รับมือกับโรคร้าย

วันที่ 29 กค. พ.ศ.2558

 

รับมือกับโรคร้าย


                เราทุกคนล้วนต้องเกิดแก่เจ็บตาย แต่ในโลกปัจจุบันทำให้เรายุ่งวุ่นวายจนลืมไปว่า สักวันหนึ่งเราเองก็ต้องเจ็บป่วยแล้วตายลง ปัจจุบันโรคร้ายที่เราต้องเผชิญนั้นมีมากมาย ด้วยความประมาทของมนุษย์ เมื่อโรคร้ายยังมาไม่ถึงตัว ก็ยังไม่มีใครนึกถึง และเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับมัน แล้วใครบ้างล่ะที่จะรู้ว่าสักวันคนที่จะต้องพบเจอกับโรคร้ายเหล่านั้นก็คือตัวของเราเอง


เตรียมพร้อมรับมือกับโรคร้าย
                นอกจากการรักษาทางการแพทย์แล้ว จิตใจที่เข้มแข็งมีส่วนสำคัญที่จะทำให้เรามีกำลังใจที่จะต่อสู้กับโรคร้าย และผ่านพ้นมั้นไปได้ เมื่อถึงคราวที่เราต้องเผชิญหน้ากับโรคร้ายทั้งหลาย เราต้องเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับมัน ก่อนอื่นให้เราอย่าตกใจ อย่าเศร้าใจและวิตกกังวลจนเกินไป คนทั่วไป พอรู้ว่าตนเองเป็นโรคร้ายก็อดที่จะเกิดอาการวิตกกังวลต่างๆนานาไม่ได้ ก่อนอื่นให้เรานึกถามตัวเองก่อนสิว่ามีใครที่ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายบ้าง ความจริงคือ ทุกคนต้องตาย
เพราะฉะนั้นอาการเจ็บป่วยที่เรากำลังเผชิญ ก็คืออาการที่เราจะต้องเจออยู่แล้วในวันใดวันหนึ่ง ต่างตรงที่เร็วหรือช้าเท่านั้น เราต้องยอมรับความจริงข้อนี้ให้ได้ก่อน


ธรรมะขจัดความกังวล
            สำหรับคนที่ยังไม่เข้าใจวงจรชีวิต หากยังไม่ถึงคราวเจ็บไข้ได้ป่วยก็มักจะใช้ชีวิตแบบสนุกสนานไปวันๆ มัวเพลิดเพลินมุ่งหมายเอาแต่เรื่องเฉพาะหน้า แสวงหา ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หมกมุ่นอยู่กับชีวิตปัจจุบันเท่านั้น พอจู่ๆโรคภัยไข้เจ็บถามหาก็ตกใจ รู้ว่าสิ่งที่ตนเองแสวงหามาทั้งชีวิตกำลังจะหลุดลอยไป  ให้ลองตรองตามดูว่า ถ้าเราป่วยหนักแล้วสุดท้ายเราต้องตาย ทรัพย์สมบัติที่เราหามาได้ทั้งหมดก็ไม่ได้เป็นของเราแล้ว ยศถาบรรดาศักดิ์หรือตำแหน่งใหญ่โต ทั้งหลายก็ไม่ใช่ของเราอีกต่อไป สารพัดสิ่งที่เคยแสวงหา ทั้งชื่อเสียง ความยอมรับนับถือจากผู้คนรอบข้าง มันก็ไม่ใช่ของเราแล้วเช่นกัน


            ความเพลิดเพลินในกามคุณทั้ง 5 คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ก็ไม่ใช่ของเราอีกต่อไป ไม่ต้องรอให้ถึงตอนตายไปแล้วหรอกแค่ตอนเจ็บหนักรู้ว่าไม่รอดแน่ จะไปกินไปเที่ยวก็ไม่ได้แล้ว จะเกิดความรู้สึกว่าโลกทั้งใบกำลังพังทลายลงตรงหน้า และทันทีที่เรา ต้องจากโลกนี้ไปสู่โลกใหม่ เราไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่าจะมีอะไรรออยู่ข้างหน้าบ้าง จึงทั้งตกใจ เศร้าใจ กลัดกลุ้ม วิตกกังวลไปต่างๆ นานา ความรู้สึกเหล่านี้ยิ่งจะเป็นการซ้ำเติมอาการเจ็บป่วยให้หนักขึ้น


            คนที่เข้าใจความจริงของชีวิตว่า อย่างไรเสียเราก็ต้องเผชิญกับความเจ็บความตายหนีไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด ไม่ว่าอนาคตจะไปเกิดที่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับบุญบาปที่เราทำเอาไว้ รู้อย่างนี้แล้วก่อนจะเจ็บไข้ได้ป่วย ก็ควรหมั่นสร้างบุญสร้างกุศลไว้ให้มาก  คนที่สร้างบุญสร้างกุศลเอาไว้มากเมื่อถึงคราวเจ็บป่วยก็จะไม่ค่อยตกใจหนัก เพราะมั่นใจหนักว่าถึงหลับตาลาโลกไปแล้ว ตนก็ไปสู่ภพภูมิที่ดีงาม ยกตัวอย่าง ถ้าให้เราปิดตาเดินก็จะรู้สึกหวาดเสียว เพราะเราไม่รู้เส้นทางว่ามีหลุมมีร่อง หรือข้างหน้าจะเป็นเหวหรือเปล่า จึงเกิดความหวาดกลัว
            ในทางกลับกัน ถ้าเรามองเห็นทางแล้วค่อยๆเดินไปข้างหน้า แม้ว่าทางจะยาวไกลแต่เรารู้ว่าเส้นทางข้างหน้าเป็นอย่างไร มีแผนที่เดินทางชัดเจน เราจะไม่รู้สึกกลัวหรือเป็นกังวล เหมือนกับคนที่รู้หลักความจริงของชีวิต รู้ว่าเส้นทางในภพหน้ามีอะไรรอเราอยู่บ้าง เราก็จะไม่วิตกกังวลเพราะรู้ว่าต้องเตรียมตัวอย่างไร 


            คนที่ก่อนหน้านี้ยังไม่รู้หลักความจริงของชีวิต ก็ให้เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส พอถึงคราวเจ็บไข้ได้ป่วยก็ให้เอาสิ่งนี้เป็นเครื่องเตือนใจ ตนที่เคยเพลิดเพลินกับชีวิต กระตุ้นให้ได้คิดแล้วย้อนกลับมาดูว่าชีวิตคนเราสั้นมาก ประเดี๋ยวก็เจ็บ ประเดี๋ยวก็แก่ ประเดี๋ยวก็ตาย ชีวิตเราไม่ได้ยั่งยืนคู่โลกคู่ฟ้า เพราะฉะนั้นถึงเวลาแล้วที่เรา ควรมาตั้งใจสร้างบุญสร้างกุศลกันดีกว่า
ฟื้นฟูอาการป่วยด้วยผลบุญหล่อเลี้ยงใจ การฟื้นฟูอาการป่วยทางใจที่เกิดจากความวิตกกังวลที่ต้องเผชิญกับโรคร้ายนั้น ต้องเข้าใจก่อนว่าใจของคนเราถ้าสงบนิ่งมีกระแสบุญหล่อเลี้ยง ใจก็จะผ่องใส แต่ถ้าเกิดความวิตกกังวลกระสับกระส่าย ใจเราก็จะเศร้าหมอง
            การแก้ไม่ให้ใจกระวนกระวาย ให้เอาใจเราไปผูกกับพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตั้งใจสวดมนต์นั่งสมาธิ แล้วสร้างบุญสร้างกุศล เมื่อใจอยู่กับบุญความวิตกกังวลก็จะลดลง  ถ้ามีอาการเจ็บป่วยถึงขั้นทุกข์ทรมาน จนกระทั่งควบคุมจิตใจตนเองไม่ได้ จะให้นั่งสมาธิระลึกนึกถึงพระรัตนตรัยอย่างไร ก็นึกไม่ออก ให้เราหาตัวช่วยคือ เปิดเทปเสียงสวดมนต์ เสียงนำนั่งสมาธิ หรือเทศนาธรรมต่างๆ ฟัง เพื่อเป็นเครื่องช่วยให้เราระลึกนึกถึงพระรัตนตรัยได้ดีขึ้น ฟังแล้วก็ให้ทำสมาธิเอาใจจดจ่อ ตามไปด้วย แล้วพยายามตัดความรู้สึกทางกายออกไป ถ้าเราเอาใจออกห่างจากอาการเจ็บป่วย ความเจ็บปวดต่างๆ ก็จะทุเลาเบาบางลงได้


หลักสำคัญสำหรับคนเยี่ยมไข้
            คนเยี่ยมไข้บางคนไปเยี่ยมเพราะว่าถือว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ เป็นมารยาททางสังคมเท่านั้น คิดว่า ถ้าไม่ไปเยี่ยมเขาจะหาว่าเราไม่มีน้ำใจ พอไปเยี่ยมก็เอาแต่ชวนคนไข้คุยเรื่องราวตลกโปกฮาไปเรื่อยเปื่อย เหมือนกับว่าจะเป็นการสร้างความเฮฮาให้คนไข้รู้สึกดีขึ้น แต่จริงๆแล้วไม่ใช่สาระเลย

 

             คนไปเยี่ยมไข้ที่ดีควรจะส่งเสริมให้คนไข้ระลึกถึงบุญ ทันทีที่ไปถึงก็บอกเลย “ เมื่อวานไปทำบุญมานะ เอาบุญมาฝาก ” เอาภาพถ่ายติดไม้ติดมือไปให้คนไข้ได้ดูว่าเราไปทำบุญอะไรมาบ้างไปถวายภัตตาหารพระสงฆ์ สวดมนต์ นั่งสมาธิ ปล่อยนกปล่อยปลา บอกเล่าให้คนไข้ได้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น หรือจะบันทึกภาพเคลื่อนไหวลงโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเลตก็สะดวก พอเรามาเปิดภาพเหล่านี้ให้คนไข้ดูใจของเขาก็จะเกาะอยู่กับบุญ


ข้อคิดสำหรับผู้ป่วย
            ถ้าเราเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วไม่โวยวาย ไม่ตีโพยตีพายจนทำให้คนรอบข้างพลอยทุกข์ร้อนใจไปด้วยก็ถือว่าการอดทนนี้เป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ได้หมายความว่าป่วยไข้แล้วจะไม่บอกใคร เมื่อเกิดความเจ็บป่วยขึ้นกับตัวเองแล้วเราก็ควรบอกให้คนรอบข้างรู้ด้วย เขาจะได้ปฏิบัติกับเราได้อย่างถูกต้อง ถ้าเรารู้ตัวว่าเราป่วยแล้วก็ควรทำตนเป็นคนป่วยที่ยิ้มแย้มแจ่มใส สร้างกำลังใจให้เข้มแข็ง อย่างนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง คนใกล้ชิดก็เช่นกัน ควรพูดแต่ในทางที่ดี พูดแต่ในทางบวกให้คนไข้เกิดอารมณ์ เบิกบานใจ ไม่เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟาย หรือนำความเสียใจไปเยี่ยมไข้
             ทั้งสองฝ่ายจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง มองให้เห็นถึงหลักความจริงของชีวิต แล้วหาวิธีกระตุ้นให้ใจเป็นบุญเป็นกุศล ให้ใจนึกถึงสิ่งที่เบิกบานผ่องใส ไม่เศร้าหมอง


รักษาใจด้วยสมาธิ
             ในกรณีที่ยังไม่รู้ว่าในอนาคตจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเราบ้างก็ให้เตรียมตัวเตรียมใจพร้อมรับมือกับสิ่งต่างๆ ที่กำลังจะมาถึง ใครที่กำลังคิดว่าตอนนี้เราอายุยังน้อย งานยุ่งไม่มีเวลา เอาไว้แก่ก่อนถึงค่อยสวดมนต์ นั่งสมาธิ เข้าวัดปฏิบัติธรรม บางคนคิดผิดถึงขั้นว่าจะรอให้ตนเองป่วยหนักนอนอยู่บนเตียง ทำอะไรไม่ได้ก่อนแล้วค่อยสวดมนต์ นั่งสมาธิให้เต็มที่เลย เวลาป่วยไข้ขึ้นมาจริงๆ มันเจ็บปวดทรมานเพราะทุกขเวทนาบีบคั้น พอถึงตอนนั้นจะให้นึกถึงพระรัตนตรัยไม่ใช่ของง่ายเลย คนที่จะทำได้ดีคือคนที่เมื่อก่อนตอนร่างกายอยู่ในภาวะปกติ ตั้งใจสวดมนต์นั่งสมาธิ สร้างบุญสร้างกุศล ฝึกให้ใจผ่องใสอยู่เนืองนิตย์ ถ้าทำอย่างนี้เป็นประจำจนใจคุ้นเคยแล้ว เมื่อทุกขเวทนามาถึงเราจึงจะพอรับมือได้


             ลองนึกเปรียบเทียบกับทหารที่เกี่ยงการฝึก รอให้ข้าศึกบุกมาก่อนถึงจะรบ พอถึงเวลาข้าศึกบุกมาจริงๆ เขาจ่อปืนยิงกระสุนใส่ปัง ปัง ปัง ไม่ทันให้เราได้ตั้งตัว แล้วเราจะเอาเวลาที่ไหนไปฝึกรบ เพราะฉะนั้น “ ถ้าหวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ ” ไม่ว่าข้าศึกจะบุกมาเมื่อใดเราก็สามารถรับมือได้ ในยามสงบ ขณะที่เรายังแข็งแรงอยู่ให้รีบฝึกเตรียมตัวเองไว้ให้พร้อม ทันทีที่ข้าศึกคือโรคภัยไข้เจ็บจู่โจมมาเมื่อใด เราจะได้มีความแคล่วคล่อง ชำนาญในการรักษาใจของเราให้สามารถรับมือได้

 

---------------------------------------------------------------------

หนังสือ " รู้ทันชีวิต " 
ธรรมะขัดเกลานิสัย สร้างสุขภาพที่ดี ให้ร่างกายพร้อมสร้างบารมีต่อไป
โดย พระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.040569599469503 Mins