ข้อคิดจากชาดก
เวทัพพชาดก
ชาดกว่าด้วยโทษของการไม่รู้จักกาลเทศะ
สถานที่ตรัสชาดก
เชตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี
สาเหตุที่ตรัสชาดก
ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล มีพระภิกษุรูปหนึ่งมีนิสัยดื้อรั้นว่ายากสอนยาก จนกระทั่งเพื่อนพระภิกษุต่างเอือมระอาที่จะว่ากล่าวตักเตือนไปตามๆ กัน
ครั้นความทราบถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงทรงระลึกชาติด้วย บุพเพนิวาสานุสติญาณแล้วตรัสเตือนสติว่า
“ ดูก่อนภิกษุ เธอมิได้เป็นผู้ว่ายากแต่ในชาตินี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อนเธอก็เป็นผู้ว่ายาก ไม่เชื่อฟังคำเตือนของบัณฑิตจึงถูกฟันขาดสองท่อน แล้วยังเป็นเหตุให้คนอีกตั้งพันต้องตายตามไปด้วย”
ตรัสดังนั้นแล้วพระพุทธองค์ทรงนำ เวทัพพชาดก มาตรัสเล่าดังต่อไปนี้
เนื้อหาชาดก
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติกรุงพาราณสี มีพราหมณ์คนหนึ่ง รู้มนต์ชื่อ เวทัพพะ ซึ่งเป็นมนต์วิเศษ เมื่ออยู่ในทิศทางที่เหมาะสม ซึ่งในปีหนึ่งๆ จะมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น พราหมณ์จะร่ายมนต์แล้วแหงนดูท้องฟ้า เพชรนิลจินดาอันหาค่ามิได้ก็จะไหลหลั่งลงมาจากท้องฟ้าราวกับสายฝนทีเดียว
อยู่มาวันหนึ่ง เวทัพพพราหมณ์มีกิจธุระต้องเดินทางไปยัง แคว้นเจติ จึงพาศิษย์คนหนึ่งไปด้วย ขณะที่กำลังเดินทางอยู่ในป่านั้นมีโจาค่าไถ่ ๕๐๐ คนกรูกันเข้ามาจับพราหมณ์อาจารย์และศิษย์ไว้หัวหน้าโจรกล่าวแก่ศิษย์ว่า
“ เฮ้ย! ไอ้หนุ่ม ข้าจะปล่อยเอ็งไป ให้เอ็งหาเงินมาไถ่อาจารย์ภายใน ๓ วันนี้นะโว้ย ถ้าไม่เอามาให้ล่ะก็ ฮ่ะ.. ฮ่ะ.. อาจารย์เอ็ง.. ตาย”
ศิษย์จึงขอเข้าพูดคุยกับอาจารย์ แล้วกล่าวเตือนอาจารย์ว่า
“ ท่านอาจารย์อย่าวิตกเลยนะครับ กระผมจะรีบกลับมาให้ทันไถ่ตัวอาจารย์ อีกอย่างหนึ่ง วันนี้เป็นวันฤกษ์ดี แต่อาจารย์อย่าได้ร่ายมนต์เป็นอันขาด มิฉะนั้นโจรมันอาจทำอันตรายอาจารย์ถึงแก่ชีวิตได้” เมื่อกล่าวเตือนอาจารย์แล้ว ศิษย์ก็ลาจากไป
ค่ำคืนนั้นเอง เมื่อดวงจันทร์ทองแสงนวลเต็มดวงแล้ว เวทัพพพราหมณ์แหงนหน้าขึ้นมองดวงจันทร์แล้วคิดว่า
“… เวลานี้ได้ฤกษ์ที่จะได้ฝนเงินฝนทองไหลหลั่งลงมาแล้ว ถ้าหากเราร่ายมนต์ แล้วเอาเพชรนิลจินดาให้พวกโจรเสีย มันคงจะปล่อยเราไป ไม่ต้องมาถูกมัดจนปวดไปหมดทั้งตัวอย่างนี้..”
คิดดังนั้นแล้ว พราหมณ์จึงร้องขึ้นว่า
“ นี่แนะ.. ท่านนายโจร! ท่านจับเรามัดไว้อย่างนี้ ท่านต้องการอะไร”
“ ถามได้!!! ก็ต้องการค่าไถ่น่ะซิ!!! นายโจรตอบ
“ ถ้าอย่างนั้น ท่านจงรีบแก้มัดเราโดยเร็วเถิด ดูสิ… ดวงจันทร์เต็มดวงสว่างไสว ได้กฤษ์แห่งมนต์เวทัพพะของเราพอดี โอกาสเช่นนี้เพิ่งจะมีในวันนี้เท่านั้น ถ้าเราได้ร่ายมนต์ในเวลานี้ ฝนแก้วก็จะไหลหลั่งลงมาเป็นเพชรนิลจินดามากมาย”
หัวหน้าโจรได้ฟังก็รู้สึกสนใจ จึงรีบแก้มัดพราหมณ์ เมื่อพราหมณ์อาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อยแล้ว จึงทำพิธีร่ายมนต์แล้วแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า
ทันใดนั้น เพชรนิลจินดาต่างๆ ก็หลั่งลงมาจากท้องฟ้ามากมายราวสายฝน พวกโจรต่างวิ่งเข้าไปเก็บกันชุลมุน
อเมื่อได้เพชรนิลจินดามากมายแล้ว วันรุ่งขึ้นโจรจึงออกเดินทางต่อไป แม้พราหมณ์เองก็ต้องไปกับพวกโจรร้าย เพราะไม่อาจอยู่ตามลำพังในป่าได้ ระหว่างที่กำลังเดินทางอยู่นั้น ได้มีโจรอีกกลุ่มหนึ่งจำนวน ๕๐๐ คนเหมือนกันผ่านมาพอดี เมื่อเห็นโจรกลุ่มแรกแบกทรัพย์สมบัติมา จึงคิดว่า
“… ดีละ ไอ้พวกนั้นมันคงเพิ่งได้ทรัพย์มาก กำลังดีใจ ไม่ทันระวังตัว เราจะฉวยโอกาสปล้นมันต่ออีกทีล่ะ…”
คิดแล้วก็สั่งสมุนให้กระจายกำลัง โอบล้อมโจรกลุ่มแรกไว้ทันที แล้วร้องขึ้นว่า
“ เฮ้ย.. ไอ้โจรป่า ข้าล้อมพวกเอ็งไว้หมดแล้ว ถ้าไม่อยากตายก็จงทิ้งดาบลง แล้ววางห่อสมบัตินั้นเสีย”
หัวหน้าโจรที่ถูกล้อมจึงตอบว่า
“ นี่แนะเพื่อน… สมบัติที่พวกเข้าแบกกันกันมานี้ ได้มาจากการร่ายมนต์วิเศษของพราหมณ์คนนั้น ข้าจับเขาได้เมื่อวาน ตกค่ำเขาก็ร่ายมนต์เรียกเพชรนิลจินดาให้ ถ้าเพื่อนอยากได้ก็ให้พรามหณ์ร่ายมนต์ให้ซิ” พลางส่งตัวเวทัพพพราหมณ์ให้ แล้วเดินจากไป
นายโจรกลุ่มที่สองจึงซักถามพราหมณ์
“ จริงรึ พราหมณ์”
“ จริงจ๊ะ” พราหมณ์ตอบอย่างละล่ำละลัก
“ ดีล่ะ ! ถ้าอย่างนั้น เจ้าต้องร่ายมนต์ให้ข้าบ้าง”
“ แต่มนต์วิเศษของข้า จะร่ายได้เพียงปีละครั้งเดียวเท่านั้น ถ้าท่านต้องการก็ต้องรอปีหน้าถึงจะได้”
นายโจรได้ฟังรู้สึกฉุดเฉียวขึ้นมาทันที ร้องขึ้นว่า
“ ซะช้า ไอ้พราหมณ์เจ้าเล่ห์ ทีพวกมันจับเจ้าไปไม่ทันข้ามคืน เจ้าก็ร่ายมนต์ให้แล้ว แต่ทีข้าจะให้รอตั้งปี พูดกวนโมโหนัก ตายเสียเถอะ”
พูดไม่ทัดขาดคำ ก็ตวัดดาบฟันพราหมณ์ขาดสองท่อนกลิ้งอยู่ข้างทางนั้นเอง พร้อมกันนั้นก็สั่งสมุนให้รีบตามและเข้าตีชิงทรัพย์ของโจรกลุ่มแรกทันที โจรกลุ่มที่แบกทรัพย์ไว้สู่ไม่ได้ จึงถูกฆ่าตายจนหมด
เมื่อโจรกลุ่มหลังได้ทรัพย์ของโจรกลุ่มแรกมาแล้วจึงออกเดินทางต่อไป ขณะเดินทางพวกโจรต่างเกิดความโลภ อยากได้ทรัพย์นั้นมาเป็นของตนแต่ผู้เดียว จึงแตกกันเป็น ๒ พวก ต่างสู้รบกันจนพวกหนึ่งตายสิ้น แม้จะเหลือเพียงพวกเดียว ๒๕๐ คน ก็ยังแตกคอกันอีก จึงตะลุมบอนฆ่าฟันกันเองตายไปตามๆ กัน เหลืออยู่เพียง ๒ คนเท่านั้น
โจรทั้งสองจึงช่วยกันขนทรัพย์สมบัตินั้นมาซ่อนไว้ใกล้หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ให้โจรคนหนึ่งเฝ้าไว้ ส่วนอีกคนเข้าไปหาอาหารในหมู่บ้าน
โจรที่เฝ้าทรัพย์สมบัติอยู่คิดว่า
“…. ถ้าไอ้เจ้านั่นมันกลับมา เราจะต้องแบ่งสมบัติให้มันตั้งครึ่งหนึ่ง จัดการเก็บมันเสียเลยดีกว่าจะได้หมดเรื่องหมดราว สมบัติทั้งหมดจะได้เป็นของเราคนเดียว”
ฝ่ายโจรคนที่เข้าไปหาอาหารก็คิดเช่นเดียวกัน
“.. เราเอายาพิษใส่ให้เจ้านั่นมันกินดีกว่า สมบัติทั้งหมดจะได้เป็นของเราคนเดียว”
คิดแล้วจึงรีบกินอาหารเสียก่อน แล้วเอายาพิษใส่อาหารที่เหลือ เสร็จแล้วจึงนำไปให้เพื่อน ทันทีที่วางอาหารลง เพื่อนโจรก็สวนดาบออกไปทันที เมื่อฆ่าเพื่อนแล้วจึงนำศพไปทิ้งไว้ในพงหญ้า แล้วลงมือกินอาหารด้วยความกระหยิ่มใจ เมื่ออาหารเข้าปาก ยาพิษร้ายแรงก็แทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย สิ้นใจตายทันที
เวลาล่วงไป ๒ วัน ศิษย์ของพราหมณ์ได้นำเงินค่าไถ่มาให้นายโจร แต่ไม่พบใครเลย ครั้นเห็นเพชรนิลจินดาบางส่วนที่ตกเรี่ยราดอยู่ ก็รู้ว่าอาจารย์ไม่ฟังคำเตือนของตนเสียแล้ว เมื่อเดินต่อไปอีกสักหน่อยก็พบศพอาจารย์ถูกตัดขาดสองท่อน เขารู้สึกสลดใจยิ่งนัก และเมื่อจัดการทำเชิงตะกอนเผาศพอาจารย์แล้วก็ออกเดินทางต่อไป พบศพของโจรทั้ง ๕๐๐ ตายอย่างอนาจ ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่วป่า ครั้นเดินต่อไปก็เห็นศพโจรอีก ๒๕๐ เดินต่อไป ก็พบอีก ๒๔๘ ศพ จึงรู้ว่ารอดไปได้ ๒ คน จึงเดินทางไปเรื่อยๆ ก็พบสมบัติที่โจรมัดซ่อนไว้ มีโจรคนหนึ่งถูกยาพิษนอนตายทับห่อข้าวอยู่ เมื่อเดินสำรวจดูบริเวณใกล้ๆ ก็พบศพโจรอีกศพหนึ่งถูกทิ้งไว้ในพงพญ้า จึงได้แต่รำพึงว่า
“ ไม่น่าเลย เพราะอาจารย์ไม่เชื่อฟังคำของเรา จึงต้องมาตายในป่านี้ มิหนำซ้ำ ยังทำให้คนอีกตั้งพันพลอยตายตามไปด้วย”
แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า
“ ผู้ใดปรารถนาประโยชน์โดยอุบายอันไม่แยบคาย ผู้นั้นย่อมเดือดร้อน เหมือนพวกโจรชาวเจติรัฐฆ่าเวทัพพพราหมณ์ แล้วพากันถึงความพินาศหมดสิ้น ฉะนั้น”
ครั้นแล้วชายหนุ่มก็ขนเพชรนิลจินดานั้นกลับไปบ้านของตน จัดการทำบุญให้ทาน อุทิศส่วนกุศลให้เวทัพพพราหมณ์ จากนั้นเป็นต้นไปก็ทำทาน รักษาศีลไปตลอดชีวิต ครั้นสิ้นชีวิตแล้ว ก็ไปบังเกิดในสวรรค์ตามกรรมดีที่ตนสร้างไว้ ส่วนอาจารย์และโจรทั้งพันนั้นต่างตกนรกเพราะความหลงและความโลภของตน
ประชุมชาดก
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประชุมชาดกว่า
เวทัพพพราหมณ์ ได้มาเป็น พระภิกษุผู้ดื้อรั้น
ศิษย์ของพราหมณ์ พระองค์เอง
ข้อคิดจากชาดก
๑ . คนดื้อดึง ถือดี ว่ายาก สอนยาก นับว่าเป็นโทษแก่ตนเองอย่างยิ่ง จึงควรแก้ไขเสีย มิฉะนั้นอาจนำความเสียใจหรือความพินาศย่อยยับมาสู่ตนเองได้
๒. คนโลภนั้น ถึงได้ทรัพย์มามากเท่าไรก็ไม่รู้จักพอ ความโลภ นำความทั้งหลาย ไม่ว่ายาจกหรือเศรษฐี ไปสู่ความหายะมานับไม่ถ้วนแล้ว “ เพราะความโลภ เป็นเหตุแห่งความพินาศและความตาย”
๓. ผู้ฉลาดสามารถเปลี่ยนทรัพย์ทั้งหลายให้เป็นบุญติดตัวไปได้ ดังเช่นศิษย์ของเวทัพพพราหมณ์
๔. ผู้ไม่รู้จักกาลเทศะ ย่อมนำความพินาศมาสู่ตนเองและผู้อื่น
ข้อคิดจากชาดก
เวทัพพชาดก
ชาดกว่าด้วยโทษของการไม่รู้จักกาลเทศะ