เลยอนุญาตให้แต่ง ฝ่ายหญิงฐานะดี ฝ่ายชายธรรมดาแต่พอแต่งจากความรักที่มาพร้อมกับความรับผิดชอบ ฝ่ายชายรู้สึกว่าฝ่ายหญิงเหมือนดอกฟ้าโน้มกิ่งมาหาเรา ให้โอกาส ให้เกียรติเราขนาดนี้เราต้องรับผิดชอบ ทุ่มเททำงานอย่างหนัก วิริยะอุตสาหะรับผิดชอบครอบครัว ให้เกียรติฝ่ายหญิงตลอดชีวิต ไม่ใช่ชอบตอนสวยๆสาวๆ พอมีอายุและมีลูกขึ้นมาแล้วละก็ไม่สนใจใยดี ไปหาเล็กไปหาน้อย ซึ่งท่านไม่เคยทำอย่างนั้นเลย คือรับผิดชอบตลอดชีวิตของท่านเลยทีเดียว 

     ส่วนฝ่ายหญิงเรียกว่าเป็นหญิงแม่ศรีเรือนดูแลทุกอย่างไว้อย่างดีเหมือนกัน ฝ่ายชายหาทรัพย์มอบให้ฝ่ายหญิงดูแลการเงินหมดเป็นใหญ่ในบ้านมอบทรัพย์ให้ ฝ่ายหญิงก็จัดการดูแลทุกอย่างอย่างดีเอาไปใช้ซื้อที่ซื้อทางลงทุนทุกอย่าง จนเจริญงอกงามขึ้นมาสุดท้ายก็ได้เป็นมหาเศรษฐีพันล้านสมปรารถนา นี่คือการเปลี่ยนพลานุภาพของความรัก ที่มาพร้อมกับความรับผิดชอบให้เป็นพลังขับเคลื่อน ไปสู่ความวิริยะอุตสาหะในการสร้างฐานะสร้างตัวแล้วก็ประสบความสำเร็จ

สรุปว่า ความรักที่มาพร้อมกับความรับผิดชอบจะยั่งยืนและมั่นคงนั่นเอง

     แต่ถ้าเกิดความรักแบบหนุ่มๆ สาวๆ แค่ชั่วครั้งชั่วคราว บางทีผ่านไปคืน 2 คืนยังไม่รู้อีกฝ่ายหนึ่งชื่ออะไร เพราะฉะนั้น อย่าดูเบาเรื่องความรักเพราะเกิดขึ้นมาทีแล้วละก็ฤทธิ์เดชมันเหลือเกิน พุทธเจ้าท่านบอกไว้เลย สิเหน่หาคือ ยางเหนียว แค่นิดเดียวอารมณ์นั้นก็ติดอยู่เลย ไม่หลุดไปอารมณ์อื่น เรารู้อย่างนี้แล้วอย่าเผลอใจ ถ้าเกิดอยู่ในวัยเรียนแล้วละก็หลีกเลี่ยงก่อน ให้บอกตัวเองยังไม่ถึงเวลาถ้าเกิดระวังตัวแล้วละก็ไม่ทำให้เราถลำลึกลงไปแน่นอน แต่พอถลำใจไปแล้วมันจะรั้งกลับยากอีกเช่นกัน สมัยก่อนบางทีหอบข้าวหอบของหนีตามหนุ่มไป ทิ้งพ่อทิ้งแม่ไปอยู่กับหนุ่มเพราะมันรั้งอารมณ์กลับมาไม่ไหว สำคัญคืออย่าให้ถลำลงไป เพราะมันยังไม่ถึงเวลา วัยเรียนก็ต้องเรียนดีกว่าอย่าเพิ่งไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เอาให้จบก่อน

ฟังอย่างนี้บางท่านอาจจะบอกว่า พระอาจารย์เชยจัง เดี๋ยวนี้ไม่ต้องถึงมหาวิทยาลัยหรอก แค่มัธยมเขาก็มีแฟนกันหมดแล้ว ไม่มีใครเขาอยู่ตัวคนเดียวหรอก เอาเถอะเขาจะว่าเราเชยไม่เชยปล่อยไปเถอะเดี๋ยวถ้าเกิดว่าเรารู้จักเวลา รู้จักวัย นึกถึงคุณพ่อคุณแม่เยอะๆ นึกถึงอนาคตเยอะๆเราจะเป็นคนที่มีค่าแล้วก็ประสบความสำเร็จในชีวิตการครองเรือนในอนาคต แต่คนไหนปล่อยใจให้วูบวาบไปทั้งที่วัยยังไม่ถึงเวลา ปล่อยไปตามอารมณ์อย่างเดียวไม่นึกถึงความรับผิดชอบอะไร สนุกวันนี้แต่จะต้องน้ำตาตกในวันหลัง เพราะฉะนั้น ย้ำอีกครั้ง จะใช้พลังของความรักไปในทางสร้างสรรค์ได้ จะต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบ มองไกลๆรอให้ถึงเวลา ให้เราโตพ้นวัยการศึกษาเสียก่อน 
 

ถ้าเกิดเหตุกระทบกระทั่งกัน จะวิธีขอโทษอย่างไร

   เนื่องจากอารมณ์รักมันแรงเหมือนรถมันวิ่งเร็วมาก ถ้ามันวิ่งช้าๆจะเฉียดจะเฉี่ยวหน่อยมันก็ไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่พอวิ่งแรงๆเกิดอุบัติเหตุทีมันจะแรงนะ เหมือนกันคนบางที่อารมณ์รักหวานชื่น แต่พอถึงคราวเกิดอะไรขึ้นมา มีความรู้สึกเหมือนกับว่าแก้วมันร้าวไปแล้วชาตินี้คงยากจะประสานกันได้เหมือนเดิม เพราะมันร้าวมันแตกไปแล้ว แต่ว่าจริงๆแล้ว แก้วจะแตกจะร้าวจะประสานกันได้หรือไม่นั้นมันขึ้นอยู่กับใจ ถ้าใจเกาะติดกับความรู้สึกเดิมๆมันก็เหมือนกับแก้วร้าวที่ประสานกันแล้ว แต่มันก็แค่เชื่อมๆกันมันคงจะไม่เหมือนเดิม แต่ถ้าเกิดใจมันโปร่งขึ้นมา ไม่ได้ยึดติดกับเรื่องนั้นมันก็พร้อมจะประสานให้เหมือนเดิม เหมือนดังแก้วร้าวที่นำไปเข้าโรงงานหลอมมาเป็นแก้วใบใหม่ ฉันใดก็ฉันนั้น..

    เพราะฉะนั้นจะเป็นอย่างไรก็สุดแท้แต่ใจของคุณนั่นเอง ถ้าเกิดว่าใจใสสว่างแล้วก็ไม่ถือในความผิดพลาดในเรื่องที่ผ่านๆ มาแล้วทุกอย่างก็จะเป็นเรื่องเล็ก หัวใจหลักการอยู่ตรงนี้ ดีที่สุดคือชวนกันเข้าวัดปฏิบัติธรรม ให้เป็นคู่บุญคู่บารมี ไม่ใช่ว่าเป็นคู่ทุกข์คู่ยาก เอาเป็นคู่บุญคู่บารมีกันดีกว่า คู่ทุกข์คู่ยาก
แบบว่าไม่ต้องห่วงพี่จะเลี้ยงด้วยลำแข้ง อย่างนี้ท่าจะแย่ 

  ดังนั้นเราควรที่จะพาคู่บุญของเราเข้าวัดปฏิบัติธรรม แล้วก็รู้จักพากันการทำบุญ ทำกุศล ทำความดีสากล มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งเหมือนกัน ทำให้ใจนุ่มนวลอ่อนโยนทั้งคู่ มีธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ ชีวิตครอบครัวเจริญก้าวหน้ารวมทั้งหน้าที่การงานทุกอย่างดีหมด อย่างนี้ถึงจะดี 

มอบรักให้ครอบครัว มีสุขยิ่งกว่าสิ่งใดๆ..


 เดือนแห่งความรัก เทศกาลวันวาเลนไทน์ Valentine's Day

  วันวาเลนไทน์ เดือนกุมภาพันธ์ เป็นเดือนที่อบอวลไปด้วยการแสดงถึงความรักความห่วงใยถึงคนที่เราปรารถนาดีและอยากให้เขามีความสุข และเป็นที่รับรู้กันทั่วโลก ว่าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันแห่งความรักหรือวันวาเลนไทน์ (Valentine's Day) อันว่าความรักนั้นเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาช้านาน และมนุษย์ทุกคนล้วนมีความรักอยู่ภายในใจมากหรือน้อยแตกต่างกันไป

  แล้วความรักคืออะไร ผู้อ่านหลายท่านคงมีคำตอบสำหรับตนเองอยู่แล้วบางคนอาจตอบว่าความรักคือ ความรู้สึกซึ่งมีความรู้สึกหลายๆแบบปนกันอยู่, ความรัก คือ สิ่งเติมเต็มให้ชิวิตไม่รู้สึกขาดอะไรไปอย่างใดอย่างหนึ่ง, บางคนอาจตอบว่า ความรักเป็นนามธรรมที่มองไม่เห็นเเต่สามารถสัมผัสได้ด้วยหัวใจ บางคนอาจตอบว่าความรักคือทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต เป็นต้น

  ส่วนคำว่า "รัก" ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน   พุทธศักราช 2525 มีความหมายว่า "ชอบอย่างผูกพันพร้อมด้วยความชื่นชมยินดี" ส่วนในภาษาอังกฤษนั้น จะขอยกตัวอย่างของคำว่า "LOVE" จากหนังสือชื่อ New Model English - Thai Dictionary  โดยดูหลักในการนำพยัญชนะมาผสมรวมเป็นคำ และความประสงค์ของผู้บัญญัติศัพท์ว่า LOVE โดยการเรียงพยัญชนะก็จะพบกับความหมายใหม่ ดังนี้

    L   ตัวแรก     น่าจะหมายถึง   Lake  of  sorrow     ทะเลสาบแห่งความเศร้าโศก
   
O  ตัวที่สอง  น่าจะหมายถึง   Ocean  of  tear       ห้วงทะเลแห่งน้ำตา
   
V  ตัวที่สาม  น่าจะหมายถึง   Vagen  of  death     หุบเขาแห่งความตาย
   
E  ตัวที่สี่      น่าจะหมายถึง   End  of  life            จุดจบของชีวิต

   ถ้าหากความรักมีความหมายตามแบบการผสมอักษรดัง 4 ตัวข้างต้นนั้น ความรักจะเป็นสิ่งสวยงามได้จริงหรือ เพราะความหมายของคำว่า LOVE นั้นก็บอกอยู่ว่ามันไม่ได้เป็นสิ่งสวยงามเลยซักเท่าใด แต่ในทางพระพุทธศาสนาแล้วมีหลักคำสอนที่สำคัญประการหนึ่งเกี๋ยวกับความรักนั้นคือ หลักความเมตตา หรือความรักความปรารถนาดีต่อคนอื่นหรือในความหมายที่กว้างออกไป คือความรักที่มีต่อมนุษย์ด้วยกันตลอดถึงสรรพสัตว์ที่เป็นเพื่อนทุกข์  เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ในทางพระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงการเกิดของความรักไว้หลายนัยด้วยกัน แต่ในที่นี้ขอนำมากล่าวเพียง 2 ประการ คือ

  1.  ปุพเพสันนิวาส  การอยู่ร่วมกันในอดีตชาติ คือการที่เคยอยู่ร่วมกันมา เคยคบหาสนิทสนมชอบพออัธยาศัยกันมาหรือเคยเลี้ยงดูกันมา เคยทำบุญเกื้อหนุนกัน เมื่อมาพบกันในชาตินี้แม้ในคราวแรกพบก็เกิดความนิยมชมชอบรู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยอย่างรวดเร็วหรือที่เรียกว่า "รักแรกพบ" นั้นเอง โดยที่หาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไมจึงนิยมชมชอบบุคคลผู้นั้นอย่างจริงๆจังๆ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบเห็น

  2. การช่วยเหลือเกื้อกูลกันในชาติปัจจุบัน เป็นเหตุผลที่ชัดเจนอยู่ในตัว คือการเกื้อกูลกันในปัจจุบันนั้นทำให้เกิดความสนิทสนมรักใคร่ไว้วางใจกัน ในฐานะเป็นกัลยาณมิตรให้แก่กัน ซึ่งการแสดงออกในรูปของการอุปการะร่วมสุขร่วมทุกข์แนะนำประโยชน์และมีความรักใคร่ เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน จึงเกิดความรักความเมตตาต่อกันขึ้น

หากมวลมนุษยชาติในโลกกว้างใหญ่ใบนี้ ได้รับการศึกษาและปฏิบัติตามหลักคำสอน ในพุทธศาสนาแล้ว การเรียกร้องหาความรักและสันติภาพเพื่อให้เกิดขึ้นในสังคมโลก อย่างที่พยายามกันในปัจจุบันคงไม่เป็นเรื่องลำบากจนเกินไป เพราะหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาเป็นคำสอนแห่งสันติสุขและสันติภาพ จากการศึกษาประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาไม่มีสักหน้าเดียวที่เปื้อนด้วยเลือด ของบุคคลผู้เคราะห์ร้ายเพราะเหตุแห่งการประกาศพระสัจธรรมและเผยแผ่พระพุทธศาสนา ด้วยการแย่งชิงศาสนิกชนหรือความเกลียดชังทางศาสนา

  ความรักเป็นอำนาจอย่างหนึ่งในจิตใจมนุษย์ ที่มีอิทธิพลมากมายและสามารถก่อให้เกิดอารมณ์อันหลากหลายที่ตรงกันข้ามกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความทุกข์ ความยินดี ความซึมเศร้า ความเฉื่อยชาและความกระตือรืนร้น นักกวีบางท่านได้กล่าวไว้ว่า ความรักทำให้โลกหมุน ทำให้คนชั่วกลับกลายเป็นคนดี ความรักบันดาลได้มากมาย ที่สำคัญความรักมิได้มีความหมายเพียงความรักระหว่างหนุ่มสาวเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงความรักระหว่าง พ่อแม่กับลูก อาจารย์กับศิษย์ เพื่อนฝูงต่อเพื่อนฝูง รวมไปถึงความรักที่มนุษย์มีต่อมวลมนุษย์และสิ่งต่างๆ ที่อยู่ร่วมโลกเดียวกันอีกด้วย ความรัก มีความหมายที่กว้างขวาง ไร้ขอบเขตจำกัดอีกทั้งยังเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์ทุกชาติทุกภาษาอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข

     ความรักผ่านเข้าออกดวงใจของเรานับตั้งแต่แรกเกิด ลืมตาดูโลกพบกับพ่อแม่ ผู้ให้ความอบอุ่นเลี้ยงดูแลอย่างทะนุถนอม และญาติพี่น้องผู้มีสายเลือดใกล้ชิดเมื่อเติบใหญ่ขึ้นจึงได้รู้จักกับเพื่อนทั้งหญิงและชายวัยเดียวกันหรือต่างวัย ความรักก็เริ่มแตกกิ่งก้านสาขาออกไป จนกระทั่งได้พบคนที่ถูกอกถูกใจหวังให้มาเป็นคู่ชีวิต ความรักได้ผลิบานออกไปในอีกรูปแบบหนึ่ง เมื่อตกลงปลงใจใช้ชีวิตร่วมกัน จนกระทั่งมีลูก ช่วงที่เลี้ยงดูลูกด้วยความรัก ก็เป็นอีกฤดูกาลหนึ่งของชีวิตจนกระทั่งย่างเข้าสู่วัยชรา ความรักประสาวัยรุ่นที่คึกคะนองพลันอันตรธานไป แปรเปลี่ยนเป็นความรักความห่วงใยในลูกหลานและบริวารตามอย่างของผู้สูงอายุ แล้วเหตุใดถึงมีวันวาเลนไทน์เกิดขึ้นมา ติดตามได้ในประวัติของวันวาเลนไทน์ข้างล่างนี้ 

ประวัติและความเป็นมาของวันวาเลนไทน์

  วันวาเลนไทน์ (Valentine) คือวันที่ระลึกถึง นักบุญเซนต์วาเลนไทน์ ผู้เปี่ยมไปด้วยความรัก ความปรารถนาดี ต่อเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริงแต่สุดท้ายเขาต้องจบชีวิตลงด้วยการรับโทษประหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หรือเมื่อประมาณ 1,728 ปีล่วงเลยมาแล้ว ซึ่งเป็นยุคสมัยของจักรวรรดิโรมันที่ศาสนาคริสต์ยังไม่เป็นที่ยอมรับ ซํ้าร้ายภายใต้การปกครองของกษัตริย์คลอดิอุสที่ 2 ผู้ออกกฎหมายบีบบังคับให้ประชาชนเลิกนับถือและห้ามให้มีแต่งงานของพวกคริสเตียนเกิดขึ้น แต่ยังคงมีผู้นำคริสเตียนคนหนึ่งชื่อ "วาเลนตินัส" หรือที่ได้รับการยกย่องเป็น เซนต์วาเลนไทน์ ในภายหลัง คอยลักลอบแอบจัดงานแต่งงานให้กับคู่รักคริสเตียนจนถูกจับขังและรับโทษทรมานแสนสาหัสอยู่ในคุก

  ในขณะที่ถูกคุมขังนั้น เขาก็พบรักกับสาวตาบอดซึ่งเธอเป็นลูกสาวของผู้คุมในคุก ด้วยความรักและคำอธิษฐานของเขาพระเจ้าได้ทรงโปรดให้ตาของสาวคนรักหายเป็นปกติ เมื่อความนี้ล่วงรู้ถึงหูกษัตริย์คลอดิอุสที่ 2 พระองค์จึงสั่งให้ลงโทษ วาเลนตินัส ด้วยการโบยและนำไปประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะ ในคืนสุดท้ายก่อนที่เขาจะถูกนำไปประหารนั้น ได้เขียนจดหมายสั้นๆเป็นการอำลาส่งไปให้หญิงคนรักของเขา โดยลงท้ายในจดหมายว่า"...จากวาเลนไทน์ของเธอ (Love From Your Valentine) "

ต่อมาเมื่อคนทั่วไปทราบเรื่องราวจึงเกิดความประทับใจในความรักของเขา ยึดถือเอาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็น "วันแห่งความรัก" หรือ "วันวาเลนไทน์"  และได้นิยมแพร่หลายไปทั่วยุโรป อเมริการวมทั้งในทวีปเอเชียด้วย 

 

ธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติในวันวาเลนไทน์ Valentine's Day

   ในแต่ละประเทศจะมีประเพณีหรือการปฏิบัติที่แตกต่างกันบ้าง ในวันวาเลนไทน์ Valentine's Day นี้แต่โดยรวมแล้วจะมีการเฉลิมฉลองที่เป็นการแสดงถึงความรักที่มีระหว่างกัน ต่อมาเมื่อความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีทางด้านการพิมพ์เข้ามาเกี่ยวข้องมีการพิมพ์บัตร อวยพรโดยเข้ามาแทนที่จดหมายที่เขียนด้วยลายมือ และปัจจุบันในวันวาเลนไทน์ก็มีการส่งบัตรอวยพรทางออนไลน์เพื่อแสดงถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่ช่วยให้คนที่ต้องการแสดงความรักความห่วงใยถึงคนที่รักได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นหรือ จะเป็นการส่งดอกกุหลาบสีแดง การมอบช็อคโกแลตให้แด่คนที่เรารักในวันวาเลนไทน์ นี่คือประเพณีส่วนใหญ่ที่นิยมปฏิบัติในวันวาเลนไทน์ 

ของขวัญวันวาเลนไทน์

ดอกไม้จากใจ สำหรับวันวาเลนไทน์นี้

    ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหน หรือว่าประเทศใด ดอกไม้นั้นนับว่าเป็นสื่อรักแทนใจที่คลาสสิคที่สุดไม่เพียงแค่เป็นตัวแทนแห่งความรักสำหรับหนุ่มสาวเท่านั้น แต่ดอกไม้ยังสามารถสื่อความรักได้หลากหลายรูปแบบเลยทีเดียวซึ่งดอกไม้ต่าง ๆ ก็จะมีความหมายแตกต่างกันไป

กุหลาบสีแดง : เป็นดอกกุหลาบที่แทนความหมายว่า  "ฉันรักเธอ" ถ้ามอบดอกกุหลาบสีแดงให้แก่คู้รัก                     นั้นหมายความว่าคุณจริงจัง และอยากใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกับเค้า 

กุหลาบสีขาว : เป็นดอกไม้ที่แสดงถึงความบริสุทธิ์ ในความรักที่ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน 

กุหลาบสีชมพู : เป็นตัวแทนของความโรแมนติกที่สุด แสดงถึงความรักที่กำลังจะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ 

กุหลาบสีเหลือง : ซึ่งสีเหลืองแสดงถึงความสดใส ส่วนมากจะนำไปเยี่ยมผู้ป่วย หรือมอบแทนความ                           รู้สึกดี ๆ ให้แก่เพื่อน 

ดอกทิวลิปสีแดง : เป็นการแสดงออกถึงความรักอย่างเปิดเผย 

ดอกคาร์เนชั่นสีชมพู :ใช้แทนความหมายว่า "ถึงอย่างไรผมก็ยังรักคุณ" หรือ "คุณยังอยู่ในหัวใจฉัน                                   - เสมอ" 

ดอกลิลลี่สีขาว :  แสดงถึงความรักที่บริสุทธิ์เฉกเช่นเดียวกับกุหลาบขาว นอกจากนั้นยังแสดงถึงความ                        รักที่อ่อนหวานและจริงใจ หรืออาจจะแทนความหมายว่า "ฉันรู้สึกดี ๆ ที่ได้รู้จักและ                          - อยู่ใกล้คุณ" 

ดอกฟอร์เก็ตมีน๊อต: มีความหมายลึกซึ้งว่า รักแท้ หรืออาจะสื่อความหมายว่า ได้โปรดอย่าลืมฉัน และ                            อย่าลืมความรู้สึกดี ๆที่เคยมีให้กัน 
 


    ในส่วนของประวัติวันวาเลนไทน์ Valentine's Day นี้ เป็นเรื่องที่เล่าต่อๆ กันมาจนถึงปัจจุบันซึ่งไม่มีใครทราบว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงหรือเปล่า แต่ไม่ว่าประวัติที่แท้จริงจะเป็นอย่างไรก็ตามในปัจจุบันนี้เราก็ได้ถือว่าวันวาเลนไทน์ Valentine's Day เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของปีเลยทีเดียว ส่วนวันแห่งความรักในมุมมองของพระพุทธศาสนาคือ" วันมาฆบูชา " อันเป็นวันสำคัญยิ่งทางพุทธศาสนาอีกวันหนึ่ง เป็น" วันแห่งความรัก " ทั้งนี้ เนื่องจากวันดังกล่าวได้เกิดเหตุการณ์พิเศษที่เรียกว่า " จาตุรงคสันนิบาต "ขึน อีกทั้งยังเป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประกาศหลักการและอุดมการณ์แห่งพุทธศาสนา อันมีเนื้อหาหลักว่าด้วยการส่งเสริมให้มวลมนุษย์ตั้งมั่นในการทำความดี ละความชั่ว ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน นั่นก็คือทรงสอนให้ทุกคนมีความรักอันยิ่งใหญ่ เป็นรักที่ไม่เห็นแก่ตัว เมตตาต่อเพื่อนร่วมโลกโดยมีพระสงฆ์เป็นผู้นำพระธรรมคำสั่งสอนดังกล่าวไปเผยแพร่

      คำว่า " มาฆบูชา " หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญเดือนมาฆะ คือ เดือน 3 หรือพูดง่ายๆว่า เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงในคืนขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 นั่นเอง เหตุที่พุทธศาสนิกชนถือว่า " วันมาฆบูชา "เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา ก็เพราะในวันนี้ในสมัยพุทธกาลเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ได้ 9 เดือน ขณะที่เสด็จประทับอยู่ที่วัดเวฬุวัน (วัดแห่งแรกในพุทธศาสนา) ณ เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธนั้นพระสงฆ์สาวกที่พระพุทธองค์ได้ส่งออกไปเผยแพร่พุทธศาสนาตามเมืองต่างๆ ได้พร้อมใจกันกลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยมิได้นัดหมายกันถึง 1,250 รูป ซึ่งถือว่าเป็นเหตุอัศจรรย์ยิ่ง เพราะสมัยโบราณที่ไม่มีการสื่อสารโทรคมนาคม การนัดหมายคนจำนวนมากที่อยู่คนละทิศคนละทางให้มาพบกันหรือประชุมกันที่ใดที่หนึ่งเป็นเรื่องที่ยากและแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย โดยเฉพาะการมาของพระพุทธสาวกเหล่านี้
ถือว่าเป็นการมาประชุมพิเศษที่ประกอบด้วยองค์ 4 อันเป็นที่มาของการเรียกวันนี้อีกอย่างว่า            

" วันจาตุรงคสันนิบาต "

 

( ชวนกันมาทำบุญ เสริมความรักให้ครอบครับอบอุ่น ในวันวาเลนไทน์นี้ )

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสสอนเกี่ยวกับความรัก

      เราจะเห็นได้ว่าธรรมะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสสั่งสอนนี้ล้วนมีความหมายและความสำคัญต่อการดำรงชีวิต ไม่เพียงแต่ผู้อยู่ในเพศบรรพชิตที่บวชเรียนเท่านั้น คฤหัสถ์ผู้ครองเรือน และฆราวาสอย่างพวกเราทุกคนก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างดี ดังนั้น ในโอกาสดีคือวันวาเลนไทน์ จึงขอเชิญชวนให้ทุกท่านใช้วันแห่งความรักนี้ ด้วยการตามรอยพระบรมศาสดา มอบความรัก ความเมตตาต่อตนเอง ครอบครัว คนรอบข้าง และมวลมนุษยชาติทุกเชื้อชาติ ทุกเผ่าพันธุ์โดยการประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือการพูดดี คิดดี ทำดี ไม่คิดร้ายทำลายผู้อื่นทั้งกาย วาจา และใจ

เพียงเท่านี้ สังคมทุกสังคมบนโลกกว้างใบนี้ก็จะเกิดความสงบสุข ในวันแห่งความรัก และทุกๆ วันตลอดเวลาและตลอดไป

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.034134618441264 Mins