วันวิสาขบูชาเป็นวันคล้ายวันประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรื่องราวของพระพุทธองค์เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายในหมู่ชาวพุทธตลอดมา แต่เนื่องจากชาวพุทธไม่ได้มีทั่วทั้งโลก และในอดีตการไปมาหาสู่ติดต่อสื่อสารยังไม่ทั่วถึงกัน เพราะฉะนั้นยังมีอีกหลายภูมิภาคในโลกนี้ ไม่เคยได้รับรู้เรื่องราวของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ทั้งๆ ที่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดของชาวโลกทุกๆ คน
ปัจจุบันนี้ การติดต่อสื่อสารของคนทั้งโลกเป็นไปอย่างทั่วถึง พระกิตติศัพท์ เกียรติคุณอันยิ่งใหญ่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายยิ่งขึ้นทั่วทุกมุมโลก จนกระทั่งองค์การสหประชาชาติเล็งเห็นถึงความสำคัญของวันวิสาขบูชานี้ จึงมีมติให้ปีพุทธศักราช 2543 เป็นปีแรกที่กำหนดให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลก
หลวงพ่อจึงขอถือโอกาสทบทวนถึงความยิ่งใหญ่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้พวกเราได้เกิดกำลังใจที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมให้ยิ่งๆขึ้นไป ให้เราลองนึกย้อนยุคสมัยก่อนพุทธกาลยุคนั้นความรู้เรื่องศีลธรรมของชาวโลกยังมีไม่มากมนุษย์แยกไม่ออกว่า อะไรดี อะไรชั่ว อะไรบุญ อะไรบาป จนกระทั่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อุบัติขึ้น แสงสว่างแห่งธรรมจึงได้เริ่มฉายให้กับโลกเข้าสู่จิตใจคน
เรื่องราวของพระพุทธองค์ถูกบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกอย่างชัดเจนทั้งตอนประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ความรู้นี้ทรงคุณค่าแก่ชาวโลกอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะให้ความรู้ทางประวัติศาสตร์แล้ว ยังส่องถึงหลักธรรมอันลึกซึ้งให้แก่ชาวโลกอีกด้วย
วันประสูติ
ในพระไตรปิฎกได้บันทึกเรื่องราวก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะประสูติ พระพุทธมารดาได้ประพฤติปฏิบัติตนเป็นตนแบบของการเป็นแม่ให้ชาวโลกรู้ คือ
๑. เมื่อพระพุทธมารดาแพ้ท้อง พระองค์อยากจะทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาให้ยิ่งๆขึ้นไป แทนที่จะทรงนึกอยากเสวยโน่นนี่ หรืออยากทำอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควร ซึ่งผิดจากชาวบ้านทั่วไป
๒. จากพื้นฐานที่พระพุทธมารดารักษาศีลและฝึกสมาธิมามาก ครั้งใดที่ท่านหลับตาทำสมาธิ พระองค์จะทรงเห็นพระโพธิสัตว์ในครรภ์กำลังนั่งสมาธิอย่างชัดเจน เหมือนอย่างกับพระโพธิสัตว์นั่งสมาธิอยู่นอกพระครรภ์
๓. ตั้งแต่พระพุทธมารดาทรงพระครรภ์จะมีโชคลาภตลอดมา คือทั้งพระญาติหรือ กษัตริย์ตามแว่นแคว้นต่างๆ เมื่อทราบข่าวก็จะส่งบรรณาการมาถวาย
๔. พระโพธิสัตว์อยู่ในพระครรภ์ ๑๐ เดือนเต็มพอดี พวกเราที่จะตั้งครรภ์ให้ครบ ๑๐ เดือน คงเป็นการยาก ยิ่งแม่บางคนคลอดก่อนกำหนดต้องถูกผ่าท้องออกมาอีก แต่ในขณะที่ผู้ที่สร้างบารมีมาดี ขณะที่อยู่ในครรภ์รู้สึกสบายทั้งแม่ทั้งลูก
๕. เมื่อถึงคราวพระโพธิสัตว์จะประสูติปรากฏว่า พระพุทธมารดารทรงประทับยืน แทนที่จะนอนเหมือนอย่างคนอื่นๆ แล้วพระโพธิสัตว์ประสูติโดยเอาพระบาทออกมาก่อนทันทีที่พระบาทเหยียบถึงพื้น ก็สามารถยืนและเดินได้เลยทันที ซึ่งผิดกับพวกมนุษย์ทั้งหลายเวลาคลอดก็เอาหัวออกมา และยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อีก
๖. เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติและยืนได้ถนัดแล้ว ทรงเปล่งวาจาไดทันทีว่า “เราเป็นผู้เลิศ ผู้เจริญ ผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ภพใหม่ย่อมไม่มีแก่เราอีกแล้ว”
๗. ขณะที่พระโพธิสัตว์กำลังประสูติได้บังเกิดความสว่างไสวขึ้นในโลกและไปถึงหมื่นโลกธาตุ
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับการประสูติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเราย้อนกลับมาดูตัวเองว่า ในวันที่เรายังอยู่ในท้องแม่และวันเกิดของเรา มีนิมิตหมายแห่งความดีงามเจริญรุ่งเรืองอย่างนี้บ้างไหม ที่พูดมาทั้งหมดนี้พวกเราแทบจะไม่มีเลย ที่เป็นเช่นนี้เพราะเรายังสร้างบุญบารมีมาไม่เต็มที่ เพราะฉะนั้นขอให้เราสร้างบุญบารมีให้เต็มที่ ชาติใดชาติหนึ่งเราคงมีโอกาสอย่างพระพุทธองค์บ้าง