ชาดก 500 ชาติ
ฆตบัณฑิตชาดก-ชาดกว่าด้วยความดับความโศก
ณ บ้านหลังหนึ่งในเชตวัน สาวัตถี กุฎุมพีเจ้าของบ้านได้เกิดความเศร้าโศกเสียใจ เป็นอันมากเนื่องจากบุตรชายอันเป็นที่รักของเขาได้ตายจากไป ความเศร้าเสียใจของชายผู้นี้กินเวลาเนิ่นนาน วันเดือนปีจะผ่านพ้นไปเพียงใด เขาก็ยังไม่สามารถทำใจได้
“ ลูกพ่อ เจ้าจากพ่อไปแล้ว ต่อไปพ่อจะอยู่อย่างไร เจ้าก็เปรียบเสมือนดวงใจของพ่อ ขาดเจ้าไป ก็เหมือนพ่อขาดลมหายใจ ” ครั้งนั้นองค์พระศาสดาได้ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงทราบเรื่องราวทั้งหมด จึงตรัสกับชายผู้นี้ว่า
“ ดูก่อนอุบาสก โบราณบัณฑิต ฟังถ้อยคำของบัณฑิตแล้ว ไม่เศร้าโศกถึงลูกที่ตายไปแล้ว ” อุบาสกนั้นกราบทูลอาราธนาให้เล่าถึงเรื่องราว จึงทรงนำเรื่องในอดีตมาสาทกดังต่อไปนี้ ในอดีตกาล มีพระราชาทรงพระนามว่า มหาวังสะ ครองราชย์สมบัติอยู่ในอเสตันนคร แคว้นกันโคตรใกล้อุตราประเทศ
พระองค์มีพระราชโอรสสองพระองค์ องค์หนึ่งพระนามว่า กังสะ องค์หนึ่งพระนามว่า อุปกังสะ มีพระราชธิดาองค์หนึ่งพระนามว่า เทวคัพภา ในวันที่พระราชธิดานั้นประสูติ พราหมณ์ได้ทายไว้ว่า พระโอรสที่เกิดในพระครรภ์ของพระนางเทวคัพภานั้นจักทำวงศ์ กังสโคตรกังสวงศ์ให้พินาศ
พระราชาไม่อาจให้สำเร็จโทษพระราชธิดาได้ เพราะทรงสิเน่หามาก แม้พระโอรสทั้งสองก็ทรงทราบเหมือนกัน พระราชาทรงดำรงราชสมบัติตลอดพระชนมายุแล้ว เสด็จสวรรคตด้วยประการชะนี้ เมื่อพระเจ้ามหาวังสะเสด็จสวรรคตแล้ว กังสะราชโอรสได้เป็นพระราชา
อุปกังสะราชโอรสได้เป็นอุปราช ทั้งสองช่วยกันปกครองบ้านเมืองอย่างเป็นสุขต่อไป แต่คำทำนายของพราหมณ์ ที่ได้ทำนายพระนางเทวคัพภานั้นก็ยังติดอยู่ในพระทัยของผู้เป็นเชษฐาอยู่เสมอ ด้วยความกลัวคำทำนายนั้น ทั้งสองพระองค์จึงได้สร้างปราสาทเสาเดียวให้พระราชธิดาอยู่ในปราสาทนั้น หมายจะให้นางครองโสดอยู่ในปราสาทนั้นตลอดไป แล้วได้ให้นางทาสนันทโคปา เป็นบาทบริจาริกาของพระนาง และให้ทาสนามว่า อันธกเวณฑุผู้เป็นสามีของนางนันทโคปาเป็นผู้พิทักษ์รักษาพระนาง
ส่วนอีกด้านหนึ่งในอุตตรปถประเทศพระเจ้ามหาสาครราช พระองค์มีพระราชโอรสอยู่สองพระองค์ องค์หนึ่งพระนามว่า สาคร องค์หนึ่งพระนามว่าอุปสาคร ก็ในบรรดาพระราชโอรสสองพระองค์นั้น เมื่อพระชนกเสด็จสวรรคต สาครราชโอรสได้เป็นพระราชา อุปสาครราชโอรสได้เป็นอุปราช
อุปสาครอุปราชนั้น เป็นสหายของอุปกรรอุปราชเนื่องด้วยสำเร็จการศึกษาคราวเดียวกัน ตระกูลอาจารย์คนเดียวกัน ครั้งนั้นได้เกิดเรื่องไม่ดีงามขึ้นในอุตตรปถประเทศอุปสาครอุปราชได้ทำมิดีมิงาม นางสนมกำนันในของพระเจ้าพี่สาครราช ด้วยความกลัวพระราชอาญา จึงหนีไปสำนักอุปกังสะอุปราช ในแคว้นกังสะโคตรพระเจ้ากังสะทรงโปรดให้อุปสาครพักอาศัยอยู่ในพระราชวัง และโปรดให้ขึ้นเป็นอุปราช
อุปสาครอุปราช วันหนึ่งเมื่ออุปราชทั้งสองกลับจากเข้าเฝ้าพระเจ้าอังสะ อุปราชอุปสาครก็ทรงทอดพระเนตรเห็นพระนางเทวคัพภาบนปราสาทเสาเดียวนั้น และก็มีจิตปฏิพัทธ์ในพระนางเทวคัพภา “นั้นใครรึอุปกังสะ นางช่างสวยเหลือเกิน” “พระขนิษภคินีของเราเอง เทวคัพภา” ไม่เพียงแต่อุปสาครอุปราชเท่านั้น ที่มีจิตปฏิพัทธ์ พระนางเทวคัพภาก็เช่นกัน ด้วยจิตสิเน่หา
อุปสาครอุปราชจึงให้สินบนนางนันทโคปาแล้วให้พาไปที่ปราสาทเสาเดียว นางนันทโคปาด้วยเห็นว่า พระนางเทวคัพภาก็มีจิตสิเน่หาอุปราชอุปสาครเช่นกันจึงให้อุปสาครอุปราชขึ้นปราสาทในเวลาราตรี และเป็นอย่างนั้นเรื่อยมาเข้า จนพระนางได้ตั้งครรภ์ “ เรื่องมันเป็นยังไงกัน เหตุใดน้องหญิงจึงตั้งพระครรภ์ได้ ” “ หม่อมฉันผิดไปแล้วเพค่ะ หม่อมฉันเห็นว่า พระนางกับท่านอุปราชอุปสาครรักกันด้วยความบริสุทธิ์ใจ จึงไม่อาจห้ามปรามได้ ”
“ เอาเถอะ เราไม่อาจที่สำเร็จโทษน้องหญิงได้ ถ้าเธอคลอดพระธิดาเราจักไม่สำเร็จโทษ แต่ถ้าเป็นพระราชโอรสเราจักสำเร็จโทษเสีย ” จากนั้นพระเจ้ากังสะก็ประทานพระนางเทวคัพภาแก่อุปสาครอุปราช อุปสาครอุปราชจึงพาพระนางเทวคัพภาไปประทับ ณ โพคนควานพราหมณ์ พระนางเทวคัพภาก็ทรงครรภ์อีก แม้นางนันทโคปาก็ตั้งครรภ์ในวันนั้นเหมือนกัน และแล้วเรื่องที่พระนางเทวคัพภาวิตกก็เป็นจริง
เมื่อหญิงทั้งสองมีครรภ์ครบกำหนดแล้ว พระนางเทวคัพภาประสูติพระโอรส แม้นางนันทโคปาก็คลอดธิดาในวันเดียวกันนั้นเอง พระนางเทวคัพภากลัวพระโอรสจะวินาศด้วยภัย จึงส่งพระโอรสไปให้นางนันทโคปา แล้วนำธิดานันทโคปามาให้เปลี่ยนกันเลี้ยงแล้วเก็บเรื่องนี้เป็นความลับไว้รู้เฉพาะพระนางกับอุปราชอุปสาครและนันทโคปากับสามีอันทกะเท่านั้น อำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลความที่พระนางเทวคัพภาประสูติแล้วให้พระเชษฐาทั้งสองทรงทราบ
พระนางเทวคัพภาประสูติพระโอรสรวมสิบองค์ นางนันทโคปาก็คลอดลูกหญิงรวมสิบคน ได้เปลี่ยนให้กันเลี้ยงด้วยอุบายนี้ โอรสของพระนางเทวคัพภาเจริญอยู่ในสำนักนางนันทโคปา ใครๆ ก็ไม่ได้รู้ความลับเรื่องนั้น ต่อมาโอรสเหล่านั้นครั้นเจริญวัยแล้ว มีกำลังเรี่ยวแรงมาก เป็นผู้หยาบช้ากล้าแข็ง พากันเที่ยวปล้นประชาชน แม้คนนำบรรณาการไปถวายพระราชาก็พากันปล้นเอาหมด ประชาชนประชุมกันร้องทุกข์ที่พระลานหลวงว่า
พี่น้องสิบคนซึ่งเป็นบุตรของอันธกเวณฑุทาสปล้นแว่นแคว้น เมื่อนั้นอันทกะเวรทุ ด้วยความกลัวต่อมรณะภัย จึงทูลขออภัยโทษแล้วกล่าวความจริงทั้งหมดให้ทรงทราบ “ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นสมมุติเทพ กุมารเหล่านั้นมิใช่บุตรของข้าพระองค์ เป็นโอรสของอุปสาครอุปราชกับพระนางเทวคัพภาพระเจ้าค่ะ ” พระเจ้ากังสะ กับอุปราชอุปกังสะทรงตกพระทัยเป็นอย่างมากเร่งประชุมปรึกษาอุบายแก้ไขกับอำมาตย์ทั้งหลาย
ลำดับนั้นจึงคิดอุบายหลอกให้กุมารเหล่านั้นเข้าต่อสู้มวยปล้ำและจัดการฆ่าเสียที่สนามมวยปล้ำนั้น “ โธ่เอ้ย นี่นะรึ คู่ต่อสู้ที่ส่งมา จะครนาฝีมือเราได้สักเท่าไหร่เชียว พี่ๆ น้องๆ ทุกคนยกให้เป็นหน้าที่ของเราเถิด โธ่ ยังไม่ทันนับหนึ่งถึงสิบเลยเจ้าก็ไปไม่รอดแล้ว ฝีมือกระจอกจริงๆ ” พระราชารับสั่งให้มุฏฐิกกะคนปล้ำทำการต่อสู้ต่อไปมุฏฐิกะลุกออกไปโห่ร้องคำรามปรบมืออยู่ พลเทพทุบมุฏฐิกะจนกระดูกละเอียดแล้วโยนออกไปนอกสังเวียน “ ชนะแล้วพี่น้องเอ๋ย เราชนะแล้ว ฮ่าๆๆๆ ”
“ ด้วยความโกรธที่เรามีต่อเจ้า ชาตินี้เราล้างแค้นเจ้าไม่ได้ ชาติหน้ามีจริงขอให้เราเป็นยักษ์ฉีกเนื้อเจ้ากินด้วยเถิด ” เมื่อเห็นว่าอุบายที่วางไว้ไม่สำเร็จพระราชา จึงลุกตรัสให้ราชบุรุษจับกุมารทั้งสิบพระองค์ไว้ “อย่าคิดว่าพวกเราจะยอมให้จับง่ายนะ ใครที่คิดร้ายต่อพวกเราก็ต้องได้รับการตอบแทนอย่างสาสมเช่นกัน”
ครั้งนั้นวาสุเทพขว้างจักรไปตกถูกพระเศียรกษัตริย์สองพี่น้องสิ้นพระชนม์ มหาชนพากันสะดุ้งหวาดกลัวหมอบลงแทบเท้าของกุมารเหล่านั้นด้วย กล่าวว่า ขอพระองค์ได้เป็นที่พึ่งของพวกข้าพระองค์เถิด กุมารเหล่านั้นครั้นปลงพระชนม์พระเจ้าลุงทั้งสองก็ยึดราชสมบัติอสิตันยะราชนคร ยกมารดาบิดาขึ้นครองราชย์สมบัติแล้วก็ลำพองใจฮึกเหิมออกทำสงครามแย่งชิงนครทั้งหมด
ครั้งนั้นราชกุมารทั้งสิบพระองค์ชวนกันยกทัพออกไปตามลำดับ แล้วพากันไปถึงกรุงทวาราวดี แต่เมืองนี้ราชกุมารทั้งสิบพระองค์ ไม่สามารถยึดครองได้โดยง่าย เนื่องจากนครนั้นมีอมนุษย์รักษา ยักษ์ผู้ยืนรักษานครนั้น เมื่อเห็นปัญจามิตรแล้วก็แปลงเภทเป็นลาร้องเสียงเหมือนลา ทันใดนั้นนครทั้งสิ้นก็เลื่อนลอยไปอยู่บนเกาะๆ หนึ่ง กลางสมุทร ด้วยอานุภาพยักษ์ เมื่อพวกปัจจามิตรไปแล้ว นครก็กลับมาประดิษฐานตามเดิมอีก
กุมารเหล่านั้นเมื่อไม่อาจชิงสมบัติกรุงทวาราวดีได้ ก็พากันไปหากัณหทีปยนดาบส เพื่อปรึกษาหนทางเอาชนะ “ เหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะมีลาตัวหนึ่งเที่ยวอยู่ที่หลังคูแห่งโน้นลานั้นเห็นพวกอมิตรแล้วร้องขึ้น ขณะนั้น นครก็เลื่อนลอยไปเสีย ท่านทั้งหลายจงจับเท้าของลานั้น นี่เป็นอุบายที่จะทำให้ท่านถึงความสำเร็จได้ดังนี้ ” กุมารทั้งสิบนมัสการพระดาบสแล้วก็ไปหมอบจับเท้าของลาวิงวอน
“ ข้าแต่นายท่าน คนอื่นนอกจากท่านเสียแล้ว ไม่เป็นที่พึ่งของพวกข้าพเจ้าได้ กาลเมื่อพวกข้าพเจ้ายึดนคร ขอท่านอย่าได้ร้องขึ้นเลย ” “ เราไม่อาจที่จะไม่ร้องได้หรอกแต่ถ้าหากพวกท่านสามารถขึ้นมายังนครได้ ก่อนที่เราจะร้องนั้น ก็ยังพอมีหนทางอยู่ ” กุมารเหล่านั้นเมื่อได้ฟังอุบายจากยักษ์ที่แปลงเป็นลาแล้ว ก็รีบทำตามอุบายนั้นทันทีอุบายที่ว่านี้ก็คือ เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนโอรสทั้งสิบพระองค์ก็พากันถือเอาไถ
แล้วตอกหลักลงบนแผ่นดินที่ประตูเมืองทั้งสี้ด้านยืนอยู่ เมื่อยักษ์เพศลาร้องขึ้น นครเริ่มจะเลื่อนลอย กุมารสี่พระองค์ที่อาสายืนอยู่ที่ประตูเมืองทั้งสี่ด้าน จับไถเหล็กสี่คันเอาโซ่เหล็กผูกกับไถล่ามไว้กับหลักเหล็ก นครก็ไม่อาจเขยื้อนขึ้นได้ ลำดับนั้นกุมารสิบพี่น้อง ก็เข้านครปลงพระชนม์พระราชาแล้วก็ยึดเอาสมบัติไว้ กุมารเหล่านั้นได้ใช้จักรปลงพระชนม์พระราชาทั้งหมดในนครหกหมื่นสามพันนคร
แล้วมารวมกันอยู่ที่กรุงทวาราวดีแบ่งราชสมบัติเป็นสิบส่วน โอรสทั้งเก้าคน เว้นอัลกุรกุมารขึ้นครองราชย์สมบัติคนละส่วน เหลืออีกส่วนก็ยกให้แก่อัญชนเทวีเชษฐภคินี ส่วนน้องอังกุรกุมารไม่ขอครองนครใดๆ แต่ขอได้ทำการค้าขายบนนครทั้งหมดเหล่านั้น ครั้นกาลล่วงไปนาน พระราชบิดา มารดาสิ้นพระชนม์ลง พี่น้องเหล่านั้นก็เจริญด้วยบุตรธิดาต่อๆ มาครั้งนั้น พระปิโยรสองค์หนึ่งของวาสุเทพมหาราชสิ้นพระชนม์ พระราชาทรงแต่เศร้าโศกและสรรพกิจเสีย นอนกอดแคร่พระแท่นบ่นเพ้ออยู่ กาลนั้นขัตบัณฑิตจึงคิดหาอุบายช่วยเหลือพระเชษฐาให้หายจากความเศร้าโศกนั้น จึงแสร้งทำเป็นคนบ้าแหงนดูอากาศ เดินบ่นไปทั่วเมือง
ข่าวเล่าลือกันไปทั่วเมืองว่า ขัตบัณฑิตเป็นบ้าเสียแล้ว พระราชาเสด็จลุกขึ้น รีบเสด็จลงจากปราสาทไปหาขัตบัณฑิต “ เหตุไรหนอเจ้าจึงเป็นเหมือนคนบ้าที่เที่ยวบ่นเพ้ออยู่ทั่วนครทวาราวดีนี้ ว่า กระต่ายๆ ใครเขาลักกระต่ายของเจ้าไปหรือ เจ้าอยากได้กระต่ายทอง กระต่ายเงิน กระต่ายแก้วมณี กระต่ายสังขศิลา หรือกระต่ายแก้วประภาฬประการใด เจ้าจงบอกแก่พี่ พี่จักทำให้เจ้า ถ้าแม้เจ้าไม่ชอบกระต่ายเหล่านี้ ฝูงกระต่ายป่าอื่นๆ ที่มีอยู่ในป่า เราจักให้ให้เขานำกระต่ายเหล่านั้นมาให้เจ้า เจ้าต้องการกระต่ายชนิดใดเล่า ”
“ ข้าแต่พระองค์ กระต่ายเหล่าใดที่อาศัยอยู่บนแผ่นดิน หม่อมฉันไม่ปรารถนาสิ้นทั้งนั้น หม่อมฉันปรารถนากระต่ายบนดวงจันทร์ ขอพระองค์ได้ทรงโปรดสอยกระต่ายนั้นมาให้หม่อมฉันเถิด ” “ เจ้าปรารถนา สิ่งที่เขาไม่พึงปรารถนากัน อยากได้กระต่ายจากดวงจันทร์ จักละชีวิตพี่เป็นแน่ ” “ ข้าแต่ พระเจ้าพี่ เจ้าพี่ทรงทราบว่าข้าพระองค์นั้นปรารถนากระต่ายจากดวงจันทร์ไม่ได้ แล้วเหตุไรเจ้าพี่ถึงเศร้าโศกถึงโอรสที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วเล่า ข้าแต่พระองค์ผู้กัณหวงศ์ ถ้าพระองค์ทรงทราบ และตรัสสอนผู้อื่นอย่างนี้ไซร้ เหตุไรพระองค์จึงทรงเศร้าโศกถึงพระราชโอรสผู้สิ้นพระชนม์ไปแล้วในกาลก่อนจนกระทั่งถึงวันนี้เล่า ข้าแต่พระเจ้าพี่หม่อมฉันปรารถนาสิ่งที่เห็นปรากฎอยู่แท้ๆ แต่เจ้าพี่ทรงเศร้าโศก เพื่อทรงประสงค์สิ่งที่มิได้ปรากฏอยู่ ”
“ น้องเอ๋ย เจ้าได้ทำให้พี่หายโศกเศร้าแล้วเจ้าได้ถอนลูกศรที่เสียบแทงหทัยของเราออกแล้ว ได้บรรเทาความโศกถึงบุตรของเรา ผู้ถูกความโศกเศร้าครอบงำแล้วหนอ เราเป็นผู้ถอนลูกศรออกได้แล้ว ปราศจากความโศก ไม่ขุ่นมัวจักไม่เศร้าโศก จักไม่ร้องไห้ เพราะได้ฟังคำของเจ้านะน้อง” เมื่อพระเจ้าวาสุเทพผู้เป็นอัตบัณฑิต ได้หมดความโศกแล้วอย่างนี้ ครองราชย์สมบัติอยู่โดยล่วงไปแห่งกาลยืดยาวนาน
จนมาถึงวันถึง ก็ถึงกาลวิบัติของกษัตริย์ทั้งสิบพระองค์ ครั้งนั้นพระกุมารโอรสของกษัตริย์พี่น้องทั้งสิบ ได้ประดับกุมารเด็กผู้ชายคนหนึ่ง แสดงอาการเหมือนหญิงมีครรภ์ เอาลูกแก้วมรกตผูกไว้ที่ท้องแล้วนำไปหาพระดาบส “ กุมารทั้งหลายพวกท่านต้องการอะไรด้วยเรื่องนี้ ต่อนี้ไปเจ็ดวัน กุมาริกาผู้นี้จะคลอดปุ่มไม้ตะเคียนออกมา ด้วยเหตุนั้นตระกูลของวาสุเทพจะพินาศท่านทั้งหลายจงเอาปุ่มไม้ตะเคียนนั้น ไปเผาแล้วเอาเถ้าไปทิ้งในแม่น้ำเถิด ” ลำดับนั้น พระกุมารเหล่านั้นคิดว่าพระดาบสโป้ปดมดเท็จ ให้ดาบสสิ้นชีวิตในที่นั้นเอง กษัตริย์พี่น้องทั้งหลายเรียกพระกุมารมาตรัสถาม ครั้นได้สดับเรื่องทั้งหมดแล้ว ทรงหวาดกลัว จึงรักษาเด็กนั้นไว้
ครั้นถึงวันที่เจ็ด ให้เผาปุ่มตะเคียนที่ออกจากท้องเด็กนั้น แล้วเอาเถ้าไปทิ้งในแม่น้ำ เถ้านั้นถูกน้ำพัดไปติดที่ปากอ่าวข้างหนึ่งเกิดเป็นตะไคร่น้ำขึ้นที่นั้น อยู่มาวันหนึ่งกษัตริย์เหล่านั้นชวนกันไปทรงสมุทรกีฬา ทรงเสด็จไปที่ปากอ่าวแล้ว แล้วทรงสั่งให้ปลูกมณฑป ทรงเสวย ทรงดื่มทรงหยอกเหย้ากันที่มหามณฑปซึ่งตกแต่งงดงาม ใช้พระหัตและพระบาทถูกต้องกันไปด้วยอำนาจความเย้ยหยัน จึงทะเลาะกันยกใหญ่ แตกกันเป็นสองพวก ลำดับนั้นกษัตริย์พระองค์หนึ่ง เมื่อไม่ได้ไม้ตะบองอย่างดี ก็ถือใบตะไคร่น้ำ ใบตะไคร่น้ำนั้น พอถูกจับเข้าเท่านั้นก็กลายเป็นสากไม้ตะเคียน
พระองค์ทรงตีมหาชนด้วยสากนั้นแล้ว สิ่งที่ทุกคนจับด้วยความเข้าใจว่าเป็นอย่างอื่นก็กลายเป็นสากไปหมด เขาจึงประหารกันและกันถึงความพินาศสิ้น กษัตริย์ 4 องค์ คือ วาสุเทพ พลเทพ อัญชน เทวีภคินี พากันขึ้นรถหนีไปถึงดงกาฬมัตติกะ ก็มุฏฐิกะคนปล้ำมาเกิดเป็นยักษ์อยู่ในดงนั้น รู้ว่าพลเทพมา ก็เนรมิตบ้านขึ้นที่นั่น แปลงเพศเป็นคนปล้ำเที่ยวโห่ร้องคำรามปรบมือ ท้าทายให้พลเทพมาต่อสู้ คำอธิษฐานของมุฏฐิกะเป็นจริง พลเทพไม่ทราบอุบายนั้น ออกมาปล้ำในสังเวียน จนโดนยักษย์มุฏฐิกะนั้นจับฉีกเนื้อกินเป็นอาหาร
วาสุเทพเห็นดังนั้น จึงพาภคินีและปุโรหิตเดินทางไปตลอดคืน รุ่งขึ้นสว่างก็ถึงปัจจันตคามนครหนึ่ง สั่งภคินีและปุโรหิตไปหาอาหารในเมือง ส่วนตัวเองเข้าไปนอนซ่อนอยู่ในกอไม้กอหนึ่งครั้งนั้นนายพรานคนหนึ่งชื่อชรา เห็นก่อไม้ไหวๆ เข้าใจว่าสุกรจักมีที่นั้น จึงพุ่งหอกไปถูกพระบาทวาสุเทพ “ โอ๊ย ใครกันที่ปาหอกมาใส่เรา ใครกัน ออกมาเดี๋ยวนี้ ” นายพรานรู้ว่าตนได้แทงมนุษย์ก็ตกใจกลัวคิดจะหนีไป
แต่พระเจ้าวาสุเทพได้ตรัสเรียกไว้แล้วถามชื่อเสียง เมื่อทราบว่านายพรานคนนี้ชื่อชรา ก็ทรงทราบว่า ในว่าคนรุ่นก่อนพยากรณ์เราไว้ว่า จักถูกนายชราแทงตาย ตั้งแต่นั้นมาพระราชาก็ไม่สามารถเสวยสิ่งใดได้ ร่างกายผอมซูบเซียว ตรัสเรียกภคินีและปุโรหิตมาสั่งเสีย แล้วให้ศึกษาวิชาอย่างหนึ่งแล้วส่งเค้ากลับไป พระองค์สิ้นพระชนม์อยู่ ณ ที่นั่นเอง
กษัตริย์พี่น้องทั้งหมด นอกจากอัญชนะเทวีแล้วถึงความพินาศสิ้น “ เราจักตายวันนี้ พวกท่านทั้งสองเป็น สุขุมาลชาติ ไม่อาจจะทำงานอย่างอื่นเลี้ยงชีพได้ จงเรียนวิชานี้ไว้ ”
ดูก่อนอุบาสกโบราณกบัณฑิต ฟังด้วยคำของบัณฑิตแล้ว กำจัดความโศกถึงบุตรของตนออกได้ ท่านอย่าคิดถึงเขาเลย ดังนี้แล้วองค์พระศาสดาก็ทรงประกาศสัจธรรม เวลาจบสัจจะ อุบาสกดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า
โรหิเณยยอำมาตย์ในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระอานนท์ ในบัดนี้
วาสุเทพในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระสารีบุตร ในบัดนี้
พวกที่เหลือนอกนี้ในครั้งนั้น ได้มาเป็น พุทธบริษัท ในบัดนี้
ส่วนฆตบัณฑิตในครั้งนั้น ได้เสวยพระชาติ เป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า