ศีล คือ อะไร

วันที่ 10 มีค. พ.ศ.2558

 

ศีล คือ อะไร

ศีลกับเป้าหมายชีวิต
     เป้าหมายชีวิตของสรรพสัตว์ทั้งหลายนั้น มีอยู่ด้วยกัน 3 ระดับ (ดังที่กล่าวมาแล้ว) คือ เป้าหมาย บนดิน (ปัจจุบันชาติ) เป้าหมายบนฟ้า (ภพชาติเบื้องหน้า) และเป้าหมายเหนือฟ้าหรือเป้าหมายสูงสุด (พระนิพพาน)

เป้าหมายบนดิน คือ การดำเนินชีวิตที่มีความสุขมีความสงบไม่เดือดร้อนเป็นทุกข์กายหรือทุกข์ใจ

เป้าหมายบนฟ้า คือ การได้บังเกิดในสุคติโลกสวรรค์หรืออย่างน้อยได้เกิดมาเป็นมนุษย์อีกครั้งไม่ต้องพลัดตกไปสู่อบาย คือเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย หรือ สัตว์เดรัจฉาน

 เป้าหมายเหนือฟ้า คือ การกำจัดกิเลสอาสวะ เพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน

     การจะบรรลุถึงเป้าหมายทั้งสามระดับได้นั้นสิ่งที่ต้องกระทำเป็นอับดับแรก คือต้องทำทานเพราะทานเป็นเหตุให้ได้ทรัพย์สมบัติซึ่งเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตให้มีความสุขสบายดังที่ได้ศึกษาในบทที่ผ่านมาซึ่งในบทนี้จะกล่าวถึงเรื่องศีลกับเป้าหมายชีวิตทั้ง 3 ระดับเพื่อให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับเป้าหมายชีวิตให้มากขึ้นไปเป็นลำดับ
 

ศีลกับเป้าหมายบนดิน

     เมื่อมีสมบัติไว้หล่อเลี้ยงกายสิ่งที่จำเป็นต้องได้ถัดมา คือ การมีชีวิตที่สงบสุข ปราศจากทุกข์โทษภัยหรือการเบียดเบียนกันซึ่งสิ่งที่จะเป็นเครื่องป้องกันมิให้คนในสังคมเบียดเบียนกันก็คือศีลนั่นเองเพราะศีลเป็นเครื่องควบคุมกายวาจาของคนให้เรียบร้อยทำให้ไม่มีการเบียดเบียนชีวิตและทรัพย์สินซึ่งกันและกันดังนั้นเพื่อความสุขและความปลอดภัยแต่ละคนจะต้องรักษาศีลของตนเองไว้ให้มั่นคง
 

ศีลกับเป้าหมายบนฟ้า

      นอกจากศีลจะเป็นเครื่องควบคุมความประพฤติของคนในสังคมให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขแล้วศีลยังเป็นหลักประกันที่จะทำให้ไม่ต้องตกไปสู่อบายหรืออย่างน้อยก็ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ที่มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์ แข็งแรงมีอายุขัยยืนยาวเพราะว่าไม่ได้ไปเบียดเบียนทำร้ายใครจึงทำให้ได้ร่างกายที่เหมาะสมสำหรับทำความดีและยังสามารถใช้ทรัพย์ที่มีให้เกิดประโยชน์ได้อย่างเต็มที่อีกด้วย
 

ศีลกับเป้าหมายเหนือฟ้า

     การรักษาศีลไม่เพียงเป็นเหตุให้ได้บรรลุเป้าหมายของชีวิตในภพชาตินี้ คือการมีชีวิตที่สงบสุขปราศจากทุกข์โทษภัยใดๆ หรือบรรลุเป้าหมายในภพชาติเบื้องหน้าคือการได้เกิดในสุคติโลกสวรรค์เท่านั้นแต่ศีลยังเป็นพื้นฐานของการพัฒนาคุณธรรมทั้งหลายของมนุษย์ประดุจแผ่นดินเป็นที่รองรับของการงานทั้งปวงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในปฐมพลกรณียสูตรว่า

    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลายการงานที่บุคคลต้องทำด้วยกำลังอย่างใดอย่างหนึ่งเขาอาศัยแผ่นดินยืนอยู่บนแผ่นดินทั้งนั้นจึงจะทำได้การงานที่ต้องทำเหล่านี้เขาย่อมทำด้วยอาการอย่างนี้แม้ฉันใดภิกษุอบรมอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ 8 ทำให้มากซึ่งอริยมรรคมีองค์  8 ก็อาศัยศีลตั้งอยู่ในศีลฉันนั้นŽนอกจากนั้นศีลก็ยังเป็นพื้นฐานในการพัฒนาคุณธรรมเบื้องสูงคือสมาธิและปัญญา ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ใน ภิกขุสูตรว่า"

     ”ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอจงทำเหตุเบื้องต้นแห่งกุศลธรรมให้บริสุทธิ์ก่อนเหตุเบื้องต้นของกุศลธรรม คือ ศีลที่บริสุทธิ์ดี และความเห็นตรงเมื่อใดศีลของเธอบริสุทธิ์ดีแล้วและความเห็นของเธอก็ตรงดีแล้วเมื่อนั้นเธออาศัยศีลตั้งอยู่ในศีลแล้วจงเจริญสติปัฏฐาน 4 (วิปัสสนา) ต่อไป

     "ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเมื่อใดเธออาศัยศีลและตั้งอยู่ในศีลแล้วจะเจริญสติปัฏฐาน 4 เหล่านี้ โดย 3 ส่วนอย่างนี้เมื่อนั้นเธอพึงหวังความเจริญในกุศลธรรมทั้งหลายอย่างเดียวตลอดคืนหรือวันอันจะมาถึงเธอจะไม่มีความเสื่อมเลยŽ”

     เมื่อเห็นความสำคัญของศีลเช่นนี้จึงควรที่จะศึกษาเรื่องศีลให้ถ่องแท้จนเกิดความเข้าใจและสามารถรักษาศีลได้อย่างถูกต้องมีความสุขความยินดีเต็มใจที่จะรักษาทั้งนี้เพื่อให้ได้รับประโยชน์อันสูงค่าจากที่เรารักษาศีลได้อย่างบริบูรณ์ดังธรรมภาษิตของท่านพระสีลวเถระในสีลวเถรถาคาว่า

    “ท่านทั้งหลายพึงศึกษาศีลในศาสนานี้ด้วยว่าศีลอันบุคคลศึกษาดีแล้วสั่งสมดีแล้วย่อมนำสมบัติทั้งปวงมาให้ในโลกนี้ นักปราชญ์เมื่อปรารถนาความสุข 3 ประการ คือ ความสรรเสริญการได้ความปลื้มใจและความบันเทิงในสวรรค์เมื่อละไปแล้วพึงรักษาศีลด้วยว่าผู้มีศีลมีความสำรวมย่อมได้มิตรมากส่วนผู้ทุศีลประพฤติแต่กรรมอันลามกย่อมแตกจากมิตรนรชนผู้ทุศีลย่อมได้รับการติเตียนและการเสียชื่อเสียงส่วนผู้มีศีลย่อมได้รับการสรรเสริญและชื่อเสียงทุกเมื่อ

     ศีล เป็น เบื้องต้น เป็นที่ตั้ง เป็นบ่อเกิดแห่งคุณความดีทั้งหลายและเป็นประธานแห่งธรรมทั้งปวงเพราะฉะนั้นพึงชำระศีลให้บริสุทธิ์สังวรศีลเป็นเครื่องกั้นความทุจริตทำจิตให้ร่าเริงเป็นท่าที่หยั่งลงมหาสมุทรคือนิพพานของพระพุทธเจ้าทั้งปวงเพราะฉะนั้นพึงชำระศีลให้บริสุทธิ

     ศีล เป็น กำลังหาที่เปรียบมิได้ เป็นอาวุธอย่างสูงสุดเป็นอาภรณ์อันประเสริฐเป็นเกราะอันน่าอัศจรรย์ศีลเป็นสะพานเป็นมหาอำนาจเป็นกลิ่นหอมอย่างยอดเยี่ยมเป็นเครื่องลูบไล้อันประเสริฐบุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ย่อมหอมฟุ้งไปทั่วทุกทิศ

     ศีล เป็น เสบียงอันเลิศเป็นเสบียงเดินทางชั้นเยี่ยมเป็นพาหนะอันประเสริฐยิ่งนักเป็นเครื่องหอมฟุ้งไปทั่วทิศานุทิศคนพาลผู้มีจิตไม่ตั้งมั่นในศีลย่อมได้รับการนินทาในเวลาที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้เมื่อตายไปแล้วย่อมได้รับทุกข์โทมนัสในอบายภูมิย่อมได้รับทุกข์โทมนัสในที่ทั่วไป

     ธีรชนผู้มีจิตตั้งมั่นด้วยดีในศีลย่อมได้รับการสรรเสริญในเวลาที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ครั้นตายไปแล้วก็ได้รับความสุขโสมนัสในสวรรค์ ย่อมรื่นเริงใจในที่ทุกสถานในโลกนี้

     " ศีลเท่านั้นเป็นยอดและผู้มีปัญญาเป็นผู้สูงสุดในโลกนี้ความชนะใน มนุษยโลก และเทวโลก ย่อมมีได้เพราะศีลและปัญญา”

Ž
คำแปลและความหมายคำว่า ศีล นั้นมีคำแปลและความหมายดังต่อไปนี้คือ

1. ศีล มาจากคำว่า ”สิระŽ” ซึ่งแปลว่า ศีรษะ หรือ ยอดเพราะผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นยอดคนนั้นแท้จริงไม่ได้อยู่ที่การมีทรัพย์สิน อำนาจความรู้หรือความสามารถเหนือกว่าผู้อื่นหากแต่อยู่ที่ความบริสุทธิ์ของศีลซึ่งเป็นที่ยอมรับยกย่องของเหล่าบัณฑิตว่าผู้มีศีลย่อมประเสริฐที่สุด

2. ศีล มาจากคำว่า “สีละŽ” ซึ่งแปลว่า ปกติ เพราะปกติของคนเรานั้นย่อมรักชีวิตของตนและเห็นคุณค่าชีวิตของคนอื่น เมื่อมีความรู้สึกเช่นนี้จึงยินดีในการรักษาศีลเพราะไม่ปรารถนาจะเบียดเบียนซึ่งกันและกันการรักษาศีลจึงเป็นการนำไปสู่ความเป็นคนที่ปกติสมบูรณ์

3. ศีล มาจากคำว่า “สีตะละŽ” ซึ่งแปลว่าเย็นเพราะผู้ที่รักษาศีลจะมีความเย็นกาย เย็นใจ ดุจดังบุคคลผู้อาบน้ำชำระกายหมดจดดีแล้ว นั่งพักอยู่ ณ ร่มไม้ใหญ่ ความสงบเยือกเย็นนี้ แม้ผู้ที่อยู่ใกล้ก็จะรู้สึกปลอดภัยเย็นใจไปด้วย

4. ศีล มาจากคำว่า “สิวะŽ” ซึ่งแปลว่า ปลอดโปร่ง เพราะผู้ที่รักษาศีลย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่ว่าจะนึกถึงการกระทำของตนเรื่องใดก็ไม่มีสิ่งใดเป็นโทษไม่มีสิ่งใดเดือดร้อนกังวลใจจึงมีชีวิตที่ปลอดโปร่งโล่งใจและปลอดจากเวรภัยทั้งหลาย

     ดังนั้น ศีล จึงเป็นคุณธรรมที่ทำให้เข้าถึงความเป็นยอดคนเป็นบุคคลผู้สมบูรณ์แบบมีความเป็นปกติเป็นผู้ที่เย็นกายเย็นใจและมีชีวิตที่ปลอดโปร่งปลอดภัยอยู่เสมอสำหรับความหมายที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรคนั้นพระสารีบุตรเถระได้กล่าวไว้ว่า 

ศีล คือ “ เจตนาŽ” ความตั้งใจที่จะงดเว้นจากกายทุจริต 3 (ไม่ฆ่าสัตว์, ไม่ลักทรัพย์, ไม่ประพฤติ ผิดในกาม) และวจีทุจริต 4 (ไม่พูดเท็จ, ไม่พูดคำหยาบ, ไม่พูดส่อเสียด, ไม่พูดเพ้อเจ้อ)

ศีล คือ “ เจตสิกŽ” หมายถึงการงดเว้นจากมโนทุจริต 3 (ความโลภอยากได้ของผู้อื่น, มีจิตคิดพยาบาท, มีความเห็นผิด)

ศีล คือ ความสำรวมระวังŽ ปิดกั้นความชั่ว

ศีล คือ การไม่ล่วงละเมิดข้อห้ามŽ

แม้ศีลจะมีหลายความหมาย แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เจตนา ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า 

ศีล คือ ความตั้งใจ ที่จะงดเว้นจากความชั่ว ความทุจริต สิ่งที่ไม่ดีทุกประการ

     การรักษาศีล จึงเป็นบุญกิริยาวัตถุ คือวิธีการทำบุญอย่างหนึ่งเพราะทุกครั้งที่เราตั้งใจงดเว้นจากความชั่วตั้งใจที่จะไม่เบียดเบียนใครย่อมจะเกิดกระแสแห่งความดีเกิดความเมตตาขึ้นมาในใจที่เราเรียกว่ากระแสบุญอันเป็นเครื่องชำระจิตใจของเราให้สะอาดบริสุทธิ์การรักษาศีลจึงเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตและจิตใจให้บริสุทธิ์ดีงามยิ่งขึ้น

     นอกจากนี้ศีลยังเป็นคุณธรรมอันงามด้วยคุณลักษณะ 2 ประการ คือ เป็นคุณธรรมที่รักษา กาย วาจา ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยและเป็นคุณธรรมอันจะนำไปสู่กุศลธรรมเบื้องสูง คือ สมาธิ และปัญญา 

 

 

จากหนังสือ DOU
วิชา SB 101 วิถีชาวพุทธ

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0011885166168213 Mins