วันจักรี
“ตั้งใจจะอุปภัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา ป้องกันขอบขันธสีมา รักษาประชาชนและมนตรี”
พระราชปณิธานในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ซึ่งเสด็จปราบดาภิเษก ขึ้นครองราชย์เป็นพระปฐมบรมกษัตริย์ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 ทรงสร้างเมืองหลวงใหม่ขึ้นมา คือ กรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์ ที่มีความหมายลึกซึ้งว่า เมืองที่งดงามปานสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มีท้าวโกสินทร์หรือพระอินปกครอง ประชาชนพลเมืองล้วนมีคุณธรรมหิริโอตตับปะ ความละอายเกรงกลัวบาป ซึ่งเป็นเทวธรรมของเหล่าเทพเทวาและนางฟ้า
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงครองสิริราชย์สมบัติระยะหนึ่งว่างเว้นจากสงครามการศึกกับพม่าแล้วพระองค์มีพระราชภารกิจที่สำคัญยิ่งคือ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ทำการสังคายนาพระไตรปิฎก รวบรวมพระไตรปิฎกจากหัวเมืองต่างๆ ทั้งที่กรุงศรีอยุธยาอดีตราชธานีมาชำระตรวจสอบใหม่โดยพระสงฆ์เถระผู้ใหญ่ในสมัยนั้น เพราะเกรงว่าบางส่วนอาจตกหล่นสูญหาย หรือตกไปอยู่ตามหัวเมืองเคลื่อนย้ายหนีภัยสงครามไปบ้าง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ชำระตรวจสอบให้เหมือนเดิม
ในพระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินท์กล่าวไว้ว่าตลอดระยะเวลา 3 เดือน ที่ทำการสังคายนาพระไตรปิฏก ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้เสด็จใปทรงอุปถัมภ์บำรุงพระเถระ ผู้ทำการสังคายนาพระไตรปิฏกวันละ 2 เวลา ทรงถวายน้ำปานะด้วยพระองค์เองทุกวันมิได้ขาดเลยด้วยพระราชหฤทัยแน่วแน่ว่าจะยอยกพระพุทธศาสนาไว้เป็นศาสนาประจำชาติบำรุงขวัญจิตใจประชาชน
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าให้อัญเชิญพระบรมรูปหล่อ ขององค์พระมหากษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงค์ ทั้ง 5 พระองค์มาประดิษฐานไว้ ณ ปราสาทเทพบิดร ลุล่วงในเดือนเมษายน พ.ศ. 2461 จึงได้มีพระบรมราชโองการประกาศตั้งพระราชพิธีถวายบังคมพระบรมรูปในวันที่ 6 เมษายน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่องให้เรียกวันที่ 6 เมษายนว่า “วันจักรี”
เมื่อถึงวันที่ 6 เมษายน ซึ่งเป็นวันจักรีของทุกปีควรที่คนไทยทุกหมู่เหล่าควรได้ตั้งอยู่ในสามัคคีธรรมหลอมรวมใจเป็นหนึ่งเดียวกัน น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบูรพมหากษัตริย์ไทย ที่ได้เสียสละกำลังพระวรกายกำลังพระทัยอันมหาศาลเพื่อปกป้องรักษาพระนครไว้ไม่ให้ตกเป็นเมืองขึ้นของชาติใด ควรหรือที่คนไทยต้องมาแตกแยกรบกันเอง เพื่อเอาชนะอีกฝ่ายหนึ่ง แต่บ้านเมืองกลับพ่ายแพ้ถอยหลัง เศรษฐกิจชะงักงันตกต่ำ เพราะฝีมือคนไทยที่รักชาติกันที่ปาก ไม่ได้รักชาติที่จิตใจเหมือนบรรพบุรุษแต่กาลก่อน
เมื่อถึงวันจักรี ควรที่คนไทยต้องตั้งสติมองดูตัวเองว่า เราได้ทำตนเป็นพลเมืองฟ้า สมกับที่อาศัยอยู่ในประเทศที่มีกรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงหรือเปล่า คือเป็นพลเมืองที่มีเทวธรรมหรือหิริโอตตัปปะ ความละอายเกรงกลัวบาปประจำจิตใจ ขึ้นชื่อว่าความชั่วบาปกรรมทั้งหลาย แม้ไม่มีใครรู้เห็นก็ไม่ทำโดยเด็ดขาด เพียงมีเทวธรรรมประจำใจ ย่อมนำพาตัวเราและชาติบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าได้อย่าอัศจรรย์เทวธรรมหรือหิริโอตตตับปะ ย่อมทำให้มนุษย์กลายเป็นเทวดาเดินดิน เพราะการบริหารปกครองประเทศทั้งหมดในที่สุดต้องจบลงที่ปกครองโดยธรรม ดังพระราชกวีนิพนธ์ในรัชกาลที่ 6 ที่ว่า “เมืองใดไร้ธรรมอำไพ เมืองนั้นบรรลัยแน่เอย”
บทสารคดี รัตนวนาลี
1/4/2557