วันฉัตรมงคล
เมื่อวันที่ 5 พฤษาภาคม พ.ศ.2493 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ได้ทรงประกอบพิธีบรมราชาภิเษก แล้วมีพระปฐมบรมราชโองการอารักขาประชาชนและแผ่นดินว่า
“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยช์นสุขแห่งมหาชนชาวสยาม....”
พระสุรเสียงครั้งนั้น ดุจสัตยามหาราชที่ดังก้องแผ่นดินมาจนตราบถึงทุกวันนี้ ทรงปฎิษัติพระราชกรณียกิจทุกวันเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนอย่างต่อเนื่องยาวนานดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่างๆ กว่า 3000 โครงการ ล้วนมุ่งประโยชน์สูงสุด ไม่มีการทำลายทรัพยากรธรรมชาติให้เสื่อมโทรม ทรงหาหนทางแก้ปัญหาอย่างง่ายๆ แต่ได้ผลจริงไม่ต้องใช้งบประมาณมหาศาลแต่อย่างใด
บนภูเขายอดดอยสูงชันตามภาคเหนือ เมื่อหลายสิบปีก่อนมีแต่ไร่ฝิ่น พระองค์ก็มีพระราชดำริให้นำผักผลไม้เมืองหนาวประเภทสตอเบอรี่ ผักกาดสีม่วงมาปลูกทดแทนพื้นที่ปลูกฝิ่นไร่ฝิ่นค่อยๆ เลือนหายจากดอย เพราะชาวไทยภูเขาบนดอยยินดีน้อมรับพระราชดำริ หันมาปลูกผัก ผลไม้เมืองหนาว ปัจจุบันยอดดอยกลายเป็นสวนธรรมชาติที่สวยงามตา กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญทางภาคเหนือ พืชผักโครงการหลวงก็เป็นที่นิยมของผู้บริโภคทุกระดับชั้น
แม้ต้องใช้เวลานับสิบปี แต่พระองค์ทรงรอคอยให้วิถีชีวิตของชาวไทยภูเขาค่อยเปลี่ยนไปสู่ทิศทางที่งดงาม มีคุณค่า โดยไม่ต้องมีมาตราการบังคับปราบปรามให้พวกเขาเลิกปลูกฝิ่น
รอยพระบาทที่เสด็จขึ้นเขาลงห้วย เสด็จพระราชดำเนินไปตามภูมิภาคต่างๆ ที่ราษฎรผู้ยากไร้อาศัยอยู่ตลอดกว่า 60 ปี เพื่อหาวิธีการขจัดความยากจน พัฒนาแหล่งน้ำให้เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูก หากนำเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินมาเรียงติดต่อกัน คงเป็นเส้นทางที่ยาวไกลที่สุดในโลก ถนนราชดำเนินแห่งพระมหากรุณาธิคุณ
ครั้งหนึ่งสมัยที่ยังมีเหตุการณ์ก่อการร้าย คอมมิวนิสต์รุนแรง ถึงขนาดประกาศปิดป่า ปิดสวนยางพาราไม่ให้ราษฎรผ่านเข้าออก แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราราชินีนาถ ก็ยังเสด็จเยี่ยมประชาชน ติดตามความคืบหน้าโครงการพระราชดำริป่าพรุ หาหนทางระบายน้ำออกจากพรุ เพื่อให้ราษฎรได้ใช้พื้นที่ทำกินได้ โดยไม่ทรงหวั่นไหวต่อภัยอันตราย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงงานกระทั่งมืดค่ำ จึงได้เสด็จพระราชดำเนินกลับพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จังหวัดนราธิวาส
ตลอดริมสองข้างทางเสด็จพระราชดำเนินกลับ ราษฎรทั้งชาวไทยพุทธและมุสลิม ต่างพร้อมใจกันเข้าแถวส่งเสด็จยาวเหยียดจนถึงพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ พร้อมไฟฉายตะเกียงส่องทางใจทุกดวง ต่างเป็นห่วง “รายอ” โซ่มือมนุษย์ที่คล้องเรียงกันเป็นถนนส่องสว่าง ถวายอารักขา “รายอ” ในคืนนั้น แสดงออกถึงความจงรักภักดีจากใจที่ไม่มีผู้ใดร้องขอ เป็นคืนประวัติศาสตร์มืดมิด แต่ทว่าเจิดจ้าตรึงตรา อยู่ในใจของเจ้าฟ้าและข้าแผ่นดิน ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขเคียงกันอย่างไม่มีวันลืม
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงแสดงให้เห็นประจักษ์ใจว่าองค์พระประมุข ผู้นำประเทศนั้นต้องอยู่ในฐานะของผู้ให้ ให้ความอาษารักคุ้มครองประชาชน เป็นมิ่งขวัญกำลังใจโดยมิหวั่นไหวต่อภัยร้ายใดๆ เสียสละประโยชน์สุขส่วนตน เพื่อประโยชน์สุขส่วนรวม นำความพร้อมที่ทรงมีทั้งพระราชอำนาจ พระราชทรัพย์ ออกเสียสละเพื่อพัฒนาประเทศ
ครั้งใดทรงเรียกข้าราชบริพาร เจ้าหน้าที่บ้านเมืองทุกฝ่าย เข้าเฝ้ากราบบังคมทูลเรื่องการพัฒนาประเทศ ทุกคนทุกฝ่ายก็พร้อมใจกัน ถวายความคิดเห็น ถวายความรู้ความสามารถอย่างเต็มกำลังด้วยความเต็มใจยิ่ง
นี่ก็เป็นผลมาจากพระองค์ทรงไว้ซึ่งทศพิชราชธรรมครองแผ่นดินโดยเฉพาะคุณธรรม ข้อจาคะ ความเสียสละ และสัจจะจริงใจตรัสอย่างไรทรงทำอย่างนั้น ตรัสแต่ความจริงที่เกิดประโยชน์สุขเท่านั้น เมื่อถึงคราวมีพระราชดำรัสตรัสสั่งจึงทรงฤทธิ์สิทธศักดิ์ ประชาชนทุกผ่ายน้อมรับทั้งแผ่นดิน
บทสารคดี รัตนวนาลี
04/05/57