การดลจิตกับพุทธวิธีเพาะนิสัย
เราคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว ” แต่รู้ไหมว่ายังมีบางสิ่งบางอย่างที่เคยควบคุมใจเราอยู่ สิ่งนั้นคือ “ นิสัย ” ซึ่งก็คือสิ่งที่เราคิด พูด ทำจนเคยชิน จนเกิดเป็นนิสัย และนิสัยนี่เองที่ทำให้ใจคอยคิดไปในเรื่องที่คุ้นเคยนั้นเสมอ จึงเท่ากับว่า นิสัยเป็นตัวควบคุมใจอีกชั้นหนึ่ง นักวิชาการทางด้านระบบประสาทและสมองพบว่า พฤติกรรมที่เราทำเป็นประจำทั้งความคิดคำพูด และการกระทำหากทำซ้ำๆต่อเนื่องไป จะมีผลทำให้เซลล์สมองและระบบประสาท ที่เป็นเส้นทางวิ่งของระบบประสาทนั้นมีการพัฒนาเหมือนเป็นทางด่วนพิเศษของข้อมูลในสมอง แขนงประสาทจะมีปลอกมาหุ้มทำให้สัญญาณประสาทวิ่งได้เร็วมาก นี่คือคำอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ว่าเหตุใดการกระทำที่เราทำอย่างต่อเนื่องไปถึงระยะหนึ่ง เราจะทำสิ่งนั้นโดยอัตโนมัติ หรือกลายเป็นนิสัยนั่นเอง แต่การศึกษาเหล่านี้ยังมีจำกัดอยู่แค่ร่างกายคือ สมองและระบบประสาท ขณะที่ในทางพระพุทธศาสนาสามารถอธิบายสิ่งเหล่านี้ได้อย่างชัดแจ้งลึกซึ้งยิ่งกว่านี้มากนัก
ส่วนทางด้านของนักจิตวิทยาก็มีการศึกษาถึงการควบคุมจิตใจด้วยวิธีการต่างๆ เช่นมีวิธีการดลจิต มาใช้ในการปรับพฤติกรรมของคนเรา เช่นถ้าหากต้องการพฤติกรรมคนที่ไม่ชอบกินผักให้หันมากินผักก็สามารถทำได้ โดยใช้วิธีการต่อไปนี้คือ ให้คนที่ไม่ชอบกินผัก ทำใจให้สบายๆ โปร่งๆ เบาๆ โดยอาจเริ่มต้นด้วยการฟังเพลงที่มีทำนองนุ่มนวลพอใจเริ่มเคลิ้มๆให้ท่องว่า “ ชอบกินผัก ๆ ๆ ๆ ๆ ” ท่องซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับสิ่งที่เราต้องการให้เกิดขึ้นยิ่งท่องซ้ำๆ ใจเรายิ่งเกิดความคุ้นเคยและย่อมนำไปสู่ความรู้สึกนึกคิด และการกระทำแบบคนชอบกินผักได้ในที่สุด เป็นเสมือนการตอกย้ำ ความตั้งใจของเรานั่นเอง
กระบวนการที่เกิดขึ้นนี้ในทางพระพุทธศาสนา อธิบายว่าการรับรู้สิ่งต่างๆ ของคนเรา ผ่านทางประสาทสัมผัสทั้ง6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจนั้น จะรับรู้โดยมีภาพประกอบเกิดขึ้นในใจเสมอ เช่นถ้าเราได้ยินใครพูดถึงเพื่อนของเรา ภาพของเพื่อนคนนั้นก็จะเกิดขึ้นในใจของเราทันที เพียงแต่เราอาจจะไม่รู้ตัว เพราะภาพนั้นอาจปรากฏแค่แวบเดียว และโดยทั่วไป ใจของคนเราไม่ได้อยู่ในสภาวะสงบนิ่ง มักคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา เราจึงรับภาพต่างๆได้ไม่ชัดเจน ในการดลจิตจึงต้องมีการเตรียมใจให้เบาสบาย อยู่ในภาวะสงบนิ่งเสียก่อน เพราะใจจะสามารถรับภาพได้เต็มที่ เปรียบเหมือนเครื่องรับสัญญาณโทรทัศน์ที่ปรับตรงคลื่น ย่อมรับภาพได้คมชัดตรงกันข้ามกับใจที่ไม่นิ่งใจที่เครียดอยู่ ขุ่นมัว ก็เปรียบเหมือนเครื่องรับสัญญาณโทรทัศน์ ที่ไม่ได้ปรับให้ตรงคลื่นภาพย่อมพร่าเลือน นอกจากนี้ การท่องคำซ้ำๆในการดลจิต ก็เพื่อให้เกิดภาพขึ้นในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกลายเป็นความคุ้นเคยกับสิ่งนั้น ๆ และความคุ้นเคยนี่เองที่สามารถควบคุมจิตใจ จนนำไปสู่การคิด พูด และทำในสิ่งที่ต้องการ
นี่คือกระบวนการสร้างนิสัย หรือการดลจิตที่ทางการแพทย์ใช้กันอยู่ในปัจจุบันซึ่งความรู้ความเข้าใจในกระบวนการทำงานของใจนี้เป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะความรู้ที่ว่า หากมีสิ่งใดมากระทบกับตัวเรา ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือแม้กระทั่งใจเราคิดเองก็ตาม ล้วนมีผลต่อชีวิตเราทั้งสิ้น และจะยิ่งมีผลมากยิ่งขึ้นในขณะที่ใจเราสบาย เมื่อเรารู้ที่มาที่ไปของกระบวนการเหล่านี้ เราย่อมสามารถปรับมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดำเนินชีวิตของเราได้ คนโบราณรู้หลักการเหล่านี้เป็นอย่างดี ดังที่ได้นำมาใช้อย่างครบถ้วนทุกช่วงของชีวิต เช่นผู้ที่ปรารถนาจะมีบุตร ก็ใช้หลักธรรมคือ ผู้ที่จะเป็นพ่อและแม่จะตั้งมั่นในศีลธรรม ด้วยการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา มีภาพของการทำความดีอยู่ในใจอย่างครบถ้วนตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ บุญกุศลที่เกิดย่อมจะดึงดูดให้ผู้ที่มีบุญมาเกิดเป็นลูก ทำให้สอนง่าย เป็นเด็กดี ในทางกลับกันเราลองคิดดูว่า ถ้าพ่อแม่สำมะเลเทเมา หมกมุ่นในอบายมุขแล้วตั้งครรภ์ตอนนั้น เด็กที่มาเกิดก็จะเป็นคนมีบุญน้อย สอนยาก จะนำเรื่องเดือดร้อนทุกข์ใจมาให้พ่อกับแม่มากมาย
ในระหว่างตั้งครรภ์พ่อแม่ก็ต้องทำใจให้สบาย อยู่ในบุญซึ่งเป็นการสอนลูกในครรภ์ให้อยู่ในบุญด้วยเช่นกัน เรียกว่าทั้งพ่อแม่ปู่ย่าตายาย จะชักชวนกันทำความดีคิดถึงแต่สิ่งที่ดี พูดคุยกันแต่เรื่องดีๆ เด็กที่อยู่ในครรภ์ก็จะค่อยๆซึมซับ ใจเขาจะโปร่งเบาสบาย และรับสิ่งดีๆ ได้อย่างมากมาย
ครั้งเด็กเกิดมาแม้ยังเล็กมาก ยังพูดไม่ได้แต่ก็สามารถที่จะได้ยินได้ฟังเรื่องราวดีๆ และเห็นภาพการทำความดี ที่พ่อแม่ปฏิบัติให้ดูเป็นตัวอย่าง เขาก็จะเติบโตขึ้นมาเป็นคนดีมีศีลธรรม ครอบครัวและสังคมก็จะสงบร่มเย็น ในทางตรงกันข้าม เด็กที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่พ่อแม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน หรือมีความเครียดย่อมส่งผลถึงลูกโดยตรง ย่อมมีแนวโน้มที่จะเป็นเด็กที่มีความเครียด หรือเป็นคนมักโกรธ คำกล่าวของผู้คนในยุคปัจจุบันที่ว่า “ รอให้ถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว ” นั้นจึงเป็นสิ่งที่คนโบราณทราบแล้วเป็นอย่างดีและความจริงต้องกล่าวว่า “ รอให้ตั้งครรภ์ก่อนก็สายเสียแล้ว ” ด้วยซ้ำไป คนโบราณจึงได้นำหลักธรรมในพระพุทธศาสนา มาใช้ในทุกช่วงระยะของชีวิตถือเป็นพุทธวิธีเพาะนิสัยนั่นเอง นิสัยยังเป็นสิ่งที่ติดตัวข้ามภพข้ามชาติ ดังมีตัวอย่างปรากฏอยู่มากมายในพระไตรปิฎก เช่น ครั้งหนึ่งมีพระภิกษุรูปหนึ่งได้ฉันอาหารมากเกินไป จนท้องแตกถึงแก่มรณภาพ เหล่าภิกษุจึงไปกราบทูลพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์จึงได้ระลึกชาติไปดูและนำมาเล่าให้ภิกษุทั้งหลายทราบว่าพระภิกษุรูปนั้น ภพในอดีตก็เคยเสียชีวิตด้วยเหตุนี้มาแล้ว
นิสัยจึงเป็นสิ่งที่ยิ่งทำยิ่งติด ยิ่งฝังรากลึก บางท่านใช้คำว่าวาสนา ซึ่งคำศัพท์นี้มีความหมายดั้งเดิมแปลว่า นิสัยระดับลึก ที่คุ้นชินมายาวนาน วาสนามิใช่กิเลส แต่เป็นความเคยชิน ดังเช่น พระสารีบุตรผู้เป็นอัครสาวกเบื้อขวาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งยังเป็นเลิศทางปัญญา เว้นจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระสารีบุตรถือว่าเป็นผู้มีปัญญาสูงสุดภพในอดีตนั้นมีช่วงหนึ่งท่านได้เกิดเป็นลิงต่อเนื่องกัน 500 ชาติ เมื่อมาถึงชาติสุดท้าย แม้ท่านจะหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์แล้วก็ตาม เวลาที่ท่านนำภิกษุที่เป็นศิษย์ 500 รูปจาริกไปในที่ต่างๆ ในบางครั้งหนทางที่ท่านต้องเดินผ่านมีน้ำนองพื้นอยู่ แทนที่ท่านจะเดินอ้อม ท่านกลับใช้วิธีกระโดดข้ามไป หรือบางคืนเมื่อเวลาพัก ท่านก็ชอบที่จะไปจำวัดอยู่บนคาคบไม้มากกว่า เพราะท่านคุ้นกับสิ่งที่เคยทำสมัยที่เกิดเป็นลิงหลายร้อยชาติ วาสนาจึงเป็นเรื่องที่ยากจะตัดขาดได้
ดังนั้น การฝึกนิสัยจึงมีหลายระดับ นับตั้งแต่การฝึกในส่วนของร่างกายซึ่งเป็นแค่ระดับพื้นฐานเบื้องต้น ไปจนถึงการฝึกฝนทางความคิด จิตใจ ที่ตอกย้ำมากเท่าไรก็ยิ่งฝังลึกไปในใจเรามากขึ้นเท่านั้น เมื่อเข้าใจหลักอย่างนี้แล้ว เราย่อมสามารถปรับปรุงแก้ไขตัวเราเอง สอนลูกหลาน และสามารถทำหน้าที่กัลยาณมิตร แนะนำผู้อื่นได้ เพียงแต่ต้องตั้งใจจริง การดลจิตก็เป็นวิธีการแบบหนึ่งที่ใช้ได้ดี นอกจากนี้ยังมีวิธีการอื่นช่วยเสริมอีกได้ เช่นใช้การเขียนเข้ามาช่วย เมื่อเราตั้งใจจะทำอะไรดีๆ ก็ให้เราเขียนบรรยายออกมา เป็นการตอกย้ำอีกแบบหนึ่ง นอกจากนี้ให้เราลองฝึกสมาธิโดยทำให้สม่ำเสมอ เมื่อใจนิ่งอยู่ในฐานที่ตั้งแห่งใจ นั่นคือฐานที่ 7 ณ จุดกึ่งกลางลำตัวสูงจากระดับสะดือ 2 นิ้วมือ ใจเราจะเบาสบาย สิ่งที่ตั้งใจไว้มักสำเร็จผล ขอแนะนำให้เราหมั่นทบทวนตัวเอง ทุกวันมีสิ่งใดที่ต้องการจะเลิก สิ่งใดที่ต้องการให้เป็นนิสัย ก็ให้เลือกมาสัก 1-2 อย่างก่อน ตั้งสติให้ดี พยายามทำให้ได้ตามนั้นต่อเนื่องไป ไม่ใช่ทำๆหยุดๆ เมื่อทำได้แล้วจึงค่อยเลือกนิสัยอย่างอื่นมาฝึกต่อไป การปรับแก้นิสัยนี้จะยากก็เพียงช่วงแรกเท่านั้น อีกไม่นานเราก็จะทำได้แบบสบายๆ ยิ่งเราทำแบบต่อเนื่องนานเท่าไรสิ่งนั้นจะยิ่งฝังรากลึกลงไปในใจของเรามากเท่านั้น และจะส่งผลไม่เฉพาะชาตินี้ แต่จะส่งผลข้ามภพข้ามชาติเลยทีเดียว มาดลจิตใจตัวของเราเองตามพุทธวิธีที่ถูกต้องกันเถิด สร้างความคุ้นเคยกับสิ่งที่ดีงาม โดยการเขียนบันทึก หรือด้วยคำพูดก็ได้ ทบทวนทุกๆวัน ให้ภาพที่เราต้องการเกิดขึ้นในใจของเรา นั่งสมาธิใจสบายๆ นึกภาพสิ่งนั้นเรื่อยไป สุดท้ายตัวเราก็จะปรับเปลี่ยนเป็นดังภาพนั้นได้จริงๆ ถือเป็นการดลจิตที่ถูกต้องตามพุทธวิธี
----------------------------------------------------------------------------------
หนังสือ " ทันโลกทันธรรม 3 "
พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ