ชาดก 500 ชาติ
จัมมสาฏกชาดก-ชาดกว่าด้วยนักบวชไหว้แพะ
ในสมัยพุทธกาลเมื่อครั้งที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตะวันมหาวิหาร ทรงปรารภปริพาชกชื่อ จัมมสาฏก จีงทรงตรัสพระธรรมเทศนาดังนี้ กาลครั้งนั้นมีปริพาชกผู้หนึ่งบำเพ็ญตบะด้วยการเปลือยกาย มีเพียงผิวหนังเท่านั้นเป็นเครื่องนุ่งห่ม “ โอ้ เย็นหนอ เย็นวาบๆ ”
วันหนึ่งปริพาชกได้ออกจากอารามที่อยู่ของตน มุ่งหน้าไปยังพระนครสาวัตถีเพื่อเที่ยวขออาหารเลี้ยงชีพไปตามบ้านต่างๆ “ ถวายอาหารให้นักบวชชาตินี้ชาติหน้าจะได้มีกินไปทั้งชาตินะ ” “ วันนี้พวกเราไม่มีให้ท่านหรอก เชิญท่านไปที่อื่นเถิด ” “ ถวายอาหารให้นักบวชชาตินี้ ชาติหน้าจะได้มีกินไปทั้งชาติ ”
“ พวกเราถวายอาหารแก่นักบวชอื่นหมดแล้ว ท่านค่อยมาใหม่พรุ่งนี้เถิด ” “ เฮ้ย วันนี้ยังไม่มีใครถวายอาหารข้าเลย ข้า แสบท้องไปหมดแล้ว ” วันนั้นปริพาชกออกบิณฑบาตตั้งแต่เช้าจนบ่าย ก็ยังไม่ได้อาหารเลยแม้แต่น้อย
ตั้งแต่เช้าจนบ่าย นักบวชผู้ไม่นุ่งผ้า ต้องหาอาหารไกลกว่าเคย จนมาถึงสนามชนแพะของหมู่บ้าน ก็เห็นพวกชาวบ้านกำลังพนันขันต่อกันอยู่ “ จัดไปอย่าให้เสียเอาๆขวิดเข้าไป เอาๆ ” “อย่าไปยอมลูกพ่อ ถ้าวันนี้ไม่ชนะละก็ พ่อคงต้องเอาเจ้ามาทำแกงแพะซะแล้ว ”
“ แบะๆๆ พวกมนุษย์นี้เอาแต่ได้ ไม่คิดว่าพวกข้าจะเจ็บตัวกันบ้างรึยังไง ฮึ น่าโมโหนัก ” ฝ่ายปริพาชกเมื่อมาถึงบริเวณที่ชาวบ้านจัดให้มีการชนแพะก็เดินเข้าไปขออาหารที่นั่ง แต่ชาวบ้านที่มีใจจดจ่ออยู่กับการชนแพะนั้นก็ไม่ได้ให้ความสนใจ หรือให้อาหารเลยแม้แต่น้อย
“ ถวายอาหารให้นักบวชชาตินี้ ชาติหน้าจะได้มีกินไปทั้งชาตินะจ๊ะ ” “ เฮ้ย เกะกะจริงๆ เลย ช่วยหลีกไปหน่อยเถอะ ข้ากำลังดูแพะอยู่ ” “ เอ้าๆ นั้นๆ ขยับไปทางโน้นหน่อยสิ ฮึย เสียอารมณ์จริงๆ ” “ ชาวบ้านพวกนี้ ไม่เห็นนักบวชอย่างอย่างเราอยู่ในสายตาเลยสักนิด ”
ในขณะที่ปริพาชกกำลังขออาหารอยู่นั้น แพะตัวหนึ่งได้หลุดออกมาจากคอก มันกำลังอยู่ในอารมณ์หงุดหงิด เมื่อเห็นปริพาชกที่ไม่นุ่งห่มเสื้อผ้าดูแปลกตากว่าใครๆ มันก็ย่อตัวลง มุ่งจะขวิดชีเปลือยที่อยู่เบื้องหน้า
“ เจ้าชีเปลือยนี่ใครกัน ไม่ใส่เสื้อผ้าเหมือนชาวบ้าน เห็นแล้ว หงุดหงิดๆ ขวิดซะดีไหมเนี่ย ” ธรรมดาแพะนั้นเป็นสัตว์ที่มีนิสัยดุร้าย ฝ่ายปริพาชกเมื่อเห็นกิริยาแพะที่ย่อตัวลง กลับคดว่าแพะตัวนั้นเป็นสัตว์ที่ฉลาด ย่อตัวเคารพตนด้วยเพราะรู้จักในคุณธรรมความดีของตน
โดยหารู้ไหมว่าภัยกำลังมาถึงตัว “ ฮึ ดูสิ แพะนี่มันฉลาดกว่าชาวบ้านแถวนี้ซะอีก รู้ว่าอะไรควรเคารพบูชา ” เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ แพะนั้นก็วิ่งตรงรี่เข้ามายังผู้ไม่นุ่งผ้าที่ยืนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ฝ่ายปริพาชกซึ่งไม่รู้ตัวว่ากำลังมีภัยจึงไม่ยอมหลบแพะตัวนั้น กลับยืนนิ่งอยู่ จึงถูกแพะขวิดเข้าที่ขาอ่อน “ เฮ้ยๆๆ นั่น วิ่งมาทำไม่ อย่าๆ เฮ้ยๆ อย่าวิ่งมาทางนี้ โอ๊ยๆ เจ็บเหลือเกิน เจ้าแพะบ้า ดูสิ ข้าขาหักหรือเปล่าก็ไม่รู้ โอ๊ยๆ ” “ ฮ่าๆๆ สมน้ำหน้า อยู่ดีๆ ไปยืนให้แพะมันขวิดทำไมล่ะ ”
เรื่องที่ปริพาชกยกย่องแพะว่าเป็นสัตว์แสนรู้ จนต้องเจ็บตัวนั้น เป็นที่รับรู้กันไปทั่วในหมู่ภิกษุสงฆ์ วันต่อมาภิกษุทั้งหลายได้หยิบยกเรื่องนี้มาสนทนากันในธรรมสภา “ ได้ยินว่าปริพาชกยกย่องแพะว่าเป็นสัตว์แสนรู้จนถูกแพะนั่นขวิดเอา ” ในขณะที่ภิกษุทั้งหลายจับกลุ่มสนทนากันอยู่นั้น สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จผ่านมาเมื่อทรงซักถามและทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว จึงทรงตรัสกับภิกษุเหล่านั้น
“ ภิกษุทั้งหลาย มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น ที่ปริพาชกทำเรื่องอย่างนี้ แม้ในกาลก่อนเขาก็เคยได้ทำเรื่องอย่างนี้ และต้องพบกับความพินาศมาแล้ว ” พระศาสดาตรัสดังนั้นแล้วเมื่อภิกษุทั้งหลายทูลอาราธนา พระองค์จึงทรงนำเรื่องในอดีตมาสาทกดังนี้ ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชย์สมบัติในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพ่อค้า ทำการค้าขายเลี้ยงชีพ
ในกาลนั้นมีปริพาชกเปลือยกายผู้หนึ่ง เที่ยวขอหารไปในนครพาราณสี “ ถวายอาหารให้นักบวชชาตินี้ ชาติหน้าจะได้มีกินไปทั้งชาติ ” วันหนึ่งปริพาชกได้เดินขออาหารไปจนถึงสถานที่ที่มีการแข่งขันชนแพะ ชาวบ้านที่มาดูการชนแพะนั้นไม่มีผู้ใด ให้ความสนใจปริพาชกเลย “ จัดไปอย่าให้เสียเอาๆ ขวิดเข้าไป เอาๆๆ ” “ สู้สิๆ อย่าไปยอม ขวิดกลับเลย ”
เมื่อไม่มีผู้ใดสนใจถวายอาหาร ปริพาชกจึงมาหยุดพักข้างสนามแข่งชนแพะนั้น และได้เห็นแพะตัวหนึ่งกำลังมองมาที่ตน “ ชาวบ้านพวกนี้ไม่ให้ความเคารพข้าซะเลย แย่จริงๆ เอ้ เจ้าแพะนั้นมันทำอะไรของมัน ดูสิ จ้องมาที่ข้าซะด้วย ” ธรรมดาแพะนั้นเป็นสัตว์ที่ดุร้ายเมื่อมันเห็นปริพาชกอยู่ตรงหน้า มันจึงย่อตัวลง เพื่อเตรียมวิ่งเข้าขวิด
ฝ่ายปริพาชกเมื่อเห็นแพะนั้นก้มตัวลงก็กลับคิดว่า แพะนั้นฉลาด ก้มตัวทำความเคารพตน เพราะเห็นว่าตนนั้นน่ายกย่องนับถือ “ เจ้าชีเปลือยนี่ เห็นแล้วอุจาดตาจริง เดี๋ยวป้าดจัดให้ซะหนึ่งดอกเลย ” “ เจ้าแพะนี่มันฉลาดจริง ก้มตัวทำความเคารพข้าซะด้วย ” ด้วยความเข้าใจผิดปริพาชก จึงไม่ได้หลีกหนีแพะที่กำลังกระโจนเข้าขวิด จึงยืนประนมมือรับแพะอยู่ตรงนั้น
“ คนแถวนี้ไม่มีวิชั่นเลย ไม่รู้ว่าใครควรเคารพบูชา สู้แพะก็ไม่ได้ ดูสิ แพะยังฉลาดกว่าชาวบ้านพวกนี้เสียอีก ” ขณะนั้นพระโพธิสัตว์ซึ่งเป็นพ่อค้านั่งอยู่ใกล้ๆ นั้นได้เห็นท่าทางของแพะก็รู้ได้ทันทีว่า หากปริพาชกผู้นี้ไม่หลีกหนีไปเสียก็จะต้องเจ็บตัวเป็นแน่ จึงร้องห้ามปริพาชกนั้น “ นักบวช ท่านอย่าได้ไว้ใจสัตว์สี่เท้านั้นน่ะมันกำลังจะพุ่งขวิดท่านแล้ว รีบหลบไปเถอะ ” “ เจ้าพูดอะไรแพะนั้นมันกำลังทำความเคารพข้าต่างหาก ”
“ แพะที่ไหนมันจะฉลาดเพียงนั้น ท่านเชื่อข้าเถอะ รีบหลบไปซะ ” พ่อค้าพูดยังไม่ทันขาดคำ เจ้าแพะตัวนั้นก็พุ่งขวิดปริพาชกเข้าที่ขาอ่อนจนล้มลง ได้รับทุกขเวทนา นอนร้องด้วยความเจ็บปวดอยู่ตรงนั้น “ นี่ จังหวะเผลอๆ แบบนี้แหละต้องจัดหนัก นี่แน่ะ ” “ โอ๊ยๆ เจ็บเหลือเกิน โอ๊ย กระดูกข้าหักแล้ว ” ปริพาชกนั้นเมื่อถูกแพะขวิดจนขาหักได้รับบาดเจ็บสาหัส
จึงได้กล่าวสอนตนเองว่า ไม่ควรที่จะให้การยกย่องสรรเสริญคนไม่ดี เพราะจะต้องทำให้ได้รับความลำบากเหมือนที่ตนได้รับ จนบาดเจ็บสาหัสในวันนี้ “ เฮ้ย ที่ข้าต้องเจ็บตัวแบบนี้ เพราะไปยกย่องแพะที่เป็นสัตว์ดุร้ายว่าเป็นสัตว์ฉลาดแท้ๆ อูย ไม่น่าเลย ” ปริพาชกร้องคร่ำครวญเจ็บปวดอยู่อย่างนั้น และได้ถึงแก่ความตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
ปริพาชกเปลือยกายคนนั้น ได้มาเป็น ปริพาชกที่ถูกแพะขวิดในบัดนี้
พ่อค้าผู้เป็นบัณฑิตในครั้งนั้น คือ เราตถาคต