ชาดก 500 ชาติ รวมนิทานชาดกพร้อมภาพประกอบ คติธรรม ข้อคิดสอนใจ

ชาดก 500 ชาติ : ชาดก 500ชาติรวมชาดก 500 ชาติพร้อมภาพประกอบ  ข้อคิดสอนใจ

ชาดก คือ เรื่องราวหรือชีวประวัติในอดีตชาติของพระโคตมพุทธเจ้า คือ สมัยที่พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีอยู่ พระองค์ทรงนำมาเล่าให้พระสงฆ์ฟังในโอกาสต่าง ๆ เพื่อแสดงหลักธรรมสุภาษิตที่พระองค์ทรงประสงค์ เรียกเรื่องในอดีตของพระองค์นี้ว่า ชาดก ชาดกเป็นเรื่องเล่าคล้ายนิทาน บางครั้งจึงเรียกว่า นิทานชาดก

ชาดก 500 ชาติ :: อรรถกถา ทธิวาหนชาดก ว่าด้วย พระเจ้าทธิวาหนะ

อรรถกถา ทธิวาหนชาดก

ว่าด้วย พระเจ้าทธิวาหนะ

 

          ณ พระเชตะวันมหาวิหาร พระศาสดา ทรงตรัสธรรมเทศนาเรื่อง พระภิกษุคบค้าสมาคมกับคนพาน "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าการอยู่ร่วมกับคนไม่ดี ทำแต่เรื่องเดือดร้อนเลวทรามให้แก่เพื่อนมนุษย์ จนเดือดเนื้อร้อนใจ" ก่อนทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่าโดยมีใจความดังนี้ว่า


          https://84000.org/tipitaka/atita100/space1.gif              ในอดีตกาล สมัยพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี มีพราหมณ์สี่พี่น้องออกบวชเป็นฤๅษี ในประเทศหิมวันตะ  


           เมื่อเวลาผ่านไปพี่ชายคนโตได้เสียชีวิตลง ก่อนได้ถือกำเนิดเป็นท้าวสักกะ "เราก็เกิดได้ ๑-๒ วันแล้ว รอให้ทุกอย่างลงตัวก่อนสัก ๗-๘ วันค่อยลงไปหาดาบสน้องทั้งสามของเราแล้วกัน" สามวันผ่านไปดาบสน้องคนรอง ทราบข่าวว่าพี่ชายได้ถือกำเนิดเป็นท้าวสักกะ จึงเดินทางมาเข้าเฝ้า

 

           ณ.สถานที่ประทับ ท้าวสักกะถามสารทุกข์สุกดิบเรื่องต่างๆ ก่อนเอ่ยถามว่า "น้องพี่ท่านอยากได้ของวิเศษอะไรไหม" "ตอนนี้ผมนั้นเป็นโรคผอมเหลืองร่างกายขาดความอุบอุ่น เลยต้องการไฟ" ท้าวสักกะพยักหน้า ก่อนจะประทานมีดพร้าโต้ สีเงินเงาวับลักษณะดาบเหมือนรูปสามเหลี่ยมเรียวยาว ส่วนปลายโค้งงุ้ม ขนาดเหมาะมือไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไป

 

%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%8701.jpg

 

              "ท่านประทานมีดแก่ผมเพียงเล่มเดียวแล้วอย่างนั้น จะหาฟืนได้อย่างไร" "เดี๋ยวก่อนน้องพี่ พร้าโต้เล่มนี้ไม่ใช่มีดธรรมดาอย่างที่ท่านเห็น" "เมื่อต้องการฟืน จงเอามือตบพร้าโต้นี้ แล้วสั่งว่าจงหาฟืนมาก่อไฟให้เรา พร้าโต้เล่มนี้จะทำตามคำสั่งออกไปหาฟืนมาให้ท่าน" ดาบสผู้น้องมีสีหน้าเเช่มชื่นก่อนจะกล่าวกับท้าวสักกะว่า ขอบคุณท่านพี่มาก

 

              จากนั้นท้าวสักกะเดินทางไปหาดาบสรูปที่สอง ก่อนตรัสถามว่า "น้องพี่ท่านต้องการอะไรหรือ" ดาบสรูปที่สองทำท่านั่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า "ศาลาของผมนั้นเป็นทางผ่านของฝูงช้างมักจะถูกรบกวนอยู่บ่อยๆ ขอให้ท่านพี่ช่วยไล่มันไปเสียเถิด" ท้าวสักกะพยักหน้าก่อนจะมอบกลองใบหนึ่งให้แก่ดาบส  ตัวกลองถูกทำด้วยไม้ชั้นดีขัดเป็นมันเงาบุด้วยหนังวัวสีขาว ประดับด้วยทองฉลุลวดลายต่างๆ อย่างปราณีต "กลองที่ท่านให้มานั้นช่วยไล่ช้างอย่างไรหรือ"ฤๅษีผู้น้องเอ่ย "อย่างแรกคือเมื่อตีกลองเสียงจะดังก้องกังวาลทำให้ช้างนั้นหนีไป ส่วนอีกด้านคือเมื่อตีแล้วจะปรากฏกองทัพทหารขนาดใหญ่ออกมา " "ขอบคุณท่านมากจากนี้คงไม่ต้องทนรำคาญฝูงช้างนั่นเสียที"

 

%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%8702.jpg


                          https://84000.org/tipitaka/atita100/space1.gif            ครั้นประทานกลองเสร็จแล้ว จึงเสด็จไปยังสำนักของดาบสน้องสุดท้อง ก่อนตรัสถามว่า "น้องพี่ท่านต้องการสิ่งใด" ดาบสผู้น้องมีสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยกับพี่ของตนว่า"ตัวผมนั้นเป็นโรคผอมเหลืองอยากได้นมส้มไว้ฉันสักหน่อย อยู่ในป่านี้ก็ชั่งหายากเหลือเกิน" "อื่มอย่างนั้นหรือได้สิ" ก่อนหยิบหม้อนมส้มใบงามออกมา แล้วรับสั่งว่า "ถ้าท่านต้องการก็จงรินหม้อนี้ จะเกิดเป็นแม่น้ำให้ท่านทันทีส่วนถ้าเอามือล่วงเข้าไปในหม้อจะมีปรากฎแก้วแหวนเงินทอง"ดาบสผู้น้องพยักหน้าเข้าใจ ก่อนกล่าวขอบอกขอบใจพี่ชายของตน 

 

%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%8703.jpg


         https://84000.org/tipitaka/atita100/space1.gif                  ตั้งแต่นั้นมา ดาบสใช้พร้าโต้ก่อไฟให้ ด้านดาบสอีกรูปตีกลอง ช้างก็หนีหายไป ดาบสน้องสุดท้องฉันนมส้มในทุกวัน เหตุการณ์ต่างๆดำเนินไปอย่างปกติ เรื่อยมา

 

           วันหนึ่งมีสุกรเที่ยวออกหาอาหาร ดันหลงเข้าไปที่บ้านร้าง "เอ๊ะ!ลองสำรวจก่อนดีกว่า เผื่อจะได้เจออะไรดีๆ" เมื่อคิดได้ดังนั้น เจ้าหมู่ป่าเริ่มสำรวจบริเวณโดยรอบ พลันไปสะดุดเข้ากับอัญมณีสีแดงตกอยู่บนพื้น "เอ๋? นั้นหินเรืองแสงได้" ก่อนที่จะเดินปรี่ตรงเข้าไป ร่างอ้วนกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ "ลาบปากแล้วโว้ย" จากนั้นจึงรีบวิ่งออกมาจากบ้าน ก้าวแรกที่พ้นออกจากประตูบ้าน ร่างอวบอ้วนก็ค่อยๆลอยขึ้นอย่างช้าๆ "เฮ้ยยย นี่มันเกิดอะไรขึ้นทำไม่ตัวของข้าลอยได้ เอ๋!หรือเป็นเพราะหินสีแดงอันนี้" "ฮ่าๆข้านี่โชคดีจังเลย บังเอิญเจอของวิเศษเข้า ไหนๆเราก็บินได้แล้วจะไปไหนดีน้าาา"

 

             เจ้าหมูน้อยลอยละล่องอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าสีคราม เมฆหมอกสีขาวหนานุ่ม พื้นน้ำสีครามสะท้อนแสงอาทิตย์ระยิบระยับสุดลูกหูลูกตา "สนุกจังเลยยย" พลันสายตาของเจ้าหมูน้อยไปสะดุดเข้ากับเกาะขนาดเล็กตั้งอยู่กลางทะเล ถูกปกคุมไปด้วยแมกไม้หลากสี โอบล้อมไปด้วยผาหินขนาดต่างๆ สลับซ้อนกันอย่างสวยงามราวกับจิตรกร บรรจงสรรสร้าง "ว้าวในที่แบบนี้ยังมีผืนดินอยู่ด้วยหรอ เหมือนงอกมาจากใต้ทะเลยเลย ลองไปสำรวจดีกว่า" เจ้าหมูค่อยๆลดระดับลง ก่อนมาหยุดที่ใต้ต้นมะเดื่อขนาดใหญ่  "ตุบ" เสียงท้าวทั้งสี่กระทบพื้น "ว้าววววว สุดยอด" ดวงตาเปล่งประกายวาววับจับจ้องไปยังบรรดาดอกไม้ ที่กำลังเเข่งกันเบ่งบานดอกชูช่อ ส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ "เหมือนสวรรค์เลย"  เจ้าหมูน้อยเดินไปมาใช้จมูกสูดดม ฟืดดดด "สดชื่นจัง" พร้อมใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความสุข ถัดไปไม่ไกลนักมีหน้าผาสูงชัน และน้ำตกสายใหญ่ไหลผ่าน ทำให้เกิดละอองน้ำกระจายฟุ้งไปทั่ว "ฮ่า..เย็นสบายจัง"  เมื่อเดินชมพันธุ์ไม้ต่างๆจนพอใจแล้ว ก่อนจะเดิมกลับมาที่เดิม "ชักง่วงแล้วสิ ฮ้าวววงีบสักหน่อยดีกว่า" ก่อนเจ้าหมู่น้อยจะคายอัญมณีสีแดง ไว้ข้างตัวแล้วหลับไปในที่สุดนั้น

 

            ย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อน มีชายหนุ่มผู้หนึ่งอาศัยอยู่กับพ่อแม่บนแผ่นดินใหญ่ เด็กชายที่ถูกดูแลแบบตามใจมาตลอดมักขี้เกียจสันหลังยาวเมื่อเวลาผ่านไป จนกระทั่งครอบครัวทนไม่ไหม กับพฤติกรรมลูกชายจนกระทั่งเย็นวันหนึ่ง "ออกไปจากบ้านเดี๋ยวนี้" ก่อนขว้างปาข้าวของมายังชายหนุ่ม  ปึก ปึก  "แม่อย่าไล่ผมออกไปเลย"ชายหนุ่มส่งสายตาอ้อนวอน  พร้อมกับน้ำตาที่นองหน้า สายตาที่เว้าวอนจ้องมองไปที่ใบหน้าของผู้เป็นแม่ แต่เมื่อความอดทนของผู้เป็นแม่หมดลงพร้อมกับเงินที่ตนพยายามหามาค่อยๆร่อยหรอ และสุดท้ายก็หมดไป จึงไม่มีความใจอ่อนกับลูกคนนี้อีกแล้ว ถึงแม้จะรู้สึกเจ็บปวดกับสิ่งที่ตนเองทำลงไปเพียงไหน แต่สุดท้ายก็ต้องเป็นแบบนี้แหละ ความรู้สึกต่างๆพลั่งพลูออกมามากมาย "ก็แกเอาแต่กินกับนอนใครจะไปทนไหว ออกไปหางานทำซ้ะ ถ้าอยากอดตายก็เรื่องของเอ็ง " ก่อนคนเป็นแม่จะหันหลังให้ ปิดประตูดัง ปั้ง! "ใจร้าย" ชายหนุ่มตัดพ้ออยู่ในใจ ก่อนจะก้มหน้ามองสภาพตัวเองที่นั้งอยู่ท่ามกลางผืนดิน "ดูไม่ได้เลย สภาพเหมือนหมาชะมัด" ก่อนชายหนุ่มจะดันตัวลุกขึ้น ใช้มือปัดฝุ่นที่เปรอะเปื้อนตามเนื้อตามตัว ค่อยๆเก็บข้าวของ แล้วเดินจากไป

 

          ตึก ตึก ตึก เสียงฝีเท้าที่เดินผ่านถนนแคบ ร่างกำยำหนาวสะท้าน หวนคิดถึงเรื่องราวในอดีตของตน พร้อมกับถอนหายใจ "คงต้องไปหางานทำแถวท่าเรือแล้วสินะ" 

 

          หนึ่งเดือนต่อ เรือที่รับชายหนุ่มเข้าทำงานออกเดินหาปลาอีกครั้ง  เสียงเครื่องยนต์ติดดัง แต็ก แต็ก แต็ก เหมือนสัญญาณแห่งการออกเดินทางครั้งใหม่ได้เริ่มต้นขึ้น เรือประมงขนาดกลางที่ทำด้วยไม้ ค่อยๆออกแล่นบนผืนน้ำ ออกสู่ท้องทะเลท่ามกลางแสงแดดร้อนแรง พร้อมจะแผดเผาผิวกายให้ไหมเกรียม สายลมพัดเอื่อยส่งผลให้ธงที่ติดอยู่หัวเรือพัดปลิวไสว เวลาผ่านไปพักใหญ่เรือประมงยังคงแล่นเหนือมหาสมุทรกว้าง  ฉับพลันก้อนเมฆสีขาวถูกเปลี่ยนผ่านด้วยกลุ่มก้อนเมฆฝนอย่างช้าๆ โดยลูกเรือไม่ได้สังเกตุแม้แต่น้อย "ซวยแล้วนั่นมันเมฆฝน!" หนึ่งในลูกเรือเอ่ยขึ้น พลางแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ทำท่าชี้โบชี้เบ้ "ไปบอกคนขับเรือเลยให้หันหัวเรือกลับด่วน" แต่แล้วสายลมที่เคยผัดเอื่อย กลับเปลี่ยนเป็นรุ่นแรง จนเรือที่แล่นอยู่กลางทะเลโคลงเครง ตามด้วยห่าฝนกลุ่มใหญ่โหมกระหน่ำ คลื่นทะเลลูกยักษ์ซัดเข้ามาที่ตัวเรืออย่างจัง "โครมมม" ผู้คนบนเรือต่างล้มกลิ้งขมำไปตามแรงเรือ ยังไม่ทันที่จะตั้งสติสายฟ้าอัสนี ก็ฟาดลงมาอีกครั้ง เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดโดนเข้าที่เรืออย่างจัง รอยไหม้ตั้งแต่เสาลงมาถึงใจกลางลำ ๆ เปรี้ยยย.....เสียงไม้ลั่นดังโครมคราม ก่อนจะแตกออก เรือไม้มีน้ำไหลเอ่อเข้ามา บ่งบอกถึงสัญญาณอันตรายดังลั่น  แต่นั้นก็รวดเร็วกว่าที่ทุกคนบนเรือจะตั้งตัวทัน เรือจมลงอย่างกับถูกทะเลสูบ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้มือทั้งสองแหวกว่ายท่ามกลางคลื่นสูงที่ซัดเข้าหา ขณะที่สติกำลังจะดับสิ้น "แผ่นไม้" ชายหนุ่มอุทาน เหมือนสวรรค์ทรงโปรด ก่อนตะเกียกตะกาย ว่ายผ่านคลื่นสูง ใช้มือทั้งสองข้างจะคว้าแผ่นไม้สุดแรง ก่อนลอยเท้งเต้งมาหยุดยังเกาะกลางทะเล

 

          จากวันเป็นสัปดาห์จากสัปดาห์เป็นเดือน ชายหนุ่มยังคงอาศัยอยู่ภายในเกาะกลางทะเล เที่ยวล่าสัตว์หาผลไม้เพื่อประทังชีวิต วันหนึ่งขณะที่กำลังเดินหาผลหมากรากไม้ สายตาดันไปสบเข้ากับสุกรตัวหนึ่งที่กำลังนอนหลับสบายใต้ต้นมะเดื่อใหญ่ จึงบังเกิดความคิดว่า "ลาบปากแล้ววันนี้"  ก่อนจะค่อยๆย่องเข้าไปใกล้เจ้าหมูน้อย ด้วยท่าทีมาดร้าย แต่แล้วแสงสีแดงกลับสะดุดตาเข้า "เฮ้ยนั่นมันอัญมณี"  ก่อนใช้มือหยิบก้อนหินสีแดงใส ถูกประดับล้อมรอบด้วยทองคำชั้นดี สลักลวดลายอย่างปราณีตสวยงาม

 

%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%8704.jpg

            

             เพียงไม่กี่วินาที ร่างค่อยๆลอยขึ้นบนอากาศ ชายหนุ่มอุทานเสียงหลง ร้องโวยวาย ใบหน้าที่เคยกระหยิ่มยิ้มย่องกลับหายไปกลายเป็นใบหน้าที่ตื่นตระหนกขึ้นมาทันที ก้มมองพื้นเบื้องล่าง ก่อนจะอุทาน "เฮ้ยเราลอยได้" เป็นเพราะสิ่งนี้แน่เลย เมื่อคิดไตร่ตรองได้ดังนี้เสียงหัวเราะก็ดังขึ้น ก่อนที่จะทดลองเหาะเหินเดินอากาศ ไปรอบๆเกาะแห่งนี้ แล้วกลับมาที่เดิม "ที่เจ้าสุกรมาอยู่กลางทะเลนี้ได้ก็เพราะว่าหินสีแดงนี้แน่ เราต้องฆ่าเจ้าหมูนี่ซ้ะ แล้วชิงอัญมณีมา" จากนั้นชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนต้นมะเดื่อ ใช้มือหักกิ่งก่อนจะเหวี่ยงลงบนหัวสุกร "โอ้ยยย...." เสียงร้องของเจ้าหมูดังขึ้น พร้อมกับผุดลุก หันรีหันขวางกลับพบว่า หินของตนเองหายไป "เฮ้ยยย หินของข้าหายไปไหน" "อยู่บนนี้" ชายหนุ่มพูดแทรกขึ้น ใบหน้าคมคายมองลงมา เจ้าสุกรเงยหน้าขึ้นไปตามต้นเสียง "หน๊อย...เจ้าหัวขโมย เอาของข้าคืนมานะ!" "ข้าไม่คืน" ชายหนุ่มทำสีหน้ายียวนกวนประสาท เจ้าหมูโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ก่อนที่จะเอ่ยว่า "ไม่คืนให้ข้าใช่ไหม" จากนั้นจึงค่อยๆถอยห่างจากต้นมะเดื่อ ทำท่าทีฟึดฟัด ก่อนออกวิ่งใช้หัวชนไปที่ต้นไม้อย่างแรง จนเสียงดัง ปึก เพื่อหวังว่าชายหนุ่มจะตกลงมา แต่น่าอนิจจาแม้กระดูกหมูจะแข็งแรงขนาดไหน มิอาจต้านทานความแข็งแกร่งของเปลือกไม้นั้นได้ ก่อนที่จะสิ้นใจลงในฉับพลัน  ชายหนุ่มที่ยืนดูสุกรอยู่เบื้องล่าง รู้สึกผิดกลับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น "ข้าไม่ได้อยากทำอย่างนี้ แต่เพราะมีเหตุจำเป็นจริงๆ"

 

            เช้าวันต่อมา ชายหนุ่มเหาะไปบนอากาศจนใกล้เขตถึงชายแดนของประเทศหิมวันตะ เห็นเข้ากับอาศรมของฤๅษีทั้งสาม"ในป่าเขาเช่นนี้มีคนอยู่ด้วยหรือ" ด้วยความสงสัยชายหนุ่มจึงลอยไปยังอาศรม ก่อนเอ่ยปากถาม "มีใครอยู่ไหม" ฤๅษีที่ได้ยินที่ต่างพากันเดินออกมาดู "ท่านมีอะไรหรือถึงมาแถวนี้ได้" ฤๅษีคนพี่เอ่ย  "พอดีกระผมเดินทางไกลมาจากทางโน้น แล้วยังหาที่พักไม่ได้ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว เลยอยากขออาศัยอยู่ที่นี่ได้ไหมขอขับ" 

 

             ๒-๓ วันต่อมา ชายหนุ่มได้เห็นของวิเศษฤๅษีทั้งสาม เกิดอยากได้ของวิเศษ จึงพยายามคิดกลอุบายขึ้น ชายหนุ่มเดินตรงเข้าไปหาฤๅษีคนพี่ ก่อนเอ่ย "ท่านดาบสขอครับ ผมมีอะไรบางอย่างให้ท่านดู" ก่อนจะใช้มือล้วงเข้าไปที่กระเป๋ากางเกง หยิบอัญมณีสีแดงใสออกมา ก่อนพูดว่า "อิทธิฤทธิ์ของอัญมณีสีแดงนี้คือ เหาะเหินเดินอากาศได้ท่านไม่แปลกใจบ้างหรือที่กระผมเดินทางมาถึงที่แห่งนี้ได้" "อื่ม"ฤๅษีพยักหน้า จากนั้นชายหนุ่มยังคงเล่าต่อว่า "วิธีใช้คือเพียงแค่ท่านสัมผัสอัญมณีเท่านั้น สามารถลอยขึ้นได้ทันที" "จริงรึพ่อหนุ่ม" ดาบสได้ยินสรรพคุณถึงกับตาลุกวาวมีสีหน้าสนใจ "อื่ม....เราก็อยากเดินทางไปเที่ยวบนท้องฟ้าบ้าง"  "เออ...เอาอย่างนี้ไหมครับ" ชายหนุ่มเเทรกขึ้น "พอดีกระผมสนใจของวิเศษท่าน เราแลกกันไหม" ชายหนุ่มเอ่ย "ได้สิ" ดาบสคนพี่รับคำทันที จากนั้นชายหนุ่มจึงขอตัวเดินออกมา ก่อนหยิบมีดขึ้นใช้มือรูปไปที่ดาบ "ขอโทษด้วยนะท่านดาบสเพราะกระผมจำเป็นจริงๆ   ก่อนจะเคาะมือลงไป พร้าโต้ เจ้าจงตัดศีรษะดาบสเสียแล้วเอาแก้วมณีมาให้เราซ้ะ"  

 

             จากนั้นชายหนุ่มเดินเข้าไปหาดาบสคนกลาง โดยซ่อนพร้าโต้ไว้ในที่มิดชิท  "ท่านช่วยแลกของวิเศษนี้กับแก้วมณีของกระผมได้ไหมขอรับ" ซึ่งดาบสคนกลางก็ตกลงทันที และแล้วพร้าโต้ก็ตัดฉับเข้าไปที่ศรีษะของดาบสเข้าอย่างจัง สุดท้ายชายหนุ่มก็ใช้แผนเดิม กับดาบสคนน้องสุดท้อง และแล้วของวิเศษทั้งสี่ชิ้นตกเป็นของชายหนุ่มแต่พียงผู้เดียว

 

%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%8705.jpg

 

            แก้วมณี พร้าโต้ กลอง หม้อนมส้ม ถูกเก็บไว้เป็นอย่างดีก่อนชายหนุ่มจะเหาะไปบนอากาศ แล้วลงพักไม่ไกลกรุงพาราณสีมากนัก จากนั้นฝากหนังสือไปกับบุรุษผู้หนึ่งโดยมีใจความว่า "พระเจ้ากรุงพาราณสีท่านจะสู้รบกับเรา หรือเลือกที่จะยอมแพ้แล้วยกสมบัติให้กับเราดีๆ "

 
           https://84000.org/tipitaka/atita100/space1.gif          เมื่อพระราชาสดับสาส์นเท่านั้น ถึงกับทรงกริ้วทันที "หน๊อยยยยยย ไอ้เด็กหนุ่ม บังอาจมาเขียนจดหมายข่มขู่ข้างั้นรึ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง" ก่อนจะทรงตรัสกับเหล่าข้าทาสบริวารให้ยกทับไปหาเจ้าหนุ่มปากกล้า หมายมั่นจะฆ่าทิ้งเสีย

 

             กองทัพขนาดใหญ่เคลื่อนพลออกจากเมืองพาราณสี มุ่งหน้าตรงไปยังสถานที่ชายหนุ่มอยู่อาศัย เสียงฝีเท้าของผู้คนนั้บหมื่น ดังเข้ามาใกล้ เสียงหอกกระทบพื้นเป็นจังหวะ ตึง ตึง ดังกึกก้อง ก่อนจะเงียบลงพร้อมกับมีเสียงตระโกนจากทหารกล้า "เจ้าเด็กหนุ่มที่บังอาจเขียนจดหมายดูถูกพระพระราชา จงออกมาเดี๋ยวนี้ ถ้ายังหดหัวอยู่ในรูของเจ้า ข้าจะพาทหารไปถล่มให้ไม่เหลือแม้แต่ชีวิต" เมื่อเด็กหนุ่มได้ยินดังนั้น จึงออกมาพบ เผชิญหน้ากับกองทัพของพระราชา เสียงหัวเราะเย้ยหยันดูถูกดูแคลนของพระราชาดังขึ้น "โถเจ้านั้นรึเป็นคนเขียนจดหมายท้าทาย เจ้าเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม สมองเจ้าคงกลับตาลปัตรหมดแล้วรึ ทหารก็ไม่มีสักคนยังกล้าดีมาปากกล้ากับข้าอีก" "ทหารฆ่าเจ้าเด็กนี่ซ้ะ" เหล่ากองหน้าต่างวิ่งกรูเข้ากระโจนโรมรัน 

 

             ด้านเด็กหนุ่มยังคงยืนสงบนิ่ง ก่อนจะใช้มือตบเข้าไปที่กลองเสียงดัง  "ตึงงงงงงง" ท้องฟ้าที่เคยสดใสกับมืดลงฉับผลันเหมือนกับดวงอาทิตย์ ถูกมฤตยูกลืนกิน ก่อนลมจะแปรเปลี่ยนเป็นกรรโชก ดาบฝั่งศัตรูที่กำลังฟุ้งเข้าใส่ อย่างมาดร้ายหวังเอาชีวิตกำลังจะตัดเข้าลำคอชายหนุ่ม กลับหยุดชะงักกลางอากาศ เหมือนมีมือที่มองจับไว้ก่อนจะถูกฉุกกระชาก ร่างทหารผู้เคราะห์ร้ายกระเด็นกระดอน ไปปะทะกับต้นไม้เสียงดัง "อั๊ก"  ร่างถูกฉีกกระชากออกเป็นส่วนๆ เลือดสีสดสาดกระจาย พื้นดินถูกย้อมไปด้วยสีแดง เงาดำนับพันออกมายืนล้อมนายของตนไว้ เสียงออกคำสั่งจากชายหนุ่มประกาศกร้าว "จงล้อมกองทัพพระราชาซ้ะ"

 

             "เกิดอะไรขึ้น" เสียงอุทานตกใจของพระราชา "กองทัพที่ยิ่งใหญ่ของข้าจะแพ้เจ้าเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนนี้หรอ หน๊อยยยมันหยามพระราชาอย่างข้ามากเกินไปแล้ว"  ดาบสีเงินวาววาบ ยกขึ้นชี้ตรงไปยังฝั้งศัตรู ก่อนประกาศก้อง "ฆ่ามันซะ" เหล่าทหารที่ถูกความกลัวครอบงำกลับมามีขวัญกำลังใจอีกครั้ง เฮ้ฮฮ ก่อนที่จะพากันวิ่งเข้าโรมรันกับเงาสีดำเบื้องหน้า แต่ไม่ทันเสียแล้ว ทหารเงาเข้าแทรกซึมแล้วล้อมกองทัพไว้ทั้งหมด เกิดอาเพศครั้งใหญ่แม่น้ำสายต่างๆ หมุนวนดั่งพายุ เข้าซัดผ่าน เหล่าทหารล้มกลิ้ง "เหตุใดกันถึงมีน้ำมวลใหญ่เช่นนี้เกิดขึ้น หรือเป็นเพราะพวกเราทำผิดกับแม่คงคาเช่นนั้นหรือ คำถามต่างๆพลั่งพลูออกจากสมองของพระราชา" และสุดท้ายน้ำได้เอ่อ ท่วมเมืองพาราณสีทั้งหมดกลายเป็นเมืองบาดาลในบัดดล

 

%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%8706.jpg

 

           "หม้อนมส้มช่างดีจริงๆเพียงแค่เทเท่านั้น แม่น้ำสายใหญ่พากันไหลเอ่อท่วมเมืองนี้จนกลายเป็นเมืองบาดาลเสียแล้ว" เด็กหนุ่มใช้มือลูบพร้าโต้ก่อนที่จะ ตบเบ่าๆพร้อมกับสั่งว่า "ไปตัดหัวพระราชาซ้ะ" ผ่านไปไม่กี่อึดใจเสียง "ตุบๆ " ก็ดังขึ้น เหมือนมีลูกอะไรสักอย่างกลิ้งมาโดนเท้าของตน ชายหนุ่มก้มลงมอง ก่อนยิ้มกว้างอย่างพอใจ

 

            ในที่สุดชายหนุ่มสามารถเอาชนะพระราชาองค์ก่อนได้ ขึ้นสถาปนาเป็นพระราชาองค์ต่อไป โดยมีนามว่า ทธิวาหนะจากนั้นเป็นต้นมาชาวเมืองต่างอยู่เย็นเป็นสุข ภายใต้การปกครองของทธิวาหนะ 


           https://84000.org/tipitaka/atita100/space1.gif            วันหนึ่ง ขณะที่พระราชาทรงอาบน้ำบริเวณแม่น้ำใหญ่ มีผลไม้สุกลอยมาติดตาข่าย บรรดาข้าทาสบริวารเห็นมะม่วงผลนั้นเข้า จึงนำไปถวายพระราชา ผลไม้สีสวยประดุจทองคำ ผลใหญ่กลมขนาดเท่าหม้อ สายตาของกษัตริย์เปล่งประกาย ก่อนตรัสถามพรานป่าว่า "นี้ผลอะไร" "ผลมะม่วงพระเจ้าค่ะ" "ถ้าอย่างนั้นเอาเมล็ดไปปลูกในพระราชอุทยาน แล้วให้รดด้วยน้ำนม"

 
https://84000.org/tipitaka/atita100/space1.gif           เวลาผ่านไปสามปีต้นมะม่วงที่ถูกเพาะขึ้นออกดอกออกผล  พระเจ้าทธิวาหนะเห็นว่ามะม่วงมีผลมากมาย อยากให้เพื่อนของตนได้กินผลไม้นี้ จึงส่งผลมะม่วงไปถวายพระราชาองค์อื่นๆ  แต่ก่อนที่พระองค์จะส่งไป ทรงรับสั่งให้ข้าธาตุบริวาลใช้เงี่ยงปลากระเบนแทงเข้าไปที่เมล็ด เนื่องจากเกรงว่าพระราชาองค์อื่นจะนำเมล็ดไปเพาะปลูก  ครั้นพระราชาเมืองต่างๆติดใจในรสชาติ สี กลิ่น พระองค์ต่างให้เหล่าข้าทาสบริวารนำเมล็ดไปปลูก แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร ไม่มีแม้แต่ต้นกล้างอกขึ้นแม้แต่น้อย หลายปีผ่านไป ไม่ว่าพระราชาเมืองต่างๆจะพยายามปลูกรอบแล้วรอบเล่า ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเกิดต้นอ่อนได้แม้แต่น้อย จนบรรดาพระราชาเมืองต่างๆพากันสงสัย และเริ่มตามหาความจริง แต่ไม่ว่าจะพยายามสอบถามหาความจริงมากเท่าไหร่ ไม่มีใครสามารถหาสาเหตุได้เลย จึงเกิดความหมั่นไส้พระเจ้าทธิวาหนะ "หน๊อยขี้งกนักนะ เรื่องแค่นี้ก็แบ่งไม่ได้ หึ...ถ้าข้าปลูกไม่ได้คนอื่นก็ไม่ต้องได้" จากนั้นจึงเรียกคนดูแลอุทยานของตนมา "พระองค์มีเรื่องอะไรต้องการให้หม่อมฉันรับใช้หรือพระเจ้าข้า" "เจ้าสามารถจะทำรสผลมะม่วงของพระเจ้าทธิวาหนะ ให้เสียกลายเป็นขมได้หรือไม่"  "ได้ พระเจ้าข้า" คนดูแลอุทยานกล่าว  "ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงไปที่เมืองพาราณสีก่อนแฝงตัวเข้าไปเป็นคนดูแลอุทยานแล้วทำให้มะม่วงกลายเป็นรสขมซ้ะ" ก่อนพระราชทานทรัพย์ให้กับคนดูแลอุทยาน


             เมื่อชายหนุ่มออกเดินทางไปถึงกรุงพาราณสีแล้ว ให้คนในพระราชวังกราบช่วยทูลพระราชา  "เจ้าเป็นคนเฝ้าสวนหรือ"พระราชทรงตรัสถาม " พระเจ้าข้า" "กระหม่อมมีความสามารถ ที่ทำให้สวนของพระองค์ ออกดอกได้ตลอดทั้งปีนอกจากนั้นยังสามารถให้ดอกไม้ออกนอกฤดูได้อีก" "อย่างนั้นรึ" พระราชามีสีหน้าสนอกสนใจ "พะยะค่ะ"  "ถ้าอย่างงั้นไปอยู่กับคนดูแลอุทยานของเราก่อนแล้วกันค่อยเรียนรู้กันไป"

 

             ตั้งแต่นั้นมาทั้งสองคนก็ช่วยกันรักษาพระราชอุทยานเป็นอย่างดี ตั้งแต่คนเฝ้าสวนคนใหม่มาอยู่ได้ไม่นาน บรรดาต้นไม้ออกดอกออกผลงดงามตลอดปี ทำให้พระราชอุทยานสวยสดงดงามยิ่ง พระราชาทรงโปรดปรานคนเฝ้าสวนคนใหม่มาก ก่อนจะรับสั่งให้ปลดคนเก่าออก และพระราชทานหน้าที่เฝ้าสวนให้แก่ชายหนุ่มโดยเฉพาะ "หึ!ในที่สุดอุทยานแห่งนี้ตกอยู่ในเงื้อมือของข้าทั้งหมดแล้ว"ชายหนุ่มจึงเริ่มแผนการทันที ปลูกต้นสะเดาและเถาบอระเพ็ดล้อมรอบต้นมะม่วงไว้  ผ่านไปหลายเดือนต้นสะเดางอกงาม รากเกี่ยวกะหวัดพันจนเป็นเกียว กิ่งแผ่ขยายพาดทาบทับกันไปมา  มะม่วงที่เคยผลหวาน กลับกลายเป็นขมทันที  เมื่อแผนการเสร็จเรียบร้อยคนดูแลสวนจึงหนีกลับเมืองของตนไป

 

%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%8707.jpg


             วันต่อมาพระเจ้าทธิวาหนะเสด็จไปพระอุทยาน เห็นมะม่วงสุกสีทองสวยอร่ามตา ทรงให้ข้าทาสเก็บแล้วปอกให้พระองค์กิน ก่อนที่พระราชาจะหยิบมะม่วงเข้าปาก พลันสีหน้ากลับเปลี่ยนเป็นผะอืดผะอม ก่อนที่จะคายทิ้งอย่ารวดเร็ว "นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไม่มะม่วงรสเริศกลายเป็นขมเช่นนี้" "ทหารไปเรียกคนดูแลสวนมาหาข้าเดี๋ยวนี้" แต่กระนั้นก็ไม่มีวี่แววของคนดูแลสวนคนนั้นไม่ "หน๊อยยยยย ที่มะม่วงเป็นรสชาติแบบนี้เพราะไอ้คนสวนแน่" พระโพธิสัตว์ได้ที่ยืนอยู่ข้างๆทำหน้าที่เป็นครูสอนอรรถและธรรม เอ่ยขึ้น

 

           "ดูก่อนบัณฑิต ต้นไม้นี้มิได้บกพร่องต่อการดูแลมาก่อนเลย ผลของมันก็เกิดขมขึ้นมาได้ ทุกอย่างล้วนมีที่มาที่ไป"


            "ข้าแต่พระเจ้าทธิวาหนะ มะม่วงของพระองค์ มีต้นสะเดาล้อมอยู่ รากต่อรากเกี่ยวพันกัน กิ่งต่อกิ่งเกี่ยวประสานกัน เหตุที่อยู่ร่วมกันกับต้นสะเดาที่มีรสขม มะม่วงจึงมีรสขมไปด้วย"



https://84000.org/tipitaka/atita100/space1.gif            พระราชาทรงสดับคำของพระโพธิสัตว์แล้ว รับสั่งให้ตัด ต้นสะเดาและถอนรากถอนโคนเถาบอระเพ็ดเสีย  ขนดินที่เสียรสไปทิ้ง ใส่แต่ดินมีรสดี ให้บำรุงต้นมะม่วงด้วยน้ำนมน้ำตาลกรวดและน้ำหอม จากนั้นมะม่วงจึงกลายเป็นต้นไม้มีรสหวานดังเดิม พระราชาทรงมอบพระอุทยานแก่คนเฝ้าสวนคนเดิม 



https://84000.org/tipitaka/atita100/space1.gif                พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดก
https://84000.org/tipitaka/atita100/space1.gif                อำมาตย์บัณฑิตในครั้งนั้น คือ 
เราตถาคต ในครั้งนี้แล

https://84000.org/tipitaka/atita100/space1.gif

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

* * ชาดก 500 ชาติ แนะนำ * *

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล