อรรถกถา มหาปิงคลชาดก
ว่าด้วย พระเจ้าปิงคละผู้ร้ายกาจ
"นี่ก็ผ่านมาได้เก้าเดือนแล้วสินะ ที่พระเทวทัต ได้ถูกแผ่นดินสูบ" ขณะนั้นพระศาสดาเสร็จเดินรอบๆ บริเวณมหาวิหารเชตวัน ทรงทอดพระเนตรออกไปทาง เมืองพาราณสี มองเห็นชาวเมืองต่างพากันตั้งฉลองอย่างยินดี
เช้าวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันในโรงธรรมอยู่นั้น "เมื่อพระเทวทัตจมลงในแผ่นดิน ชาวบ้านต่างก็ดีใจ ผู้เป็นเสี้ยนหนามของพระตถาคตถูกแผ่นดินสูบ" ครั้นพระศาสดาเสด็จผ่านมาได้ตรัสถาม "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร" เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเทวทัตตาย มหาชนยินดี ร่าเริง มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น ในอดีตมหาชนก็ยินดี ร่าเริงเช่นกัน" จากนั้นทรงนำเรื่องมาตรัสเล่าให้ฟัง
ในอดีตกาล มีพระราชาพระนามว่ามหาปิงคละ เสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสีโดยอธรรม พระองค์ทรงไม่สนใจเรื่องการบ้านการเมือง เอาแต่รีดไถภาษีประชาชน ทำบาปทำกรรม รังแกเหล่าอำมาตย์ข้าทาสบริวาร จนไม่มีใครอยากจะเข้าใกล้
ในวันหนึ่งขณะที่พระองค์ทรงเสวยอาหารเช้าอยู่นั้น จู่ๆก็มีเสียงดังลั่นโครมคราม ตามมาด้วยเสียงสบถด่า อย่างไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก "ใครทำอาหารวันนี้....! รสชาติไม่ได้เรื่อง" เสียงตวาดดังลั่นจากพระเจ้าปิงคละ ทำให้บรรดาคนใช้ถึงกับตัวสั่น "ใคร! ยอมรับมาเดี๋ยวนี้" บรรยากาศยังคงเงียบ ไม่มีใครกล้าแม้จะเอ่ยปาก ทุกอย่างยังคงเงียบ จนพระเจ้าปิงคละหัวเสีย "ไปเรียกหัวหน้าพ่อครัวมา" "ไปซิ๊" "มายืนเอ๋อทำไม" "คะ...ค่ะ" จากนั้นหญิงรับใช้รีบเดินเข้าไปหาพ่อครัวอย่างรวดเร็ว "มาแล้วพะย่ะข้า" จากนั้นพระองค์ทรงกวักมือให้พ่อครัวเดินเข้ามา "มีอะไรหรือพะย่ะข้า" "เข้ามาใกล้ๆ"พ่อครัวทำตามด้วยดี จากนั้นแกงที่อยู่ในถ้วย ถูกเทราดบนหัว พ่อครัวอย่างจัง "ซ่าาาา.." "ไปทำมาใหม่" มหาปิงคละเอ่ยเสียงเข้ม จากนั้นพ่อครัวรับคำก่อนจะเดินจากไป
ด้านสาวใช้ สะดุ้งเฮือก "ยืนบื้ออะไร รีบเก็บกวาดเข้าสิ" "พะ...เพค่ะ" "เจ้าพวกนี้ใช้ไม่ได้เลย น่าเอาไปโยนให้จระเข้กินให้หมด"
เมื่อเวลาผ่านไป พระโพธิสัตว์ได้ถือกำเนิดขึ้น เป็นโอรสของพระเจ้ามหาปิง ต่อมาหลายปีร่างกายขององค์ราชาเริ่ม ป่วยกระเสาะกระแสะจนกระทั้งสิ้นพระชนม์ไป ครั้นเมื่อชาวเมืองพาราณสี ทราบข่าว ต่างพากันยินดี ร้องรำทำเพลง กันอย่างสนุกสนาน
"เย้ ในที่สุดกษัตริย์ผู้โหดเหี้ยมจากไปแล้ว พวกเราจะได้อยู่ดีมีสุขสักที ชาวบ้านตั้งวงเลี้ยงฉลอง" "เอ้า....!ชนนนนน แกร๊งๆๆๆๆ ฉลองให้กับ ปีศาจ ที่หายไปแล้ว" "บ้านเมืองดีขึ้นหน่อยโว้ยยยย" "เฮ้"
งานศพของพระเจ้ามหาปิงคละถูกจัดขึ้น ร่างของพระองค์ถูกเผาด้วยเชิงตะกอน ฟืนหลายพันเกวียนถูกจัดเตรียมไว้อย่างดี และเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น พระโพธิสัตว์ผู้เป็นพระโอรสได้อภิเษกขึ้นครองราชย์ต่อจากบิดาของตน งานฉลองถูกจัดขึ้นติดต่อกันเป็นเวลา เจ็ดวันเจ็ดคืน ชาวเมืองเที่ยวตีกลอง เต้นรำอย่างครึกครื้น พร้อมกับตกแต่งพระนครด้วยธงทิวต่างๆ อย่างสวยงาม พื้นถูกโปรยปรายด้วยข้าวตอกและดอกไม้ ไปทั่วเมือง
เช้าวันต่อมา พระโพธิสัตว์ทรงกำลังนั่งประทับบนบัลลังก์ ท่ามกลางข้าราชบริวาร ขุนนาง อำมาตย์ มายืนต้อนรับอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ขณะนั้น มียามประตูนายหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกล กำลังสะอื้นร้องไห้ พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็นยามประตูนั้น จึงเดินตรงไปแล้วเอ่ยถามว่า " ท่านรักพ่อของข้าหรือ ถึงร้องไห้คร่ำครวญเช่นนี้ " ยามหน้าประตูปาดน้ำตาช้าๆ พร้อมกับสะอื้น
"ปะ...เปล่าพะย่ะข้า" แล้วทำไมล่ะ "หม่อมฉันดีใจ ที่หัวจะได้เป็นสุขสักทีเพราะพระเจ้าปิงคละเสด็จผ่าน มักจะเขกหัวของข้าพระองค์เที่ยวละแปดครั้ง" "ขนาดนั้นเลยหรือ" "พะเจ้าข้า มีอีกเรื่องหนึ่งที่หม่อมฉันกังวล กลัวว่าวิญญาณ ของพระองค์จะตามมาเขกกระโหลกอีก" เมื่อพระโพธิสัตว์ได้ยินดังนั้นถึงกับสลด จากนั้นใช้มือจับไปที่ไหล่ของยามคนนั้น
"พระราชาผู้นั้นถูกเผาด้วยฟืนพันเล่มเกวียน รอบๆหลุมศพก็ล้อมรั้ว วิญญาณนั้นไปสู่ประโลกแล้ว จะไม่กลับมาอีก เจ้าวางใจได้" "จริงหรือพระเจ้าข้า" "จริงสิ เห็นข้าเป็นคนชอบโกหกหรือ" พระโพธิสัตว์พูดด้วยท่าที่เอ็นดู "มะ..ไม่พะย่ะข้า" "ก็อย่างนั้นแหละทุกอย่างจบไปแล้วอย่าคิดมากเลย" เมื่อบทสนทนาจบลงพระโพธิสัตว์ ทรงเดินกลับมานั่งบนบัลลังก์ตามเดิม พร้อมกับมองดูเหล่าบริวารทุกคนนิ่ง ก่อนตรัสว่า
"นับจากนี้เป็นต้นไปเราจะดูแลทุกคนอย่างเป็นธรรม ท่านทั้งหลายไม่ต้องกังวล จะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้ ประวัติศาสตร์จะไม่เกิดขึ้นอีก ข้าขอสัญญา" บรรดาข้าหลวง เมื่อได้ยินประโยคนี้ต่างพากันส่งเสียงดีใจ
ตั้งแต่นั้น พระโพธิสัตว์เสวยราชสมบัติโดยธรรม ทรงบำเพ็ญบุญมีทานเป็นต้น แล้วก็เสด็จไปตามยถากรรม
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดก.
พระเจ้าปิงคละในครั้งนั้น ได้เป็น เทวทัต ในครั้งนี้
ส่วนพระโอรส คือ เราตถาคต นี้แล.