สื่อ
สื่อเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อการชี้นำสังคม ดังที่มีบางท่านถึงกับกล่าวว่า ถ้าสื่อดีสีงคมก็ดี แต่ถ้าหากไปถามคนทำสื่อเขาก็จะบอกว่า ถ้าสังคมดีสื่อก็จะดี หากสังคมยังไม่ดีแล้วจะให้สื่อดีได้อย่างไร เพราะสื่อก็เป็นธุรกิจประเภทหนึ่ง ซึ่งต้องเลี้ยงตัวให้ได้ สังคมชอบอะไรสื่อก็ต้องตอบสนอง เมื่อสังคมชอบเรื่องที่เร้าใจ เรื่องที่ตื่นเต้น เรื่องที่มีกิเลสนำหน้าไม่ว่าจะเป็นตระกูล ราคะ โทสะ โมหะ เมื่อสังคมชอบอย่างนี้ สื่อก็ต้องตอบสนอง เพื่อสื่อจะได้ขายได้ โฆษณาจะได้เข้า ถ้าสื่อขายไม่ออกโฆษณาไม่เข้า แล้วจะเอาเงินทุนที่ไหนมาผลิตสื่อต่อไป ต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผล
แต่ผลที่เกิดขึ้น คือ มีสื่อที่ใช้การตลาดนำหน้า เนื้อหาเต็มไปด้วยเรื่องที่เร้าอารมณ์ เกิดขึ้นท่วมบ้านท่วมเมือง แล้วผู้ใหญ่ก็มานั่งห่วงกันว่าเยาวชนไทย สังคมไทยเราจะไปทางไหนกันดี บางคนถึงกับถอดใจว่าคงแก้ไขไม่ได้แล้ว แต่เราคงไม่ยอมอย่างนั้น จะต้องหาทางช่วยกันกอบกู้สังคมไทยรวมถึงสังคมโลกให้ดีขึ้นมาให้ได้ โดยใช้หลักธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นประทีปส่องทาง
อาตมภาพขอเสนอวิธีการ 2 ประการ ในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้
ประการแรกคือ ขอให้มีสื่อทางเลือกที่ดี แม้ว่าส่วนใหญ่จะอ้างว่า กระแสสังคมเรียกร้องต้องการเรื่องราวที่ตื่นเต้นเร้าใจ เร้าอารมณ์ แต่ในความเป็นจริง ในหมู่ประชาชนก็มีความต้องการที่หลากหลาย คนที่ชอบแบบเร้าอารมณ์อาจเป็นคนกลุ่มใหญ่ แต่คนอีกส่วนหนึ่งที่ชอบสิ่งที่ดีงาม นำมาซึ่งความสงบสุขของสังคมก็มีอยู่ ถ้าปล่อยให้มีแต่สื่อที่ดึงไปในทางที่ต่ำ คนเหล้านี้เสพเข้าไปทุกวัน ๆ ก็มีสิทธิ์ที่ใจจะตกต่ำลงเหมือนกัน
ถ้าเรามีสื่อทางเลือกเป็นสื่อที่ดี สื่อสร้างสรรค์ สื่อสีขาว ยกใจผู้ที่รับชมให้สูงขึ้นสะอาดขึ้น สว่างขึ้น สงบขึ้น ก็จะเป็นมาตรการขั้นต้นเพื่อปกป้องรักษาคนดีที่มีอยู่เดิมเอาไว้ก่อน ให้เขามีช่องทางเลือกที่จะรับสื่อที่ดีงาม หากถามว่าสื่อสร้างสรรค์นี้จะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ก็คงต้องอาศัยผู้ที่เห็นคุณค่าของธรรมะ ผู้ที่ปรารถนาจะเห็นสังคมสงบร่มเย็น มาช่วยกันคนละไม้คนละมือ เท่าที่ศักยภาพแต่ละคนจะมี ช่วยกันสร้างสื่อสีขาวขึ้นมา ขณะนี้ สื่อ DMC ก็เป็นสื่อทางเลือกอันหนึ่งที่ช่วยได้อย่างดีเพียงแต่ขอให้เรามาช่วยกันพัฒนาคุณภาพให้ดียิ่งๆขึ้นไป แล้วขยายเครือข่ายให้กว้างขวางมากขึ้น เพราะ DMC นั้นเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น เปรียบเหมือนเด็กก็เพิ่งหัดเดิน จุดไหนควรพัฒนาอย่างไร ก็ขอให้ช่วยกันระดมความคิดสติปัญญา แล้วช่วยกันสนับสนุนคนละไม้คนละมือ DMC ก็จะเป็นสื่อทางเลือกที่นำความสว่างไสวมาสู่โลกได้
มีผลการวิจัยที่น่าสนใจคือ จากการสำรวจคนในวัยต่างๆ ตั้งแต่ประถม มัธยมต้น มัธยมปลาย มหาวิทยาลัย หนุ่มสาวในวัยทำงาน คนที่มีครอบครัว คนในอายุ 40 ปี และคนในช่วงอายุ 50 ปี ปรากฏว่าสิ่งที่น่าแปลกใจ คือ ผลการวิจัยบอกว่ากลุ่มคนในวัยเด็กโดยเฉพาะชั้นประถมและมัธยมต้น มีความเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ รักบุญกลัวบาปสูงที่สุด สูงกว่าวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ นี้แสดงว่าแท้จริงแล้วเยาวชนของเรามีจิตใจที่ดี ข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นเมื่อเขาโตเป็นวัยรุ่น หรือเป็นผู้ใหญ่นี่โทษใครไม่ได้เลย ต้องโทษผู้ใหญ่ในขณะนี้นั่นแหละว่า เราให้อะไรกับเด็ก ทำไมตอนเป็นเด็กเขามีจิตใจที่ดี แต่พอโตขึ้นกลับเปลี่ยนไปในทิศทางที่แย่ลงเราจะต้องมาทบทวนตนเอง พินิจพิจารณากันอย่างจริงจังว่า ปัญหานี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
เมื่อพิจารณาให้ดีแล้วจะพบว่า ปัญหาใหญ่อยู่ที่สื่อที่เด็กเสพนี่เอง ดังนั้นเราจึงต้องช่วยกัน เราจะเพิกเฉยดูดายต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ สร้างสื่อที่ดีเพื่อเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญในการสร้างสังคมที่ดีขึ้นให้ลูกหลานเราให้ได้ ให้เรามั่นใจได้ว่าลูกของเราเยาวชนไทย เยาวชนโลก จะต้องเติบใหญ่ขึ้นมาในสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่าเดิม เด็กแต่ละคนมีคุณธรรมในตัวเท่าใด เมื่อเติบใหญ่ได้เรียนรู้มากขึ้น เขาจะต้องเป็นผู้มีคุณธรรมหนักแน่นยิ่งขึ้น ถ้าทำได้อย่างนี้จึงจะถือว่าพวกเราซึ่งเป็นผู้ใหญ่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองแล้ว นี้ประการแรกต้องสร้างสื่อทางเลือกที่ดี
ประการที่สองเราจะต้องช่วยการสร้างเครือข่ายคนดี เพราะว่ามนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม มีเพื่อนมีฝูง แล้วเพื่อนฝูงคนที่เราคบหา จะมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการชักนำเราไปในทิศทางต่างๆ ดังคำโบราณที่ว่า คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล เราคงเคยได้ยินได้ฟังกันมาแล้วทั้งนั้น
ตรงประเด็นนี้อยากจะขอฝากคุณพ่อคุณแม่ผู้ใฟญ่ที่มีลูกหลานเอาไว้อย่างหนึ่งคือ มีผลการวิจัยออกมาอีกเช่นกันว่า การจะทำให้เยาวชนเป็นคนดี การอบรมปลูกฝังเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่มีผลไม่ยิ่งหย่อนกว่าการอบรมคือ สังคมของเด็ก เราจึงต้องสร้างสังคมที่ดีให้แก่เด็กด้วย มีตัวอย่างจริงคือ มีคุณพ่อคุณแม่บางคนปฏิบัติธรรมที่วัดทุกวันอาทิตย์อย่างสม่ำเสมอ และได้พาลูกมาด้วยทุกวันตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ พอเดินได้ก็พามาวัดแล้ว ขณะเดียวกันคอยสอนลูกให้สวดมนต์นั่งสมาธิทุกวัน ถือว่าอบรมปลูกฝังอย่างดีทีเดียว แต่พอเด็กโตขึ้นเข้ามหาวิทยาลัยกลับไม่ค่อยฟังคุณพ่อคุณแม่ จะชวนมาวัดก็เริ่มงอแง มาบ้างไม่มาบ้าง ถามว่ารักบุญไหม ก็ยังรักอยู่นะ แต่ว่าความแนบแน่น ก็ไม่ถึงกับขนาดที่พ่อแม่มุ่งหวัง เขาก็จะไปกับเพื่อนของเขา เพื่อนชวนไปเที่ยวไปช็อปปิ้ง ก็ไป ไปดูหนังก็ไป จนบางทีพ่อแม่เริ่มเป็นห่วงลูกว่า ลูกจะเสียหรือเปล่า ทั้งๆที่มาวัดตั้งแต่ยังเล็ก แต่พอโตเป็นวัยรุ่น พ่อแม่ยังต้องเป็นห่วงว่าจะออกนอกลู่นอกทาง เพราะเพื่อนดึงไป
แต่มีเด็กอีกส่วนหนึ่งที่มาวัดเหมือนกัน แต่เขาไม่ได้พึ่งการอบรมของพ่อแม่อย่างเดียว เพราะคุณพ่อคุณแม่ฉลาด ให้ลูกไปช่วยงานอาสาสมัครแผนกต่างๆด้วย ช่วยรับบุญ อยู่ฝ่ายสถานที่บ้าง ต้อนรับบ้าง ปฏิสันถาร โภชนาการ จราจร ฯลฯ ลูกชอบงานประเภทไหนก็ให้ไปช่วยงานประเภทนั้น พอไปช่วยเขาก็จะมีเพื่อนที่เป็นอาสาสมัครช่วยงานอยู่หน่วยเดียวกัน มีสังคมชาววัดของตนเอง เป็นเครือข่ายคนดีแม้โตขึ้น เพื่อนที่มาช่วยงานวัดด้วยกัน ก็จะชวนกันในทางดีโดยพ่อแม่ไม่ต้องกังวลใจ พ่อแม่ไม่ต้องเคี่ยวเข็ญเขาให้มาวัด เขามาของเขาเองเพราะเขารู้สึกว่ามีเพื่อนรออยู่ ไปถึงเขามีเพื่อนที่คุ้นเคยคุยกันถูกคอ รักบุญด้วยกัน คุยเรื่องธรรมะด้วยกัน แล้วก็ดึงกันไปดี นี่คือเครือข่ายคนดี ซึ่งมีอิทธิพลไม่น้อยไปกว่าการอบรมปลูกฝังของพ่อแม่เลย แต่คนจำนวนไม่น้อยลืมตรงนี้ แล้วมานั่งนึกเสียใจที่ลูกไม่ได้ดีดังที่ตั้งใจไว้
บางคนมาพบวัดมาเข้าชมรมพุทธตอนเข้ามาอยู่มหาวิทยาลัยแล้วใหม่ๆ ก็ไม่ได้มีศรัทธาอะไรมาก แต่เผอิญชมรมพุทธมีกิจกรรมมาก กำลังคนที่มีอยู่ไม่พอ สมาชิกชมรมจึงต้องไปชวนเพื่อนๆ คนที่รู้จักมาช่วยงาน เริ่มแรกคนที่ถูกชวนเขาอาจไม่มีศรัทธาอะไรมาก แต่พอมาช่วยงาน ช่วยไปช่วยมาก็สนิทกันกับชาวชมรมพุทธ ก็เลยมาวัดด้วยกันไปๆมาๆ ก็เลยอยู่ติดวัดไปเลย เป็นตัวอย่างชัดเจนว่าคนเราอยู่ในสังคมใดก็มีแนวโน้มจะเป็นไปอย่างนั้น
เราจึงจำเป็นต้องสร้างสังคมเครือข่ายคนดีให้เกิดขึ้นมากๆ คนดีจะได้มีเพื่อนมีพวก เสมือนเป็นฐานทัพ เป็นเกราะกำบัง ไม่ให้ถูกกระแสของกิเลสดึงจนกระทั่งตกไปสู่ที่ต่ำ ช่วงแรกๆ อาจจะสร้างยากหน่อย แต่ก็ไม่เกินกำลัง ถ้ารู้ความสำคัญตรงนี้ เริ่มจากที่ตัวเราเอง รู้จักใครให้หาหนทางชวนเขามาวัดปฏิบัติธรรมทำความดีด้วยกัน เราจะได้มีเพื่อนพ้องที่เป็นคนดีมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเราเป็นผู้บังคับบัญชาก็ต้องหากุศโลบายพาลูกน้องมาเข้าวัด สรุปก็คือใครอยู่ใกล้ตัวเราทั้ง 6 ทิศ คือทิศเบื้อบน เบื้องล่าง เบื้องซ้าย เบื้องขวา เบื้องหน้า เบื้องหลัง ต้องหาทางชวนมาเข้าวัด ไม่ได้ทั้งหมดก็เอาทีละส่วน แล้วค่อยๆทำไป จนกระทั่งรอบตัวเราเป็นคนดีทั้ง 6 ทิศเลย เมื่อได้อย่างนี้ตัวเราก็จะทำความดีได้ด้วยความปลอดโปร่ง สบายใจ ปลอดภัย
เหมือนคนเดินลุยน้ำ ทวนกระแสกิเลสไป อาจจะมีจังหวะที่พลาดท่าเสียทีไปตกหลุมตกร่องเข้าได้เหมือนกัน ถ้าคนไหนเดินไปเดี่ยวๆเวลาเสียหลัก ก็อาจเซถลาถูกน้ำคือกระแสกิเลสพัดพาไปเลย แต่ถ้ามีคนเดินไปด้วยกันเป็นทีมคอยประคับประคองกัน ก็พอรอดตัว เวลาเราเดินเสียหลักเพื่อนก็ช่วยพยุงไว้ ยิ่งถ้ามีคนคอยช่วยพยุงทั้ง 6 ทิศ ไม่ใช่แค่ซ้ายหรือขวา แต่ว่าทั้ง ซ้าย ขวา หน้า หลัง บน ล่าง เรียกว่าโอบกันรอบทิศอย่างนี้ละก็ไม่พลาดแน่นอน เส้นทางการทำความดีของเราจะมั่นคง ปลอดภัย เจริญรุ่งเรือง ดังนั้นเราต้อง สร้างเครือข่ายคนดี ให้เกิดขึ้นมาให้ได้ ถามว่าเพื่อใคร ตอบชัดเลยว่า เพื่อตัวเราเอง เพื่อครอบครัวของเรา ลูกหลานของเรา แล้วก็เพื่อสังคมทั้งมวล ทั้งในประเทศและสังคมโลก ก็จะดีขึ้นมาทั้งหมด
เมื่อมีคนดีเกิดขึ้นมามากๆ คนดีเหล่านี้ก็ต้องการบริโภคสื่อที่ดี สื่อที่ต้องตอบสนองต่อตลาดก็จะผลิตสื่อดีๆ มาตอบสนอง วงจรบวกก็เกิดขึ้น ทลายวงจรลบซึ่งคนชอบอ้างว่าสังคมต้องการเรื่องกิเลส สื่อจึงต้องผลิตเรื่องกิเลสมาตอบสนอง ก็ดึงกันลงต่ำไปเรื่อยๆ เราจะสวนกระแสหรืออาจเรียกว่าสร้างกระแสใหม่ขึ้นมาเป็นกระแสบวก ให้มีคนดีเกิดขึ้นมามากขึ้นๆ เครือข่ายคนดีขยายกว้างขึ้นๆ แล้วสื่อก็เริ่มตอบสนองกับคนดีเหล่านี้มากขึ้นๆ เป็นวงจรบวกเสริมสานซึ่งกันและกัน การชวนคนมาทำความดีก็จะง่ายขึ้นๆ สุดท้ายคนดีก็จะเต็มแผ่นดิน พวกเราทุกคนก็จะสร้างบารมีทำความดีได้อย่างสะดวกสบายลูกหลานเราก็จะเติบใหญ่ขึ้นมาในสังคมที่ดีงาม มีสื่อที่ดี เพื่อนฝูงดี ทุกอย่างก็ดีไปหมด เป็นสังคมในอุดมคติ ซึ่งจะเกิดขึ้นมาจากความร่วมแรงร่วมใจของพวกเราทุกคน จะต้องมาช่วยกัน ทำได้ถ้าได้ทำ แล้วก็ทำจริง เพราะตอนนี้พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย ท่านได้นำหน้าเป็นแบบอย่างให้เรา โดยท่านลงสอนธรรมะทุกคืน ออกสื่อไปทั่วโลกขอให้เราทุกคนร่วมมือกับท่าน สนับสนุนให้ DMC สื่อทางเลือกอันนี้เติบใหญ่ขึ้น มีคุณภาพขึ้น กว้างขวางยิ่งขึ้น แล้วก็ช่วยกันสร้างเครือข่ายคนดี ขยายผู้ที่รักบุญรักความดี ให้มากขึ้นไปเรื่อยๆ ตามมโนปณิธาน ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ขอให้ช่วยกันเถิด ทำความตั้งใจนี้ให้สำเร็จ
----------------------------------------------------------------------------------
หนังสือ " ทันโลกทันธรรม 1 "
พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ