อรรถกถา มตโรทนชาดก
ว่าด้วย ร้องไห้ถึงคนตาย
ณ วิหารเชตวัน เช้าวันหนึ่ง พระศาสดาทรงตรวจดู ทุกข์ของมนุษย์บนโลก ขณะนั้นพบว่ามีเศรษฐีผู้หนึ่งกำลังเศร้าโศกเสียใจ ไม่เป็นอันกินอันนอน เนื่องจากน้องชายของตนนั้นพึ่งเสียชีวิตไป เมื่อพระโพธิสัตว์เห็นเหตุการณ์ดังนั้นแล้ว "ช่างน่าเวทนายิ่งนัก เราจะช่วยชายผู้นี้ได้อย่างไร"
ในวันรุ่งขึ้นหลังฉันภัตตาหารเรียบร้อยแล้ว ทรงพาภิกษุสองถึงสามรูปเดินทางตรงไปยังเรือนของเศรษฐีผู้นั้น ณ เรือนท่านเศรษฐี "มีใครอยู่ในเรือนนี้ไหม พระศาสดาทรงมาโปรด" ภิกษุผู้ติดตามเอ่ย ผ่านไปไม่นานก็มีเสียงตอบกลับมาว่า "มีพะย่ะข้า" จากนั้นไม่นาน ประตูเรือนที่ถูกตกแต่งอย่างดี ค่อยๆถูกเปิดออก "นิมนต์พะเจ้าข้า" เศรษฐีผู้เป็นเจ้าของเรือนเดินออกมารับพระคุณเจ้า จากนั้นจึงสั่งให้ข้าทาสบริวาร ปูอาสนะแด่พระตถาคต "เชิญทางนี้พะย่ะข้า" พระองค์จึงเสด็จประทับนั่งบนอาสนะที่ปูเอาไว้
ด้านเศรษฐีหนุ่ม ได้มานั่งฝั่งตรงข้ามพร้อมกับมาถวายบังคมพระศาสดา ก่อนเอ่ยถาม "พระองค์ทรงมีเรื่องอะไรถึงเดินทางมาถึงเรือนกระหม่อม" "ท่านก็รู้อยู่แก่ใจ เหตุใดถึงเอ่ยเช่นนี้กับเรา" "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ตอนนี้ข้าพเจ้าเสียใจเรื่องน้องชายที่พึ่งจากไป พะเจ้าข้า" ขณะนั้นมีน้ำใสๆไหลออกจากตา ก่อนจะใช้หลังฝ่ามือปาดเล็กน้อย
"ท่านเศรษฐี ดูก่อน สังขารนั้นไม่เที่ยง เมื่อถึงเวลา สิ่งนั้นจะแตกสลายเป็นธรรมชาติ ไม่ควรคิดเสียใจในเรื่องนั้น " จึงนำเอาเรื่องในอดีตมาเล่าดังนี้
ในอดีตกาล สมัยพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้ถือกำเนิดขึ้นในตระกูลเศรษฐี เมื่อพระองค์เติบโตขึ้น พ่อและแม่ได้จากไปพร้อมกันอย่างกระทันหัน จากนั้นผู้เป็นพี่ชายจึงรับช่วงต่อกิจการทั้งหมด และคอยดูแลน้องชายเป็นอย่างดี
เมื่อเวลาผ่านไป ได้เกิดเหตุไม่คาดฝัน พี่ชายของพระโพธิสัตว์เสียชีวิตลงจากอาการป่วย ที่รักษาตัวมาอย่างยาวนาน ครั้นเมื่อผู้เป็นพี่ชายหมดลมหายใจ เหล่าบรรดาวงศาคณาญาติ ที่ทราบข่าวต่างพากันมายังเรือนของพระโพธิสัตว์ อย่างแน่นขนัด ทั้งสาวน้อย สาวใหญ่ อำมาตย์ พากันร้องไห้คร่ำครวญดังระงมไปทั่ว "ฮือๆ....โถ.... อายุน้อยอย่างนี้ ไม่น่าด่วนจากไปเลย" หลายคนร้องไห้จนตัวโยน เป็นลมล้มพับลงไปกองกับพื้น "นายท่านๆ!" เสียงเรียกจากข้าทาสข้างกาย พร้อมกับพยุงนายของคนอย่างทุลักทุเล บรรยากาศภายในงาน ช่างดูเศร้าสลดยิ่งนัก
ด้านพระโพธิสัตว์ยืนมองเหตุการณ์นิ่ง ญาติที่อยู่ไม่ไกลหันมาเห็น ความโกรธเกรี้ยวแว้บเข้ามาทันที พร้อมเดินตรงเข้ามาประชิด "เจ้านั้นช่างใจจืด ใจดำจริงๆ พี่ชายนั้นค่อยดูแล ทั้งกิจการทุกอย่าง จะเหนื่อยแค่ไหน ก็ไม่เคยบ่น เวลานี้เหตุใดเอาแต่ยืนนิ่ง มีหัวใจบ้างไหม...!!!" หญิงนั้นยืนด่าพระโพธิสัตว์อย่างเดือดดาล "ฉันไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนเช่นนี้อยู่บนโลก!" ผู้คนที่เข้ามาร่วมงาม ต่างพากันมายืนดู และว่ากล่าวติเตียน
หนึ่งในผู้อยู่ในเหตุการณ์เอ่ยขึ้น "หรือเจ้าดีใจเพราะจะได้ทรัพย์สมบัติทั้งหมด" เมื่อพระโพธิสัตว์ได้ฟังคำของญาติเหล่านั้น จึงกล่าวว่า " พี่ชายของเราตาย เราเองก็ต้องตาย เพราะเหตุไรท่านทั้งหลายจึงไม่ร้องไห้ถึงเราบ้างว่า พวกท่านเองก็ต้องตาย เพราะเหตุไรจึงไม่ร้องให้ถึงตนเองบ้างว่า สังขารทั้งปวงย่อมเป็นของไม่เที่ยง ผู้บอดเขลา ไม่รู้จักโลกธรรม ๘ ประการจึงพากันร้องไห้ เพราะความไม่รู้"
"เทวดา มนุษย์ สัตว์จตุบาท หมู่ปักษีชาติ และพวกงู ไม่มีอิสระในสรีระร่างกายนี้ ถึงจะอภิรมย์อยู่ในร่างกายนั้น ก็ต้องละทิ้งชีวิตไปทั้งนั้น สุขทุกข์ที่เพ่งเล็งกันอยู่ในหมู่มนุษย์ เป็นของผันแปร ไม่มั่นคงอยู่อย่างนี้ ความคร่ำครวญ ความร่ำไห้ ไม่เป็นประโยชน์เลย เพราะเหตุไร กองโศกจึงท่วมทับท่านได้ พวกนักเลง และพวกคอเหล้า ผู้ไม่ทำความเจริญ เป็นพาล ห้าวหาญ ไม่มีความขยันหมั่นเพียร ไม่ฉลาดในธรรม ย่อมสำคัญนักปราชญ์ว่าเป็นคนพาล"
พระโพธิสัตว์ แสดงธรรมแก่ญาติเหล่านั้นด้วยประการอย่างนี้แล้ว ทั้งหมดหายโศกในทันที
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประกาศสัจจะ แล้วทรงประชุมชาดก ในเวลาจบสัจจะ
กฏุมพีดำรงอยู่แล้วในโสดาปัตติผล บัณฑิตผู้แสดงธรรมแก่มหาชนแล้วกระทำให้หายโศกเศร้าในครั้งนั้น คือ เราตถาคต ฉะนี้แล.