ความคิดและอารมณ์...อิทธิพลต่อชีวิต
ความคิดและอารมณ์มีอิทธิพลต่อชีวิตคนเราอย่างมาก นับตั้งแต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงเรื่องของความสำเร็จหรือความล้มเหลวในชีวิตเลยทีเดียว ดังเรื่องราวที่เกิดขึ้นในครั้งพุทธกาล
นางปฏาจาราเป็นลูกสาวเศรษฐีแห่งเมืองสาวัตถี เมื่อเจริญวัยขึ้นมาก็ลักลอบได้เสียกับคนรับใช้ในบ้าน ต่อมาเมื่อเศรษฐีผู้เป็นบิดาได้จัดเตรียมงานแต่งให้กับนางและบุตรเศรษฐีที่หมั้นหมายกันไว้ เมื่อปฏาจารารู้ ก็รีบบอกชายคนรักให้พาหนีออกจากบ้าน ทั้งสองได้ไปอาศัยอยู่ ณ ชานเมืองแห่งหนึ่ง ต่อมา ปฏาจาราได้ตั้งครรภ์ นางตั้งใจว่าจะกลับไปคลอดลูกที่บ้านของบิดามารดาแต่ปรากฏว่านางได้คลอดลูกระหว่างเดินทาง จึงยังมิได้กลับไปเยี่ยมบ้าน
เมื่อตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง นางก็ตั้งใจจะกลับไปคลอดลูกที่บ้านของบิดามารดาให้ได้ แต่แล้วนางก็คลอดลูกระหว่างทางอีกเป็นครั้งที่ 2 ท่ามกลางพายุฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก สามีของนางจึงรีบไปหากิ่งไม้และใบไม้เพื่อจะนำมาทำที่กำบังฝน เคราะห์ร้ายเขาได้ถูกงูเห่ากัดตายในป่า ปฏาจารารออยู่นานไม่เห็นสามีกลับมา ครั้นฝนซานางจึงอุ้มลูกน้อยที่พึ่งคลอดไว้แนบอก แล้วจูงลูกคนโตออกเดินตามหาในที่สุดก็พบร่างของสามีนอนตายอยู่ แม้จะโศกเศร้าเพียงใดนางก็ต้องฝืน ทนพาลูกน้อยทั้งสองเดินทางต่อไป ด้วยหวังจะไปพึ่งบิดามารดา
เมื่อมาถึงริมฝั่งแม่น้ำที่เชี่ยวกราก เพราะฝนเพิ่งตกหนักเมื่อคืนที่ผ่านมา นางจำต้องให้ลูกคนโตรออยู่ที่ริมฝั่ง แล้วตนเองก็อุ้มลูกคนเล็กเดินฝ่ากระแสน้ำข้ามไปก่อน พอข้ามฟากไปได้ก็หาใบไม้มาปูพื้นแล้วนำทารกน้อยนอนบนที่นอนนั้น แล้วนางก็เดินฝ่ากระแสน้ำรีบมารับลูกคนโต มาถึงกลางลำน้ำก็เหลียวไปดูทารกน้อยด้วยความเป็นห่วงจึงได้เห็นเหยี่ยวตัวหนึ่งบินโฉบเอาลูกคนเล็กของนางไป ปฏาจาราตกใจมากรีบตบมือส่งเสียงร้องไล่เหยี่ยวฝ่ายลูกคนโตเห็นท่าทางของแม่ก็คิดว่าแม่เรียก จึงเดินลงน้ำมาและถูกกระแสน้ำพัดพาจมหายไป
ปฏาจาราต้องสูญเสียลูกทั้งสองคนไปต่อหน้าต่อตา ลูกคนหนึ่งถูกเหยี่ยวโฉบไปเป็นอาหาร ลูกอีกคนก็จมน้ำตาย นางโศกเศร้าหัวใจแทบสลาย พยายามพาร่างกายและจิตใจที่บอบช้ำกลับไปหาบิดามารดา แต่แล้วเมื่อเดินทางมาถึงถิ่นที่เคยอยู่อาศัยกลับไม่พบบ้านที่ตนเคยอยู่ นางเที่ยวถามผู้คนจนได้รู้ว่า บ้านหลังนั้นได้ถูกพายุถล่มทับคนในบ้านตายหมดแล้ว อีกทั้งศพบิดามารดาของนางก็ถูกเผาบนเชิงตะกอนไปเรียบร้อยแล้ว ในห้วงความคิดของปฏาจารามีแต่ภาพความตายของบุคคลอันเป็นที่รัก คนแล้วคนเล่าจนในที่สุดนางคิดว่า ชีวิตของนางไม่เหลืออะไรอีกแล้ว เท่านั้นเอง ปฏาจาราก็ไม่อาจประคองอารมณ์ได้อีกต่อไป นางร้องไห้คร่ำครวญเพ้ออย่างคนเสียสติ ปล่อยผ้าผ่อนหลุดลุ่ยไม่ไยดี เที่ยวเดินไปอย่างไร้จุดหมาย จนสุดท้ายพลัดเข้าไปในเชตวันมหาวิหาร ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดงธรรมอยู่ท่ามกลางพุทธบริษัท ปฏาจาราก็เดินเข้าไปอย่างเลื่อนลอย
พระพุทธองค์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยเมตตา ปรารถนาที่จะโปรดนางปฏาจารา จึงทรงเอ่ยทักนางด้วยพระสุรเสียงที่ไพเราะดุจเสียท้าวมหาพรหมว่า “ ดูก่อนน้องหญิง เธอจงกลับได้สติเถิด ”
พระสุรเสียงที่ไพเราะและเปี่ยมด้วยบุญฤทธิ์นั้น เสมือนน้ำทิพย์ชโลมใจที่กำลังแห้งผากไร้ที่พึ่ง ปฏาจาราผู้จมอยู่ในความทุกข์และอารมณ์เศร้าหมอง ก็พลันกลับคืนได้สติ เมื่อมีคนโยนผ้าห่มมาให้นางก็รีบรับผ้ามานุ่งห่ม แล้วตั้งใจฟังธรรม เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมจบลง นางก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน ต่อมานางได้บวชเป็นภิกษุนี และได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันตเถรี อีกทั้งยังได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดาไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะทางด้านผู้ทรงพระวินัย
จากคนที่สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง จนดูเหมือนหมดหนทางจะเยียวยาแก้ไข แต่เมื่อปรับความคิดและอารมณ์เสียใหม่ก็สามารถพลิกชีวิตให้มาอยู่ในเส้นทางของความสำเร็จได้เช่นกัน ชีวิตคนเราจะสุขหรือทุกข์จะสมหวังหรือผิดหวัง จะล้มเหลวหรือสำเร็จ จึงเป็นสิ่งที่เราเลือกได้
อีกตัวอย่างหนึ่งเป็นเรื่องราวชีวิตของเพชฌฆาตเคราแดง ในครั้งพุทธกาล ชายคนหนึ่งมีลักษณะแปลกประหลาดน่ากลัว คือมีนัยน์ตาเหลือกเหลือง มีเคราสีแดง เขาจึงเป็นที่หวดกลัวของคนไปทั่ว อยู่มาวันหนึ่งชายผู้นี้ได้พลัดเข้าไปในหมู่โจรกลุ่มใหญ่ซึ่งมีจำนวนถึง 499 คน เขาจึงขอฝากตัวเป็นบริวารโจรเหล่านั้น ต่อมาโจรกลุ่มนี้ได้ถูกจับได้และถูกตัดสินให้ประหารชีวิตทั้งหมด แต่ปัญหาก็คือชาวเมืองไม่มีใครยอมเป็นเพชฌฆาต เพราะชาวเมืองไม่อยากจะทำบาป ครั้งเสนอหัวหน้าโจรว่าให้ฆ่าลูกน้องทั้งหมดและจะปล่อยตัวไปหัวหน้าโจรก็ไม่ยอมทำอีกทั้งโจรที่เป็นลูกน้องก็ไม่มีใครยอมรับข้อเสนอนี้เช่นกัน จนกระทั่งมาถึงนายเคราแดง ปรากฏว่านายเคราแดงตอบตกลง เมื่อได้ทำหน้าที่ประหารโจรครบ 499 คนแล้วนายเคราแดงก็ได้รับการอภัยโทษ
จากนั้นมานายเคราแดงก็ได้ทำหน้าที่เป็นเพชฌฆาตประจำเมือง ได้ประหารชีวิตนักโทษไปถึง 2,000 คน เป็นเวลาถึง 55 ปี เรี่ยวแรงของนายเคราแดงก็ถดถอยลง ทำให้ตัดคอนักโทษไม่ขาด จึงต้องถูกให้ออกจากตำแหน่ง ตามธรรมเนียมยุคนั้นมีข้อกำหนดว่าคนที่เป็นเพชฌฆาตห้ามใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย อีกทั้งห้ามนุ่งผ้าใหม่ และห้ามกินข้าวยาคูที่เจือน้ำนม ต้องนุ่งแต่ผ้าเก่าๆ กินอาหารหยาบๆ ดังนั้นเมื่อนายเคราแดงพ้นจากตำแหน่ง ก็คิดว่าจะนำเงินที่เก็บไว้มาใช้ให้ความสุขสบายแก่ตนเองสักครั้ง เขาจึงเตรียมผ้าใหม่พวงมาลัย มะลิ เครื่องหอมทาตัวและให้คนเตรียมข้าวยาคูเจือด้วยน้ำนมอย่างดีไว้รอท่า เมื่อลงไปอาบน้ำในแม่น้ำชำระล้างร่างกายแต่งตัวอย่างดีแล้วก็เตรียมจะกินข้าวยาคู
ครั้งนั้น พระสารีบุตรผู้เป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เห็นด้วยญาณว่าเพชฌฆาตเคราแดงคือบุคคลที่ท่านควรจะไปโปรด เมื่อพระสารีบุตรออกจากนิโรธสมาบัติท่านจึงไปปรากฏยืนตรงหน้าของเพชฌฆาตเคราแดงฝ่ายเพชฌฆาตเคราแดงเมื่อเห็นอาการกิริยาของพระสารีบุตร ก็รู้ได้ทันทีว่าพระเถระมาบิณฑบาต เขาคิดในใจว่าเราทำบาปมาตั้งมากมาย เมื่อมีพระมาโปรดให้ทำบุญบ้างก็ดีเหมือนกัน เขาจึงถวายข้าวยาคูนั้นแด่พระสารีบุตร ส่วนตนเองคอยยืนพัดอยู่ด้านหลังขณะที่พระสารีบุตรฉัน
เพชฌฆาตเคราแดงแม้จะถวายข้าวยาคูไปแล้วแต่ในใจก็ยังมีความอยากที่จะได้ลิ้มรสข้าวยาคูนั้นพระสารีบุตรรู้วาระจิตจึงแบ่งไว้ให้ส่วนหนึ่งแล้วบอกว่า นี้ส่วนของท่าน ท่านจงรับไปกินเถิด เพชฌฆาตเคราแดงก็ดีใจ ส่งพัดให้คนอื่นถือแล้วรับข้าวยาคูส่วนที่พระเถระแบ่งไว้มากิน พระเถระยังบอกให้คนถือพัด พัดให้เพชฌฆาตเคราแดงด้วย เขาจึงกินข้าวไปมีคนพัดให้ด้วยสบายๆ อารมณ์ก็เบิกบานเหลือเกิน พอกินเสร็จแล้วก็มายืนพัดให้พระเถระ
เมื่อพระเถระอนุโมทนาแล้ว ก็แสดงธรรมเทศนาโปรดแต่เพชฌฆาตเคราแดงกลับฟังธรรมไม่รู้เรื่อง เพราะจิตพะวงเห็นแต่ภาพตนเองกำลังฆ่าคน เฝ้าคิดว่า ... บาปเราเยอะ...บาปเราเยอะ อารมณ์ก็กลายเป็นหดหู่ เศร้าหมองจึงฟังธรรมไม่รู้เรื่อง
พระเถระรู้ด้วยวาระจิต จึงถามเพชฌฆาตเคราแดงว่า ดูท่านไม่มีความสงบเลย เป็นเพราะเหตุใดหรือ เพชฌฆาตเคราแดงก็ตอบว่า เป็นเพราะข้าพเจ้านึกถึงภาพที่ตนเองเคยฆ่าคน พระเถระจึงถามต่อด้วยกุศโลบายว่า การที่ท่านฆ่าเขานั้นเป็นเพราะท่านอยากจะฆ่า หรือเพราะท่านต้องทำตามหน้าที่ เพชฌฆาตเคราแดงฟังแล้วก็คิดได้ จึงตอบพระเถระว่า ข้าพเจ้ามิได้อยากฆ่าเขาเลย แต่ต้องทำตามหน้าที่ที่พระราชามอบหมาย พระเถระจึงกล่าวว่าก็ในเมื่อท่านไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าเขา จะมัวคิดเรื่องอกุศลมากมายอะไรเล่า
เมื่อเพชฌฆาตเคราแดงไม่คิดกังวล ก็รู้สึกผ่อนคลายมีอารมณ์สบาย เมื่อพระเถระแสดงธรรม เพชฌฆาตเคราแดง ก็สามารถตรองตามใจก็เริ่มนิ่งเป็นสมาธิ สุดท้ายได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน พระเถระเห็นอย่างนั้นแล้วก็ลุกขึ้น เพชฌฆาตเคราแดงก็ลุกไปส่ง เมื่อพระเถระจากไปแล้วทันใดนั้นเอง ได้มีแม่โคตัวหนึ่งวิ่งมาขวิดเพชฌฆาตเคราแดงจนถึงแก่ความตาย แล้วเขาก็ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตการที่เพชฌฆาตเคราแดงผู้เคยทำบาปกรรมมามากมาย สามารถเข้าถึงความเป็นอริยบุคคลได้ ย่อมมาจากเหตุปัจจัยหลายประการประกอบกัน ทั้งบุญเก่าบุญใหม่ โดยเฉพาะการมีบุญด้านกัลยาณมิตร แต่กุญแจสำคัญที่ทำให้บุญเหล่านั้นได้ช่อง ก็คือความคิดและอารมณ์ดีๆนั่นเอง
เพชฌฆาตเคราแดงรู้จักสร้างอารมณ์สบาย ด้วยวิธีการง่ายๆ เช่นอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดสะอ้าน อีกทั้งเป็นคนที่คิดบวกได้แม้ในเหตุการณ์ที่ผิดหวัง เช่นเมื่อครั้งที่เขากำลังจะได้กินข้าวยาคูที่เฝ้าอดใจรอมาตลอดชีวิต เมื่อพระสารีบุตรมาปรากฏตรงหน้ายังสามารถคิดบวกได้ว่า ดีเหมือนกันที่จะได้ทำบุญ ทั้งที่ใจก็ยังไม่คลายจากความอยากกินข้าวนั้น นอกจากนี้ในการปฏิบัติธรรมเมื่อถูกภาพความจำเก่าๆ ตามมาหลอกหลอนก็สามารถรอดพ้นได้ เมื่อได้รับการแนะนำวิธีคิดที่เหมาะสม เมื่อคิดบวกคิดดีก็มีอารมณ์สบาย และสิ่งเหล่านี้ก็คือ กุญแจไปสู่ประตูสวรรค์
เมื่อทุกคนเข้าใจความจริงข้อนี้แล้วจึงควรส่งเสริมซึ่งกันและกัน ให้มีความคิดในทางสร้างสรรค์ และมีอารมณ์ที่เบิกบานอยู่เป็นนิจ โดยการชักชวนกันสวดมนต์ นั่งสมาธิเพื่อสร้างพื้นฐานที่ดี ของความคิดและอารมณ์ อีกทั้งต้องช่วยกันสร้างบรรยากาศที่ดี ด้วยรอยยิ้มและปิยวาจาที่ช่วยยกใจผู้ฟังให้เกิดความสบายใจ เกิดความเชื่อมั่นมีกำลังใจในการทำความดี ดังที่ยอดกัลยาณมิตรในกาลก่อน ได้กระทำเป็นแบบอย่างอันงดงาม แม้ชีวิตในวันนี้เราไม่อาจรู้ได้ว่า เราจะต้องพบเจอกับสิ่งใด จะดีร้ายแค่ไหน ขอให้เราดูแลความคิดรักษาอารมณ์ที่ดีไว้เพียงเท่านี้เราก็จะมีกุญแจสู่ความสุขและความสำเร็จอยู่ในมือแล้ว
----------------------------------------------------------------------------------
หนังสือ " ทันโลกทันธรรม 4 "
พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ