ชาดก 500 ชาติ รวมนิทานชาดกพร้อมภาพประกอบ คติธรรม ข้อคิดสอนใจ

ชาดก 500 ชาติ : ชาดก 500ชาติรวมชาดก 500 ชาติพร้อมภาพประกอบ  ข้อคิดสอนใจ

ชาดก คือ เรื่องราวหรือชีวประวัติในอดีตชาติของพระโคตมพุทธเจ้า คือ สมัยที่พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีอยู่ พระองค์ทรงนำมาเล่าให้พระสงฆ์ฟังในโอกาสต่าง ๆ เพื่อแสดงหลักธรรมสุภาษิตที่พระองค์ทรงประสงค์ เรียกเรื่องในอดีตของพระองค์นี้ว่า ชาดก ชาดกเป็นเรื่องเล่าคล้ายนิทาน บางครั้งจึงเรียกว่า นิทานชาดก

ชาดก 500 ชาติ :: อรรถกถา ถุสชาดก ว่าด้วย รู้จักแกลบหรือข้าวสารในที่มืด

อรรถกถา ถุสชาดก

ว่าด้วย รู้จักแกลบหรือข้าวสารในที่มืด

 

https://84000.org/tipitaka/atita100/space1.gif

            ณ พระเวฬุวันวิหาร พระศาสดา ทรงตรัสเล่าถึงพระเจ้าอชาตศัตรู ตั้งแต่ยังเป็นทารกอยู่ในครรภ์ของมารดา วันหนึ่งพระมเหสีเกิดแพ้ท้องอย่างหนัก "ท่านหญิงอาการเป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นหรือยังเจ้าคะทรงยากกินเลือดอยู่ไหม" บ่าวรับใช่เอ่ยถาม "อื่ม" หญิงสาวพยักหน้ารับ ข้ายังอยากกินเลือดของท่านพี่อยู่เลย" ขณะเดียวกันพระเจ้าพิมพิสารที่อยู่ในห้องบังเอิญได้ยินบทสนทนาเข้า “อยากกินเลือดงั้นหรือ" พระเจ้าพิมพิสารมีสีหน้าฉงน "ทำไมอาการแพ้ท้องของน้องหญิงช่างพิสดารขนาดนี้ แล้วจะมีผลต่อบ้านเมืองในอนาคตหรือเปล่าลองปรึกษาโหรหลวงดูก่อนอาจจะไม่มีอะไรก็ได้" "ทหาร! เจ้าไปตามโหรมาพบข้าหน่อย" 

 

         เมื่อโหรเดินทางมาถึง "ไม่ทราบว่าพระองค์มีอะไรให้หม่อมฉันรับใช้" "ข้ามีเรื่องนึงอยากให้เจ้าทำนาย คือพระเทวีมีอาการแพ้ท้องแปลกๆ" "ยังไงหรือเจ้าข้า" จากนั้นพระเจ้าพิมพิสารเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้โหรประจำตัวฟัง "ข้าแต่พระองค์ กระหม่อมเกรงว่าเรื่องนี้ไม่ดีมากนัก" "อย่างไรหรือ" “ในอนาคตลูกชายคนนี้จะฆ่าพระองค์เพื่อยึดพระราชสมบัติ” "ห้ะ" พระเจ้าพิมพิสารมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย "จริงพะย่ะค่ะ อาจจะฟังดูโหดร้ายแต่นี่คือเรื่องจริง" โหรยังเอ่ยสำทับ "ขอบใจมาก ส่วนเรื่องนี้ข้าจะจัดการเองเจ้าไปได้เเล้ว" "พะย่ะค่ะ"


https://84000.org/tipitaka/atita100/space1.gif             หลายวันต่อมา พระเจ้าพิมพิสารเก็บเรื่องคำทำนายไปนั่งคิดนอนคิดอยู่หลายวัน ว่าจะทำอย่างไรดีกับเหตุการณ์ครั้งนี้ "ข้าไม่อยากพรากชีวิตของเด็กตัวน้อยนี้เลย แต่ก็คงไม่มีทางเลือกอื่นแล้วสินะ" 

 

              เช้าวันต่อมาขณะที่ทั้งสองอยู่ในห้องบรรทม "น้องหญิงพี่มีเรื่องอยากจะคุยกับน้องสักหน่อย" "เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ" "อาการเเพ้ท้องของเจ้า" "แล้วผลออกมาเป็นอย่างไรบ้าง" สาวเจ้ามาสีหน้าสนอกสนใจ ขณะเดียวกันใบหน้าของพระเจ้าพิมพิสารถูกฉาบไปด้วยความหนักใจ ก่อนความเงียบจะเข้าเกาะกุม "ในอนาคตลูกของเราจะก่อกบฎ" "จะ..จริง หรือเจ้าคะ" หญิงสาวเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ  พระเจ้าพิมพิสารพยักหน้าอย่างช้าๆ เพื่อตอกย้ำความจริง ภาพตรงหน้าหญิงกำลังนั่งก้มหน้า ใช้สองมือน้อยๆปิดบังใบหน้า เนื้อตัวสั่นเทา เหมือนกำลังสะกดกั้นความเจ็บปวดที่กำลังถาโถมเข้ามา  "โถ..น้องหญิงของข้า ช่างน่าสงสารยิ่งนัก" ก่อนคนผู้เป็นสามีทรุดนั่งลงข้างๆภรรยา ใช้มือทั้งสองจับไปที่ใบหน้า ค่อยๆประคองใบหน้าอันงดงามให้เงยขึ้น จ้องมองเข้าไปที่ดวงตาคู่สวย ที่กำลังเอ่อไปด้วยน้ำสีใส "น้องหญิงช่วยเอาลูกในครรภ์ ออกได้ไหม" เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ "แต่...นี่คือลูกของเรานะเจ้าคะ” เสียงใสเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา ก่อนน้ำสีใสที่คลออยู่ในดวงตา จะค่อยๆไหลรินอาบแก้มทั้งสองข้าง ร่างบางสั่นเทา “ได้โปรดไว้ชีวิตลูกของเราเถิด อย่าทำเวรทำกรรมเลย ท่านไม่รักลูกน้อยคนนี้แล้วหรือ” เหมือนลูกศรที่พุ่งปักเข้ากลางอก ความจริงอันโหดร้ายที่พระองค์ขอให้ฆ่าลูกของตนเหมือนถูกตบฉาดใหญ่เข้าที่หน้าอย่างจัง "ข้าทำอะไรลงไป แค่คำทำนายของโหรถึงกับทำให้เราทำเรื่องที่เลวร้ายเช่นนี้หรือ" พระองค์มองดูภรรยาสุดที่รักตรงหน้า “ก็ได้พี่จะไม่ทำร้ายลูกของเรา”


https://84000.org/tipitaka/atita100/space1.gif            ครั้นครบกำหนดคลอด พระโอรสถือกำเนิดขึ้น ได้รับนามว่า อชาตศัตรูกุมาร วันหนึ่งพระศาสดาและคณะภิกษุ ๕๐๐ รูป เสด็จไปที่วังพระเจ้าพิมพิสารก่อนประทับนั่ง พระองค์ทรงถวายภัตตาหารกับภิกษุสงฆ์ บรรดาข้าวปลาอาหาร ถูกจัดเตรียมอย่างปราณีตวางอยู่ตรงหน้าบรรดาพระภิกษุสงฆ์  ขณะเดียวกันพี่เลี้ยงพากุมารมาถวายกับพระเจ้าพิมพิสาร ก่อนพระองค์ทรงอุ้มพระโอรสมานั่งไว้บนตัก ด้วยความเสน่ห์หาขณะที่พระพุทธเจ้า ทรงเทศนาธรรรม พระราชามัวแต่เล่นกับลูกน้อยจนไม่ได้ฟังคำสั่งสอนของพระศาสดา


         https://84000.org/tipitaka/atita100/space1.gif          พระศาสดาทรงทราบความประมาทของพระราชา จึงตรัสว่า “พระราชาในครั้งก่อน ทรงระแวงพระโอรสถึงกับเอาไปขังไว้ในปราสาท” ก่อนนำเรื่องในอดีตมาเล่าว่า


        https://84000.org/tipitaka/atita100/space1.gif            ในอดีตกาล สมัยพระเจ้าพรหมทัตครองราชย์สมบัติในเมืองพาราณสี พระโพธิสัตว์คืออาจารย์ทิศาปาโมกข์ในเมืองตักกสิลาเปิดสำนักสอนศาสตร์และศิลป์ ในด้านต่างๆซึ่งผู้คนที่เข้ามาเรียนส่วนใหญ่นั้นเป็นราชกุมารและพราหมณ์กุมาร ซึ่งพระโอรสของพระเจ้าพรหมทัต ได้เข้าเรียนสำนักทิศาปาโมกข์เช่นกัน เมื่อเวลาผ่านไปพระโอรสก็จบการศึกษา แต่ก่อนที่จะเดินทางกลับบ้านเมืองของตน พระองค์ได้เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ เพื่อกราบลาอาจารย์ของตนที่คอยถ่ายทอดความรู้เเละสั่งสอนศาสตร์ต่างๆแก่พระองค์ 

 

       "ก๊อกๆ" "ท่านอาจารย์อยู่ไหมครับ" "เข้ามาเลย" "อ้าวพระองค์ยังไม่เดินทางกลับเมืองอีกหรือ" "ยังครับน่าจะะออกเดินทางพรุ้งนี้เช้า เลยคิดว่าก่อนที่จะเดินทางจะของกราบลาท่านอาจารย์ก่อน" พระโพธิสัตว์นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนที่จะเอ่ยขึ้น "กระหม่อมมีของขวัญชิ้นหนึ่งที่อยากให้พระองค์" "อะไรหรือครับ" แววตาของพระโอรสเปล่งประกาย "มีของดีอะไรให้ผมหรือครับ" "ไม่ใช่แบบนั้น ตัวกระหม่อมไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์อะไร" "สิ่งที่จะให้พระองค์คือ วิชาทำนายอวัยวะ คือการดูลักษณะรูปร่างของพระองค์ แล้วทำนายอนาคต เป็นศาสตร์แขนงหนึ่งของการดูดวง” พระองค์ต้องนั่งนิ่งๆให้กระหม่อมพิจารณา อวัยวะบนใบหน้า ตาหูจมูกปากก่อน อาจจะดูยุ่งยากนิดหน่อย เเต่ศาสตร์นี้เป็นการทำนายที่มีความแม่นยำมาก  เดี๋ยวกระหม่อมจะเริ่มดูตั้งแต่ใบหน้าแล้ว เขียนลงบนกระดานแผ่นนี้ก่อน" เมื่อเวลาผ่านไปสักครู่ "เสร็จแล้วขอรับ" "คำทำนายเป็นเช่นไรในอนาคตข้าจะได้เป็นมหาราชอันยิ่งใหญ่ไหม" พระโพธิสัตว์นิ่งเงียบ

 

%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%8701.jpg


         

           "ไม่ต้องทำนายกระหม่อมก็รู้ว่าพระองค์นั้นเป็นกษัตริย์ที่ดีในอนาคตแน่นอน แต่มีเรื่องนึงที่อยากให้พระโอรสท่องให้ขึ้นใจ คือ คาถาทั้งสี่นี้พระองค์จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อขึ้นเป็นกษัตริย์และพระโอรสมีอายุ ๑๖ ปี อย่าลืมนะขอครับ เพื่อความปลอดภัยต่อพระองค์เอง”


          https://84000.org/tipitaka/atita100/space1.gif           พระราชกุมารรับปาก ก่อนไหว้อาจารย์แล้วออกเดินทาง จากนั้นพระองค์ขึ้นครองราชสมบัติ ก่อนที่เวลาล่วงเลยจนพระโอรสมีพระชนม์ได้ ๑๖ พรรษา พระองค์เห็นบ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง ในท้องพระคลังนั้นเต็มไปด้วยสมบัติพัสถาน แก้วแหวนเงินทองมากมาย ระยิบระยับ ไปเตะตาพระโอรสเข้า จึงถูกความโลภเข้าครอบงำอยากเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัตินี้ จึงพยายามหาวิธีปลงพระชนพ่อของตัวเอง จนเอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับ พี่เลี้ยงของตนแทนที่จะห้ามปรามแต่ผลกับตรงกันข้ามพี่เลี้ยง ค่อยสนับสนุนยุยงส่งเสริม พระโอรสทำเรื่องที่ผิดต่อศีลธรรม

 

            ทั้งสองช่วยกันวางแผน ฆ่าพ่อต่างๆนาๆ จนกระทั่งเวลาที่รอคอยมาถึง เย็นวันหนึ่งพระโอรสทานอาหารร่วมโต๊ะกับพ่อของตน หลังจากไม่ได้กินข้าวด้วยกันมานานมาก แต่ก่อนที่จะถึงเวลา พระโอรสได้หาขวดแก้วขนาดเล็กจึงใส่ยาพิษไว้ด้านใน แล้วถือไว้ในมือ เพื่อรอจังหวะทีเผลอ ใส่ยาพิษลงไปในอาหารเมื่ออาหารมาถึงองค์ชายที่นั่งตรงข้ามกับพ่อของตนเอ่ยขึ้น "อาหารมื้อนี้มีแต่ของน่าทานทั้งนั้นเลยนะครับ" พระราชาพยักหน้ารับ "ก็มีแต่เมนูที่ลูกชอบทั้งนั้น" "นานๆ เราสองพ่อลูกจะได้ทานอาหารด้วยกันสักที พ่อเลยเตรียมเฉพาะที่ลูกชอบ" แต่ก่อนที่พระราชาจะเสวยอาหารทรงตรัสว่า 

 

             "แกลบปรากฎโดยความเป็นแกลบแก่หนูทั้งหลาย ข้าวสารก็ปรากฎโดยความเป็นข้าวสารแก่พวกมัน แม้ในที่มืดพวกมันก็เว้นแกลบเสีย กินแต่ข้าวสาร ในที่มืดแม้จะมองไม่เห็น แกลบก็ยังคงเป็นแกลบเมื่อปรากฏขึ้นก็ยังคงเป็นแกลบ แม้แต่ข้าวสารก็ปรากฎเป็นข้าวสาร ให้แก่หนูทั้งหลาย"


       https://84000.org/tipitaka/atita100/space1.gif             "ท่านพ่อหมายความเช่นไร" คำถามที่ผุดขึ้นมาในหัวของลูกชาย พระราชากล่าวอธิบายต่อไปว่า "แม้ในที่มืด แกลบก็ปรากฎโดยความเป็นแกลบ ข้าวสารปรากฎโดยความเป็นข้าวสารแก่หนูทั้งหลาย พวกมันเว้นแกลบกินแต่ข้าวสาร ฉันใด ความที่เรานั่งกุมยาพิษร้ายก็ปรากฎ ฉันนั้นเหมือนกัน" "ท่านพ่อกำลังหมายความว่า ในมือของเรามียาพิษงั้นหรือ " 

 

%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%8702.jpg

 https://84000.org/tipitaka/atita100/space1.gif 
https://84000.org/tipitaka/atita100/space1.gif

      "ซวยแล้ว ท่านพ่อรู้ได้ไง!” เหงื่อเม็ดแล้วเม็ดเล่าผุดพราย ผ่านทางผิวหนังเหมือนคนไม่สบาย ใบหน้าซีดขาวจ้องมองไปยังพระบิดานิ่ง  “เป็นอะไรหรือเปล่าลูก”  “เออ....รู้สึกเหมือนปวดหัวครับ" พระโอรสเอ่ยเสียงสั่น "ผมขอไปนอนก่อนนะพ่อ” “ดูแลตัวเองดีๆด้วยนะลูก” ก่อนพระโอรสจะลุกขึ้นค่อยๆเดินออกมาจากห้องทานอาหาร

 

          "ตึกๆ"เสียงฝีเท้าก้าวย่างอย่างมั่นคง ในขณะภายในกลับร้อนรุ่มเหมือนดังไฟสุม เมื่อเดินออกมาพ้นสายตาของบิดาและเหล่าทหารรักษาพระองค์แล้ว จึงออกวิ่งสุดแรงเกิด ตรงไปยังตัวอุทยานก่อนมาหยุดอยู่ ตรงหน้าพุ่มไม้ขนาดใหญ่  แล้วใช้สายตาสอดส่องทั้งสองฝั่งเพื่อเเน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ จึงใช้มือแหวกพุ่มไม้ เดินฝ่าเข้าไปหาพี่เลี้ยงของตน “แผนของเราล้มเหลว” "ห้ะจริงหรือ"เสียงพี่เลี้ยงอุทาน ก่อนที่เจ้าชายจะใช้มือ จุ๊ที่ปาก บอกให้เงียบ "ขอประทานอภัยขอรับ" “เกิดอะไรขึ้นหรือพระองค์” “ไม่รู้เหมือนกัน ก่อนที่พ่อจะกินข้าวได้ตรัสว่ารู้หมดแล้วว่าเราถือขวดยาพิษไว้ที่มือ” ท่าทีพระโอรสกระวนกระวาย อยู่ไม่สุข “พระราชาได้ส่งทหารมาจะจับกุมพระองค์ไหม” พี่เลี้ยงเอ่ย “ไม่มี”  "น่าแปลกทำไมกษัตริย์ถึงพูดเช่นนั้น" พระโอรสพยักหน้าก่อนเอ่ย "นั่นนะสิคงบังเอิญมั้ง แล้วอย่างนี้จะทำอย่างไรต่อ" "พระองค์ทรงอยู่เงียบๆ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น รอดูปฏิกริยาของพระราชาไปก่อน" 

 

          หลายวันผ่านไป ฝ่ายพระราชาไม่มีวี่แววจะสั่งให้ทหารมาจับพระโอรสลงโทษแต่อย่างไร  พระกุมารจึงปรึกษากับพี่เลี้ยงของตน “นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้วท่านพ่อดูปกติดี สงสัยเรื่องที่พระองค์พูดคงจะบังเอิญจริงๆ เเล้วเราจะเอาอย่างไรต่อดี” ก่อนที่พี่เลี้ยงจะกระซิบไปที่ข้างหูของพระโอรส 

 

         เช้าต่อมา วันที่พระราชวังจัดให้มีการเข้าเฝ้าครั้งใหญ่ ซึ่งประกอบไปด้วยเหล่าบรรดาขุนนางจากเมืองต่างๆ พากันมาเข้าเฝ้า  ขณะนั้นพระกุมารเดินตรงไปที่ท้องพระโรง ก่อนเข้าไปยืนอยู่ระหว่างพระราชาและเหล่าขุนนาง  ภายใต้สีหน้าเรียบเฉย ร่างกายที่สง่างาม เสื้อผ้าอาภรณ์ที่ถูกถักทอขึ้นอย่างประณีต กลับมีอันตรายซ่อนอยู่ภายใน มีดสั้นถูกแอบไว้อย่างมิดชิดเพื่อรอโอกาสที่จะพรากลมหายใจของพ่อบังเกิดเกล้า ภาพเบื้องหน้า ท้องพระโรงขนาดใหญ่ ผนังถูกทำด้วยหินอ่อนชั้นดีประดับตกแต่งอย่างสวยงาม ใจกลางห้องประชุม มีบัลลังก์สีทองสลับน้ำตาลจากไม้เนื้อดี ถูกบุด้วยหนังสีแดงสดตั้งตระหง่านอยู่กึ่งกลางผนังห้อง ณ ตอนนี้พระราชากำลังนั่งประทับอยู่บนนั้น  ก่อนประชุม พระองค์ทรงตรัสคาถาที่๒ มีใจความว่า การปรึกษากันในป่าก็ดี การพูดกระซิบกันในบ้านก็ดี และการคิดหาโอกาสฆ่าเราในบัดนี้ก็ดี เรารู้หมดแล้ว

 

%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%8703.jpg

 

       

         ใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ซีดเผือก ร่างที่ยืนอย่างภาคภูมิถึงกับสั่นเทา แขนขาอ่อนแรงเหมือนจะทรงตัวไม่อยู่ “ท่านพ่อรู้ได้อย่างไร” คำพูดนั้นแว๊บขึ้นมาในสมอง "ต้องรีบหนี" จากนั้นพระโอรสกล่าวลาพ่อของตนก่อนเดินออกจากพระโรงไป

 

         เวลาผ่านไป ๗-๘ วัน พี่เลี้ยงพูดกับพระโอรสว่า พระกุมารนี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว พระบิดาน่าจะไม่รู้ว่าพระองค์คิดการใหญ่ ไม่เห็นจะทำอะไรท่านเลย ถ้ารู้จริงบัดนี้พวกเราคงได้ไปเฝ้าพระอินบนสวรรค์แล้ว” พระโอรสพยักหน้า "ข้าก็คิดแบบนี้เช่นกัน" "ถ้าอย่างนั้นพระองค์ทรงคิดวางแผนใหม่เถิด"

       

%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%8704.jpg

     

         หลายวันต่อมา ช่วงเวลาพลบค่ำขณะที่พระกุมารถือดาบที่ซ่อนไว้ใต้เสื้อขณะที่ยืนอยู่หน้าประตูห้อง ใกล้หัวบันได ขณะนั้นพระราชายืนอยู่ที่หัวบันไดพอดี แต่ก่อนที่พระองค์จะเดินขึ้นบันได ทรงตรัสคาถาที่ ๓ ว่า "ลิงที่เกิดในป่ารังเกียจการบริหารฝูงของตน เอาฟันกัดผลของลูกลิงเฉพาะตัวที่เป็นหนุ่ม ทำให้ความเป็นชายพินาศไป ฉันใด เราเพิกถอนผลเป็นต้นแม้ของท่านผู้ประสงค์ราชสมบัติเกินไป จักทำให้ความเป็นชายให้พินาศไปฉันนั้น " “แย่แล้วต้องรีบหนี” ก่อนที่พระโอรสจะหันหลังรีบสาวเท้าออกไป หาพี่เลี้ยงของพระองค์

 

          ครึ่งเดือนต่อมาเหตุการณ์ต่างๆก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างปกติ ขณะที่พระโอรสกำลังนั่งสนทนากับพี่เลี้ยงในห้องบรรทม “พระกุมาร หม่อมฉันว่าพระราชาคงไม่ทราบเรื่องนี้หรอก ถ้าทราบเราคงไม่ได้อยู่แบบนี้แน่นอน พระองค์ทรงทำตามเจตนารมณ์ต่อเถิด” 

 

         วันหนึ่ง พระกุมารถือดาบ แอบเข้าไปยังห้องนอนในปราสาท ก่อนจะแอบซ่อนอยู่ใต้ที่นอน เมื่อพระราชาเสวยพระกระยาหารเย็นเรียบร้อยให้คนรับใช้กลับไปยังที่พักของตน  พระองค์เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าธรณีประตู แล้วตรัสคาถาที่ ๔ ว่า


https://84000.org/tipitaka/atita100/space1.gif        การที่เจ้าดิ้นรนอยู่เหมือนแพะตาบอด ในไร่ผักกาดก็ดี นอนอยู่ภายใต้นี้ก็ดี เรารู้หมดสิ้นแล้ว เจ้าดิ้นรนไปทางโน้นทางนี้ เพราะความกลัว เหมือนแพะตาบอดที่เข้าไปยังดงผักกาด คือ ครั้งที่ ๑ เจ้าถือเอายาพิษมา ครั้งที่ ๒ ประสงค์จะประหารด้วยดาบจึงมา ครั้งที่ ๓ ได้ถือดาบมายืนที่หัวบันได และบัดนี้ เจ้าคิดว่าจักประหารพระราชานั้น จึงมานอนอยู่ใต้ที่นอนทั้งหมดนั้น เรารู้อยู่บัดนี้จะไม่ละเจ้าไว้ จะจับเจ้าลงราชอาญา พระราชานั้นถึงจะไม่ทรงทราบอย่างนั้น แต่คาถานั้น ก็ส่องความนั้นๆ

 

         "พระบิดาทรงทราบแล้ว" พระโอรสรีบออกมาจากใต้ที่นอนอยากลุกลี้ลุกลน ก่อนจะทิ้งมีดแล้วก้มตัวลงกราบที่เท้าพระบิดาของตน ขอเดชะๆ พระราชบิดาโปรดยกโทษแก่หม่อมฉันเถิด”  “เจ้ารู้ไหมพ่อนั้นรักเจ้าเหมือนดั่งแก้วตาดวงใจ พ่อพยายามสอนให้เจ้านั้นเป็นคนดี ให้เป็นพระราชาที่มีคุณธรรม พ่อไม่คิดเลยว่าลูกจะทำเช่นนี้” คนเป็นพ่อหลั่งน้ำตา ก่อนจะประกาศเสียงกร้าว “ทหาร! จับลูกชายของข้า ไปขัง”  

 

        "ท่านพ่อ! ได้โปรดไว้ชีวิตผมด้วยเถิด" พระโอรสพยายามดึงตัวเองออกมาจากการจับกุมของทหาร "ท่านพ่อ ท่านพ่อ" พระโอรสยังคงร้องเรียก ดวงตาที่เอ่อไปด้วยน้ำใสๆไหลออกจากดวงตา ที่จ้องมองไปยังภาพเบื้องหน้า หัวใจของผู้เป็นพ่อแตกสลาย ไม่คิดว่าลูกชายที่ตนเฝ้าทะนุถนอมจะคิดปลงพระชนม์ผู้เป็นพ่อได้

https://84000.org/tipitaka/atita100/space1.gif

   

%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%8705.jpg

 

           ในกาลนั้น พระราชาทรงสำนึกได้ถึงคุณงามความดีของพระโพธิสัตว์ ต่อมา พระราชานั้นเสด็จสวรรคต พวกอำมาตย์กระทำการถวายพระเพลิงพระศพแล้ว จึงนำพระกุมารออกจากเรือนจำ ให้ดำรงอยู่ในราชสมบัติ



https://84000.org/tipitaka/atita100/space1.gif           พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงตรัสเหตุนี้ว่า ดูก่อนมหาบพิตร พระราชาในครั้งก่อนทรงรังเกียจเหตุที่ควรรังเกียจอย่างนี้ แม้พระองค์จะทรงตรัสอย่างนี้ พระราชาก็มิได้ทรงกำหนด ไม่รู้สึกพระองค์

 

           พระศาสดาทรงประชุมชาดกว่า
https://84000.org/tipitaka/atita100/space1.gifอาจารย์ทิศาปาโมกข์ในเมืองตักกสิลาในครั้งนั้น ได้เป็น 
เราตถาคต ฉะนี้แล

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

* * ชาดก 500 ชาติ แนะนำ * *

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล