อรรถกถา พรหาฉัตตชาดก
ว่าด้วย เอาของน้อยแลกของมาก
เช้าวันหนึ่ง ณ พระวิหารเชตวัน พระศาสดาทรงนั่งบนธรรมมาสที่ พระองค์ทรงประทับเป็นประจำ เช้าวันหนึ่งคณะภิกษุสงฆ์ มารวมตัวกัน เพื่อฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า "ภิกษุเอ๋ยวันนี้เรามีเรื่องที่จะนำมาเล่าให้ท่านทั้งหลายได้รับฟัง เมื่อหลายปีก่อนมีภิกษุรูปหนึ่ง ได้โกหกกับเพื่อนของตน แต่เมื่อผ่านไปไม่นานเพื่อนของพระภิกษุรูปนั้นได้รับรู้ความจริง เลยนำเรื่องนี้มาปรึกษาเราตถาคต " จากนั้นพระองค์จึงนำเรื่องมาเล่าให้เหล่าสาวกได้รับฟัง
ในอดีตกาล ช่วงสมัยพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี มีอำมาตย์ท่านหนึ่งทำหน้าที่ผู้สอนอรรถและธรรมแก่พระเจ้าพาราณสี วันหนึ่งกษัตริย์เมืองพาราณสีทรงยกทัพ เข้าประชิดเมืองเมืองสาวิถี อย่างลับๆ ส่งผลให้เมืองผู้เคราะห์ร้ายไม่อาจต้านทานได้และพ่ายให้กลับ เมืองพาราณสีในที่สุด
ย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อน "ตึกๆ" "พระองค์ พระองค์ แย่แล้ว" "เกิดอะไรขึ้น" พระราชาเมืองสาวิถีที่ตอนนี้กำลัง นั่งอยู่บนบัลลังก์ ในห้องท้องพระโรง ท่านอำมาตย์และองค์กษัตริย์หยุดชะงัก "เจ้ามีอะไร ทำไมโวยวายเช่นนี้" "มะ..มีกองทัพขนาดใหญ่ ยกเข้ามาประชิตเมืองพะย่ะข้า" พระราชาที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ ถึงกับยืนขึ้นอย่างไม่รู้ตัว "ห้ะ เจ้าพูดจริงหรือ แล้วกองทัพนั้นใหญ่มากไหม" "ใหญ่พ่ะย่ะข้า น่าจะประมาณหมื่นคนได้" เมื่อทหารเอ่ยจบ ความเงียบเข้าครอบคลุมท้องพระโรงอีกครั้ง ใบหน้าที่สง่างามน่าเกรงขามกลับซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด "ขอบใจเจ้ามากไปได้แล้ว" ครั้นเมื่อทหารนายนั้นเดินออกจากไป พระองค์ทรุดนั่งกับบัลลังก์ตามเดิม ก่อนหันมาทางบริวารข้างกาย "ท่านอำมาตย์ ศึกครั้งนี้ข้าคงจะแพ้เสียแล้ว กำลังทหารของเรานั้น มีเพียงหลักพันเท่านั้น ถ้าปะทะกันจริงๆ สาวิถีคงจะไม่รอด" "แล้วพระองค์จะทำเช่นใดต่อ" "ข้าคงต้องสู้อย่างสุดกำลัง ถึงแม้เราจะแพ้ แต่อย่างน้อยถ้าปกป้องลูกชาย และชาวเมืองแห่งนี้ ก็เพียงพอแล้ว"
เมื่อการสนทนาทั้งสองจบลง พระราชาจึงเดินออกจากท้องพระโรง ก่อนตรงไปยังห้องลูกชายของตน "ก๊อกๆ" เสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนที่ประตูไม้ที่ถูกสลักด้วยลวดลายต่างๆอย่างงดงามจะถูกเปิดออก ฉัตตกุมารยืนมองพ่อของตนนิ่ง ซึ่งตอนนี้มีหน้าตาที่เศร้าหมอง ไม่สดใสเหมือนแต่ก่อน "ท่านพ่อเป็นอะไรทำไมถึงมีหน้าตาที่เศร้าสร้อยเช่นนี้" ไม่ทันที่ลูกชายจะเอ่ยจบ คนเป็นพ่อก็ทรุดตัวลงกับพื้นพร้อมกับ กอดลูกชายไว้แน่น น้ำตาลูกผู้ชายที่ไม่เคยมีใครได้เห็น ตอนนี้กำลังหลั่งริน เป็นสายธารที่ไม่มีทีท่าว่าจะเหือดแห้ง "พ่อขอโทษ ฮึกๆ ฮึกๆ ต่อจากนี้ไปเจ้าต้องเข้มแข็งนะ" ใบหน้าของเด็กชายที่ตอนนี้เจือไปด้วยสีหน้างุนงง "ทำไม่ถึงพ่อพูดเช่นนี้" "ตอนนี้ข้าศึกเข้าประชิตเมืองแล้ว สาวิถีของเราน่าจะแตก ลูกหนีไปกับทหารเถิดพ่อคงจะไม่รอด" เมื่อเด็กชายได้ฟังดังนั้น ใบหน้าที่เคยสดใสกับ ซีดลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะเอ่ย "พ่อ หนีไปกลับผมเถิด" "ไม่ได้หรอกถ้าเมืองขาดพ่อไป คงจะไม่สามารถปกป้องใครได้เลยแม้แต่เจ้า" "ไปเถิด" มือใหญ่อันสั่นเทาลูบเค้าไปที่ใบหน้าเด็กชายที่ตอนนี้เต็มไปด้วยคราบน้ำมูกน้ำตา ผสมปนเปกันไปหมด "พ่อรักเจ้านะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเจ้าจงมีชีวิตอยู่ต่อไป" "ทหารเจ้าพาลูกชายของข้าหนีออกจากวังไปซ้ะ"
ดวงตาที่ตอนนี้แดงกร่ำ จ้องมองไปยังลูกชาย ที่บัดนี้ถูกพาตัวออกไปจากปราสาทแห่งนี้อย่างช้าๆ เสียงตะโกน ปนกับเสียงร้องไห้ยังคงอื้ออึงในโสตประสาทของพระองค์ ก่อนจะค่อยๆเงียบลงไป
เช้าวันต่อมา ยามเมื่อแสงสีทองสาดส่อง กระทบชุดเกราะสีเงินวาววับ ร่างกำยำ กระชับดาบแน่น พร้อมก้าวเท้าเดินตรงไปที่ เหล่ากองทัพทหาร "ท่านอำมาตย์เตรียมตัวเรียบร้อยหรือยัง" "เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะข้า" "ดีมากเราไปกันเถิด" ทหารทั้งหลาย ถึงแม้สาวิถีนั้น จะด้อยกำลังกว่าแต่ข้าของให้พวกท่านจำคำนี้ไว้ว่า เพื่อปกป้องลูกเมีย เพื่อปกป้อง คนที่รักของให้ทานสู้จนสุดกำลัง" ก่อนดาบสีเงินวาววับ จะชูขึ้นกระทบแสงแดดวาววับ ก่อนจะตามด้วยเสียงเฮของ เหล่าผู้กล้าแห่งเมือสาวิถี
"วืดดดด.." แตรสัญญาณบ่งบอกถึงศึกสงครามกำลังจะเริ่มขึ้น เหล่าทหารสาวีถีที่ประจำจุดปืนใหญ่ระดมยิงลูกกระสุน เข้าโจมตียังฝั่งศัตรูอย่างบ้าคลัง เสียงโห่ร้องด้วยความคึกคะนอง ดังระงม สลับกับเสียงระเบิดที่ดังเป็นระยะ เหล่าทหารพาราณสีวิ่งเข้าใส่ อย่างไม่เกรงกลัวความตาย ที่รออยู่ตรงหน้า แต่แล้วด้วยกำลังที่ช่างแตกต่างกันมากเหลือเกินส่งผลให้ สาวิถีพ่ายลงอย่างง่ายดาย ประตูเมืองถูกพังจากทหารพาราณสี องค์กษัตริย์ผู้ไม่สามารถปกป้องชาวเมืองได้ ถูกตัดสินโทษให้ตัดหัวเสียบประจาน อยู่บริเวณหน้าประตูเมืองแห่งนี้
จากนั้นกษัตริย์เมืองพาราณสี ได้ขนทรัพย์สินเงินทองไปจนหมดสิ้น ก่อนแต่งตั้งคนสนิทเป็นผู้ปกครองเมืองต่อไป พร้อมเอาทรัพย์บรรจุใส่โอ่งโลหะฝังไว้ในอุทยาน ณ เมืองพาราณสี
ฝ่ายฉัตตกุมาร หลังจากหนีออกมาได้สำเร็จ จึงออกเดินไปยังเมืองตักกสิลา เข้าเรียนไตรเพทและศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการจนกระทั่งจบการศึกษา จากนั้นจึงเที่ยวศึกษาไปทุกสำนัก จนถึงปัจจันตคาม ซึ่งมีพระฤๅษี ๕๐๐ รูป ตั้งอาศรมอยู่ พระโอรสมีความคิดอยากจะศึกษา หาความรู้ จึงตัดสินใจออกบวชเป็นฤๅษี ด้วยความสามารถของพระองค์ เมื่อบวชได้ไม่นานจึงได้เลื่อนขั้น เป็นอาจารย์ของหมู่คณะ
วันหนึ่งขณะที่กำลังประชุมอยู่นั้น ฉัตตกุมารได้เอ่ยถาม "ทำไมพวกท่านยังอยู่ในป่าอีกล่ะ ไม่ชอบอยู่ที่เจริญหรือ" หนึ่งในคณะเอ่ยขึ้น "ไม่ใช่พวกเราไม่ชอบนะ แต่ไม่กล้าไปเพราะกลัวจะตอบคำถามของเหล่าชาวบ้านไม่ได้ พาลจะถูกชาวบ้านติเตียนเอา" "อื้ม" อดีตพระโอรสพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนเอ่ย “ไม่ต้องกลัวหรอกพวกท่านเชื่อข้า สติปัญญาของท่านทั้งหลายนั้นเฉียบขาดถ้าเกิดอะไรขึ้นข้านั้นจะช่วยพวกเอง" ก่อนที่จะเอ่ยปากอีกครั้ง "ถ้าอย่างนั้นพวกท่านออกเดินทางไปกับข้าไหม"
จากนั้นเหล่าคณะฤๅษี ต่างพาการออกเดินทางไปยังอาณาจักรต่างๆจนกระทั่งมาถึงเมืองที่มีชื่อว่าพาราณสี ขณะที่เหล่านักบวชกำลังเดินอยู่นั้น หนึ่งในคณะเอ่ย "ท่านฉัตตคืนนี้เราจะพักที่ไหนกันดี" "ไม่ต้องห่วงพวกท่านตามเรามา" ก่อนที่ฤๅษีกลุ่มนั้น จะเดินตรงไปยังพระราชวังเพื่อขอเข้าพบกษัตริย์ที่ปกครองเมือง "พวกท่านมีอะไรหรือถึงเดินทางมาถึงที่นี่" "พวกเรานั้นเดินทางเพื่อแสวงบุญ" "อย่างนั้นหรือ แล้วเหตุใดท่านถึงมีความประสงค์เข้าพบข้าเช่นนี้" "พอดีพวกเราอยากมีเรื่องที่จะรบกวนท่าน เนื่องจากพวกเรายังไม่มีที่พัก เลยอยากจะรบกวนพระองค์เสียหน่อย พวกเราจะขอพักที่อุทยานของท่านได้ไหม" "ได้สิ เรื่องแค่นี้เอง" จากนั้นพระราชาทรงสั่งให้ทหารประจำพระองค์พาคณะฤๅษีไปยังอุทยานทันที
เช้าวันต่อมาขณะที่พระราชาประทับอยู่ริมหน้าหน้าต่าง ชั้นบนสุดของปราสาท พระองค์ทรงทอดพระเนตร ลงมายังเบื้องล่างเห็นคณะฤๅษีกำลังออกบิณฑบาตอยู่ "นักบวชคณะนี้ก็ดีเหมือนกันไม่ติดสบายเหมือนกับคณะอื่น ความจริงถ้ามาพักที่อุทยานของข้าไม่จำเป็นต้องออกเดินบิณฑบาตก็ได้ บริวารของข้าพร้อมจะดูและทุกอย่าง พฤติกรรมเช่นนี้ช่างหน้าเลื่อมใสยิ่งนัก" ผ่านไปไม่นานพระองค์ทรงเรียกทหาร ให้ไปแจ้งต่อคณะฤๅษีว่า พรุ่งนี้พระองค์นิมนต์ฤๅษีทั้งคณะฉันภัตตาหารที่พระราชวัง
ณ ห้องเสวย ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยอาหาร ต่างๆ ถูกตั้งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ สวยงาม แต่ก่อนที่คณะนักบวชจะเอื้อนเอ่ย พระราชาก็เอ่ยแทรกก่อน "พวกท่านมากันแล้วเชิญท่านนั่งลงบนอัสนะที่กระหม่อมจัดไว้ได้เลย" หลังจากที่คณะฤๅษีฉันอาหารเรียบร้อยแล้วพระราชาทรงถามปัญหาต่างๆ กับคณะนักบวช ด้วยความเฉลียวฉลาดของฉัตตกุมาร จึงเป็นที่พอใจต่อกษัตริย์เมืองพาราณสีอย่างมากจนถึงกับเอ่ยปาก ขอให้พักต่อ ณ อุทยานต่อเถิด
ในคืนหนึ่งหลังจากทุกคนเข้านอนเรียบร้อยแล้ว ฤๅษีที่มีนามว่าฉัตตกุมาร ได้เดินเข้าไปยังกลางอุทยาน ก่อนจะพึมพำคาถาบทสั้นๆซ้ำไปมา ก่อนจะมีแสงสีขาวปรากฏบริเวณรอบๆร่างสูงใหญ่ของฤๅษีผู้นั้น แสงสีขาวขยายวงกว้าง ค่อยๆกลืนกินอาณาเขตเข้าไปยังพื้นดินใต้พิภพด้านล่าง เมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ชายที่ยืนหลับตาพริ้มค่อย ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ "อยู่นี่เองตามหามาตั้งนาน ท่านพ่อผมหาสมบัติที่คนพวกนั้นขโมยมาได้แล้วนะ"
เช้าวันต่อมาฉัตตกุมาร เดินตรงไปยังคณะฤๅษีก่อนเล่าเรื่องราวของตนให้ทุกคนฟังจนหมดหมดสิ้น ตัวจริงของเรานั้นคือ "พระโอรสของพระราชาเมืองสาวิถี กษัตริย์เมืองพาราณสี บุกเข้ายึดเมืองจนแตกพ่าย และขนทรัพย์สินทั้งหมดมาที่นี่ เรารู้หมดว่าจริงๆแล้วทรัพย์ทั้งหมดถูกฝังอยู่ใต้ดินอุทยานแห่งนี้ ขออภัยด้วยที่ข้านั้นไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ท่านฟังตั้งแต่แรก" "ไม่เป็นอะไรหรอก ทุกคนนั้นก็มีเรื่องที่ไม่อยากบอกให้ใครรู้เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นท่านจะขุดเอาสมบัติกลับไปเลยไหม" "อื้ม" พระโอรสพยักหน้า "งั้นเดี๋ยวพวกเรา ช่วยกันเย็บกระสอบ แล้วคืนนี้ค่อยขุดออกมาให้หมดดีไหม" จากนั้นคณะฤๅษีต่างพากันทำตามแผนจนกระทั่งสำเร็จ
จากนั้นทั้งหมดจึงเดินทางออกจากพาราณสี ตรงไปยังเมืองสาวิถี แล้วจับข้าหลวงขังคุกใต้ดิน จากนั้นทำนุบำรุงเมืองจนกระทั่งกลับมาสวยงามเหมือนเดิมอีกครั้ง จากนั้นพระโอรสขึ้นครองราชสมบัติต่อจากพ่อของตนต่อไป
ย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งเดือนก่อน "พระราชาพะย่ะข้า" "อะไรกันทำไม่ถึงโวยวายมาเช่นนี้" "เอ่อ..คือว่าคณะฤๅษี หายไปพ่ะย่ะข้า" "เจ้ามั่วหรือเปล่า หาดีหรือยัง" "ดีแล้วพะย่ะข้า ไม่ได้มีแค่หม่อมฉันเท่านั้นที่หา ข้าทาสบริวารของพระองค์นั้นช่วยหาด้วย" "ไม่เป็นไรๆ คงจะติดธุระเดี๋ยวอาจจะกลับมาก็ได้" จากนั้นพระเจ้าเมืองพาราณสียังคงปกครองเรื่อยมา จนกระทั้งวันหนึ่งมีข้าหลวงที่พระองค์ส่งไปปกครองซมซานกลับมา "พระองค์ ช่วยกระหม่อมด้วย" "เจ้าเป็นใครกันทำไมเนื้อตัวสกปรกเช่นนี้" "กระหม่อมเองจำไม่ได้หรือ คนที่พระองค์ส่งให้ไปดูแลเมืองสาวิถี" พระราชาพิจารณาอยู่ชั่วครู่ "อ้อ ข้าจำได้แล้ว ทำไมสภาพเป็นเช่นนี้ล่ะ" "มีฤๅษีกลุ่มหนึ่งเข้าไปยึดเมืองพะย่ะข้า" "หืมฤๅษีหรอ" ขณะนั้นกษัตริย์เมืองพาราณสีทรงเอะใจอะไรขึ้นมาสักอย่าง จึงสั่งให้ทหารเข้าไปขุดสมบัติที่พระองค์ฝังไว้อยู่ใต้ดิน "ไม่เจอพ่ะย่ะข้า ในโอ่งที่พระองค์ฝังไว้มีแต่หญ้าแห้ง"
หลังจากนั้นเป็นต้นมา พระเจ้าเมืองพาราณสีทรงซึมเศร้าไม่เป็นอันกินอันนอนปล่อยตัวไม่ทำการทำงาน
วันหนึ่งขณะที่พระราชาเมืองพาราณสี กำลังนั่งทำหน้าซังกะตายอยู่บนบัลลังก์ "ท่านอำมาตย์ข้าจะทำอย่างไรดี" "เรื่องไหนหรือกระหม่อม" "ก็เรื่องเมืองสาวิถีไง" "พระองค์ เรื่องนี่ก็ผ่านไปหลายวันแล้วนะพะย่ะข้า จะเก็บไปคิดทำไมหรือ" "ก็ข้าให้ที่พัก เลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี ทำไมนะถึงทำเช่นนี้ ขโมยทรัพย์ที่ข้าฝังไว้ไป" "พระองค์...."ท่านอำมาตย์ลากเสียงยาว "ก็ท่านไปตีเมืองพ่อเขา แล้วก็ขนทรัพย์สมบัติทั้งหมดมา แล้วนี้เขาขุดไปก็เหมือนเอาทรัพย์ที่ท่านเอามา คืนลูกเขาไป" "แต่ลูกของพระเจ้าสาวิถี อยู่ในสถานะนักบวชนะ ทำแบบนี้มันคนพาลชัดๆ" พระราชาบ่นพึมพำ หลังจากที่พระราชาบ่นพึมพำไปมา จนท่านอำมาตย์ถึงกับหูชา "ตกลงพระองค์สบายใจขึ้นหรือยัง ถ้าอย่างนั้นกลับมาเป็นเหมือนเดิมเถิด ทุกอย่างนั้นไม่มีอะไรยั่งยืน"
ครั้นพระราชาเมืองพาราณสีทรงตรัสติเตียน ฉัตตฤาษีแล้ว จึงกลับมาเป็นเช่นเดิมคือผู้หมดความเศร้าโศก เพราะคาถาของพระโพธิสัตว์นั้น ทรงครองราชสมบัติโดยธรรม
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า
พรหาฉัตตฤาษีในครั้งนั้น ได้เป็น ภิกษุโกหก ในบัดนี้
ส่วนอำมาตย์ผู้เป็นบัณฑิตในครั้งนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.