ชาดก 500 ชาติ
ปัญจภีรุกชาดก-ชาดกว่าด้วยความสวัสดี
ในสมัยพุทธกาลเมื่อครั้งที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระสูตรว่าด้วยการประเล้าประโลมของมารธิดา ณ อัชปาลนิโคตธ
ครั้งนั้นภิกษุทั้งหลายประชุมกันในโรงธรรม พากันสนทนาถึงเรื่องที่พระศาสดาทรงขับไล่ธิดามารทั้ง 3 ของพญาวสวัตตีมาร “ พระศาสดาทรงปรีชายิ่งนัก สามารถขับไล่ธิดามารที่มาขัดขวางการบรรลุธรรมของพระองค์ได้ ” “ ข้าได้ยินมาว่า ธิดามารจำแลงกายเป็นหญิงงามนับร้อยเลยเชียวนะ ” พระศาสดาเสด็จ เห็นภิกษุทั้งหลายกำลังสนทนากัน จึงตรัสถามภิกษุนั้นว่าสนทนากันเรื่องอะไร
เมื่อทรงทราบเรื่องที่สนทนาพระองค์จึงตรัสกับภิกษุเหล่านั้น “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันการที่ไม่แลดูพวกธิดามารของเราในบัดนี้ ไม่น่าอัศจรรย์เลยแท้จริงในกาลก่อนเรากำลังแสวงหาพระโพธิญาณ แลดูแม้ซึ่งรูปทิพย์ที่พวกนางยักษิณีพากันเนรมิตไว้ ด้วยอำนาจกิเลสทั้งที่เรายังมีกิเลสดำเนินไปจนบรรลุถึงความเป็นมหาราชได้ ”
พระศาสดาตรัสดังนี้แล้ว ทรงนำเรื่องในอดีตมาสาทกดังต่อไปนี้ ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี มีพระราชโอรส 100 องค์ พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระราชโอรสองค์เล็กสุด
ครั้นเมื่อพระโพธิ์สัตว์เจริญวัย ครั้งนั้นพระราชาได้นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าหลายพระองค์ เพื่อถวายภัตตาหารในพระราชวัง พระโพธิสัตว์ทรงกระทำหน้าที่ไวยาวัจกรแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น วันหนึ่งพระโพธิสัตว์ทรงต้องการทราบว่าตนเองจะได้ครองราชสมบัติของพระราชบิดาหรือไม่
จึงคิดจะเข้าไปถามพระปัจเจกพุทธเจ้าดู “ พระปัจเจกพุทธเจ้าต้องบอกข้าได้แน่ ว่าข้าจะได้ครองราชสมบัติหรือไม่ ” วันต่อมาเมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายมากันแล้ว หลังจากถวายภัตตาหารแล้วพระโพธิสัตว์จึงเข้าไปทูลถามพระปัจเจกพุทธเจ้า “ ข้าแต่พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เจริญ ข้าพระองค์จะได้ครองราชสมบัติแผ่นดินนี้หรือไม่ ”
“ ดูก่อนพระโอรส พระองค์จะไม่ได้ครองราชสมบัติในพระนครนี้ แต่จะได้ครองราชย์สมบัติในนครตักศิลา ” “ หม่อมฉันจะเดินทางไปยังนครตักศิลาได้อย่างไรพระเจ้าข้า ” “ ดูก่อนพระโอรส การเดินทางไปยังนครตักศิลานั้น จะต้องฝ่าป่าดงดิบใหญ่ ที่มีฝูงยักขิณีคอยหน่วงเหนี่ยวบุรุษผู้เดินทางอยู่หากจะอ้อมดงนั้นไป จะเป็นทางไกลถึง 120 โยชน์ ถ้าไปทางตรงก็จะเป็นเพียงทาง 50 โยชน์ เธอจงคุมกิเลสไม่ให้ตกเป็นทาสของกิเลส หากทำได้เช่นนั้นก็จะได้ราชสมบัติในนครนั้น ใน 7 วันต่อจากนี้ไป ” พระโพธิสัตว์รับโอวาทแล้ว ก็ขอให้พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายทำพระปริตรับทรายเสกด้วยพระปริตร จากนั้นจึงบังคมลาพระปัจเจกพุทธเจ้า
พระราชบิดาและพระราชมารดา เสด็จไปยังนครตักศิลา พระโพธิสัตว์พร้อมด้วยราชบุรุษ 5 คน เดินทางผ่านป่าที่มีชื่อว่า อมนุษกันดาร ก็พบฝูงยักษิณีพากันเนรมิตกายไปนั่งคอยอยู่ ราชบุรุษผู้หนึ่งเป็นผู้ยึดติดในรูป เมื่อเห็นนางยักษิณีจำแลงก็เกิดลุ่มหลงจนเดินรั้งท้าย
“ เหนื่อยหรือเปล่าจ๊ะหนุ่มๆ เข้ามาพักเหนื่อยที่นี่ก่อนดีกว่าไหมจ๊ะ ” “ โอ้โหหญิงผู้นี้งดงามยิ่งนัก รูปร่างหน้าตาผิวพรรณถูกใจข้าจริงๆ ” “ ท่านราชบุรุษทำไมท่านจึงเดินรั้งท้ายเช่นนั้น ” “ หม่อมฉันเจ็บเท้าขอพักที่ศาลานั้นก่อนเถอะพระเจ้าข้า ”
“ หญิงที่เจ้าเห็นนั้นน่ะ เป็นนางยักษ์ เจ้าอย่าได้หลงรูปของมันเลย ” “ จะเป็นอย่างไรก็ช่างเถิด หม่อมฉันทนไม่ไหวแล้วพระเจ้าข้า ” “ ตามใจเจ้าเถอะแล้วเจ้าจะรู้เอง ” พระโพธิสัตว์ไม่อาจห้ามบุรุษผู้หลงใหลในรูปนั้นได้ จึงพาราชบุรุษอีก 4 คนที่เหลือเดินทางต่อไป
ฝ่ายราชบุรุษผู้หลงใหลในรูปนั้น เมื่อมาถึงศาลาที่นางยักษ์จำแลงนั่งรออยู่ก็ถูกพวกนางยักษ์ทั้งหลายจับกินเป็นอาหารทันที “ พี่มาแล้วจ้า ไหนๆๆ มาให้พี่เชยชมหน่อยสิ ” “ มาสิจ๊ะ เข้ามาใกล้ๆ น้องจะได้จับกินได้ถนัด ฮ่าๆๆๆ ”
“ นี่มันนางยักษ์นี่น่า หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวเหลือเกิน ปล่อยๆๆ ข้านะ อย่ากินข้าเลย โอ้ยๆๆ อย่ากินข้าเลย ” “ ฮ่าๆๆๆ อร่อยจริงๆ อร่อยมาเลยเนื้อมนุษย์เนี่ยมันช่างหอมหวานจริงๆ ฮ่าๆๆๆ ” เมื่อนางยักษ์กินราชบุรุษเป็นอาหารแล้ว ก็ไปเนรมิตศาลาดักอยู่ข้างหน้าอีก คราวนี้พวกมันจำแลงกายนั่งถือเครื่องดนตรีต่างๆ ขับร้องอยู่
“ นั่งฟังดนตรีในศาลาของข้าสิจ๊ะ ข้าจักขับร้องให้พวกท่านคลายเหนื่อยเลยล่ะ ” ราชบุรุษผู้ที่ชื่นชอบในเสียงดนตรีก็เกิดติดใจในเสียงนั้น ทำให้เดินช้ารั้งท้ายขบวน “ ท่านราชบุรุษ ทำไมท่านจึงเดินช้ารั้งท้ายขบวนเช่นนั้นเล่า ”
“ หม่อมฉันทนไม่ไหวแล้ว เสียงดนตรีนั่นช่างไพเราะจับใจเหลือเกิน หม่อมฉันจะขอไปนั่งฟังดนตรีนะพระเจ้าค่ะ ” ราชบุรุษผู้หลงใหลในเสียงเพลง ไม่ฟังคำทัดทานของพระโพธิสัตว์ เข้าไปยังศาลาที่นางยักษ์จำแลงขับร้องเพลงอยู่ เมื่อไปถึงก็ถูกนางยักษ์จับกินอีก
“ เพลงที่พวกเจ้าขับร้อง ช่างไพเราะจับใจจริงๆ ฟังแล้วแทบไม่อยากฟังเสียงอื่นในโลกนี้เลย ” “ จริงหรือจ๊ะพี่จ๋า ถ้าเช่นนั้น ท่านก็ฟังเพลงนี้เป็นเพลงสุดท้ายก็แล้วกันฮ่าๆๆๆ ” “ นี่มันนางยักษ์นี่น่า ช่วยข้าด้วย ข้ายังไม่อยากตาย อ๊ากๆๆ ”
ต่อมาราชบุรุษผู้หลงใหลในกลิ่นก็ถูกลวงจนต้องตกเป็นอาหารของนางยักษ์อีก “ ไม่หอมๆ แล้ว ช่วยด้วยนางยักษ์จะกินข้า ” “ หอมไม่ใช่เหรอ ข้าก็หอม หอมเนื้อมนุษย์ของเจ้า ” พระโพธิสัตว์และราชบุรุษอีก 2 คนที่เหลือเดินทางต่อไปข้างหน้า ก็เจอนางยักษ์เนรมิตศาลาดักรออยู่
ในศาลานั้นเต็มไปด้วยอาหารมากมายราชบุรุษที่หลงในรสของอาหาร เห็นอาหารนั้นแล้วก็นึกอยากลิ้มรส ทำให้เดินช้ารั้งขบวน “ อาหารน่ากินทั้งนั้น ข้าไม่ไหวแล้วขอไปกินให้เต็มคราบก่อนแล้วกัน ” “ ท่านอย่าได้หลงกลนางยักษ์ อาหารนั้นจะทำให้ท่านตายได้ ” “ ไม่สนแล้ว อยากกินเหลือเกิน ”
ราชบุรุษผู้หลงในรสอาหาร แวะกินอาหารในศาลาของนางยักษ์ ยังไม่ทันอิ่มก็ถูกนางยักษ์จับกินเป็นอาหาร “ อืม อร่อย ข้าหิวเหลือเกิน ได้กินอาหารอร่อยแบบนี้ถึงตายก็ยอม ” “ งั้น ข้าไม่เกรงใจละนะ ” “ นะๆๆ นางยักษ์ ช่วยด้วยนางยักษ์จะกินข้า ”
พระโพธิสัตว์และราชบุรุษอีกหนึ่งคนที่เหลือก็เดินทางต่อไป ก็พบกับนางยักษ์ที่มาดักรออยู่อีก คราวนี้มันเนรมิตศาลา ตกแต่งที่นอนดุจที่นอนทิพย์นั่งคอยอยู่ “ มามะ หนุ่มๆ ที่นอนนุ่มๆ รอพวกท่านอยู่นะ ” “ ข้าพระองค์เดินต่อไปไม่ไหวแล้ว ขอนอนพักที่เตียงนุ่มๆ นั่นหน่อยเถอะพระเจ้าค่ะ ”
“ ท่านอย่าไปเลย ที่นอนนั่น นางยักษ์เนรมิตไว้ ท่านอย่าได้หลงกลมันเลย ” ราชบุรุษผู้นั้นไม่ได้ฟังคำทัดทานของพระโพธิสัตว์ เข้าไปยังศาลาแล้วนอนลงยังที่นอนที่นางยักษ์เนรมิตไว้ ไม่ทันไรก็ต้องตกเป็นอาหารของนางยักษ์เช่นเดียวกับราชบุรุษสามคนก่อนหน้านี้ ราชบุรุษทั้งห้า ที่ติดตามพระโพธิสัตว์ไปยังนคร ถูกนางยักษ์จับกินจนหมด
เหลือเพียงพระโพธิสัตว์พระองค์เดียวเท่านั้นที่ไม่หลงกล นางยักษ์จึงเนรมิตกายเป็นหญิง อ้างตนว่าเป็นภรรยาของพระโพธิสัตว์เดินตามพระองค์ไปตลอดทาง “ แม่สาวน้อยชายหนุ่มที่เดินนำหน้านั่น เป็นอะไรกับเจ้ารึ ” “ นั่นน่ะ สามีข้าเองหล่ะจ้า ”
“ นี่พ่อหนุ่ม หญิงสาวผู้อ่อนแอเช่นนี้ ยอมลำบากตามเจ้ามาในป่า ทำไมเจ้าถึงไม่ดูแลนางบ้างเลยหล่ะ ” “ นางไม่ใช่ภรรยาหรอก นางเป็นนางยักษ์ คนของเราห้าคนถูกนางจับกินไปหมดแล้ว ” “ แหม ท่านพี่ช่างใจร้าย ดูสิ โกรธข้า จนหาว่าข้าเป็นยักษ์เป็นมาร มันน่าน้อยใจจริงๆ เล้ย ”
ผู้คนมากมายพบเห็นต่างก็ถามคำถามเช่นนี้ตลอดทาง จนมาถึงพระนครตักศิลา พระโพธิสัตว์เสด็จประทับนั่ง ณ ศาลาหลังหนึ่ง ด้วยเดชของพระองค์ทำให้นางยักษ์ไม่สามารถเข้าไปด้วยได้ จึงเนรมิตรูปนางฟ้า ยืนอยู่ที่ประตูศาลา ขณะนั่นเองผู้ครองนครตักศิลาเสด็จผ่านมาพบเข้า ก็เกิดหลงใหลในตัวนางยักษ์จำแลง
จึงเสด็จเข้าไปหา “ น้องหญิง เจ้ามีคู่ครองแล้วหรือยัง ” “ ชายที่อยู่ในศาลานั้นไงเพค่ะ คือ สามีของข้า ” “ นางผู้นี้เป็นภรรยาของเจ้ารึ ” “ นั่นไม่ใช่ภรรยาหรอกมันเป็นนางยักษิณี คนของข้าพเจ้าห้าคน ถูกมันจับกินไปแล้ว ” “ ถ้านางไม่มีเจ้าของเช่นนี้ ย่อมตกเป็นของหลวง ฮ่าๆๆ เสร็จเราล่ะคราวนี้ ”
พระราชานำนางยักษ์กลับวัง แล้วทรงสถาปนาเป็นมเหสี ต่อมานางยักษ์ก็กลับไปชักชวนนางยักษ์พรรคพวกของตนมาอยู่ในวัง และจับพระราชาและมนุษย์ทั้งหลายกินเป็นอาหาร ไม่เว้นแม้กระทั้งสัตว์ทั้งหลายภายในวัง เมื่อยักษ์ทั้งหลายกินจนอิ่มแล้ว ก็กลับไปยังอมนุษสกันดารของตน ฝ่ายชาวเมือง เมื่อเห็นว่าพระราชาถูกจับกินไปแล้ว ก็มาอัญเชิญพระโพธิสัตว์แล้วก็ถวายราชสมบัติ
เมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์สมบัติแล้ว จึงประกาศแจ้งประชาชนทั้งหลาย “ เราไม่ตกอยู่ในอำนาจของพวกรากษส เพราะความเพียรมั่นคง ดำรงอยู่ในคำแนะนำของผู้ฉลาด และความไม่หวาดหวั่นต่อภัย และความสยดสยอง และสวัสดิภาพจากภัยอันใหญ่หลวงจึงมีแก่เรา ”
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
เราตถาคต ได้เป็นราชกุมาร ผู้ไปปกครองราชสมบัติ
ในพระนครตักกศิลาในครั้งนั้นฉะนี้แล