อรรถกถา สุจจชชาดก
ว่าด้วย ภรรยาที่ดี
มีเศรษฐีคนหนึ่งตั้งใจจะสะสางหนี้สิน จึงไปในหมู่บ้านพร้อมกับภรรยา ครั้นชำระทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จึงคิดว่าจะนำเกวียนมาขนในภายหลัง จึงได้ฝากของไว้ในตระกูลหนึ่ง ขณะที่สองสามีภรรยากำลังกลับไปยังเมืองสาวัตถี เห็นภูเขาลูกหนึ่งในระหว่างทาง
ภรรยากล่าวว่า "ถ้าเกิดภูเขานี้กลายเป็นทอง ท่านพี่จะให้อะไรฉันบ้าง" ท่านเศรษฐีกล่าวว่า "เธอเป็นใคร ฉันจะไม่ให้อะไรเลย" เมื่อภรรยาได้ยินดังนั้นจึงเกิดความน้อยใจ "สามีของเรานี้มีหัวใจกระด้างนัก" เมื่อสามีภรรยาทั้งสองนั้นเดินมาใกล้พระเชตวัน คิดว่าอยากดื่มน้ำ จึงเข้าไปยังพระวิหาร
ฝ่ายสามีภรรยาทั้งสองนั้นดื่มน้ำแล้ว ก็มาถวายบังคมพระศาสดา พระตถาคตเอ่ยถามสองสามีภรรยาว่า "ท่านทั้งสองไปไหนมา?" สามีภรรยาทั้งสองกราบทูลว่า "ไปสะสางหนี้สินในหมู่บ้านของข้าพระองค์ พระเจ้าข้า" พระตถาคต มองตรงไปยังภรรยาของท่านเศรษฐี ก่อนเอ่ยถาม "ท่านภรรยาเรื่องที่เกิดขึ้นในปัจจุบันในอดีตเกิดขึ้นเช่นกัน"จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้ถือกำเนิดขึ้น เป็นอำมาตย์ผู้สำเร็จของพระเจ้าพรหมทัต อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาทรงเห็นพระราชโอรสมายังที่เฝ้า ความคิดก็ผุดเข้ามาในหัว "เจ้าลูกคนนี้คงจะทรยศประทุษร้ายฝ่ายในของเราแน่" จึงรับสั่งให้เรียกพระราชโอรสมาแล้วตรัสว่า "ลูกรัก ตราบเท่าที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ เจ้าอย่าได้อยู่ในพระนคร จงอยู่ในที่อื่นเสีย เมื่อพ่อล่วงลับไปแล้วจึงค่อยครองราชสมบัติ" เมื่อคนเป็นพ่อเอ่ยจบ ผู้เป็นลูกชายไม่อาจทำอะไรได้นอกจากตอบตกลง พระโอรสได้ออกเดินทางจากวังทันที พร้อมกับภรรยาของตน ไปยังชายแดนสร้างที่พักอยู่ในป่า
เมื่อเวลาผ่านไป พระราชาเสด็จสวรรคต ด้านพระโอรสตรวจดูนักขัตฤกษ์ ก็รู้ว่าพ่อของตนเสียชีวิตแล้ว จึงเดินทางตรงไปยังพาราณสี ในระหว่างทางได้เห็นภูเขาลูกหนึ่ง จู่ๆพระชายาตรัสถามพระโอรสขึ้น "ถ้าภูเขานี้เป็นทอง พระองค์จะประทานอะไรแก่หม่อมฉันบ้าง" "ไม่...ฉันจะไม่ประทานอะไรให้ทั้งนั้น" เมื่อพระโอรสพูดจบ ความน้อยใจก็ตีขึ้นจนจุกอก แม้อยากจะต่อว่าสามีเต็มแก่ แต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ นอกจากเก็บไว้ในใจเท่านั้น
ทั้งคู่ยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั้งมาถึงพาราณสี ต่อมาพระโอรสได้รับตำแหน่งพระราชาแต่งตั้งพระชายาเป็นตำแหน่งอัครมเหสี พระองค์ได้ประทานเพียงแค่ยศเท่านั้น ไม่ได้ประทานของขวัญอะไรให้เลยแม้แต่น้อย
พระโพธิสัตว์เฝ้ามองพระราชาและพระมเหสีเรื่อยมา จนเห็นปัญหาของคนทั้งคู่ "พระเทวีนี้ช่วยดูแลพระราชาตลอดมาไม่ได้คำนึงถึงความลำบากเลย ไม่ว่าจะไปอยู่ในป่า เดินทางไกล พระราชานี้น้อ มิได้ทรงคำนึงถึงพระเทวีเลย เที่ยวอภิรมย์อยู่กับนางสนม ไม่ได้การเราจะทำให้พระเทวี ได้รับอิสริยยศทั้งปวงให้ได้"
จากนั้นท่านอำมาตย์จึงเข้าไปเฝ้าพระเทวีแล้วกราบทูลว่า "พระเทวี ทำไมพระองค์ไม่ได้อะไรเลยจากพระราชาแม้แต่น้อย เพราะอะไรกัน" เมื่อพระเทวีได้ยินดังนั้น ใบหน้าที่เคยสดใสกลับหดหู่อย่างรวดเร็ว พร้อมกับเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างทางให้กับท่านอำมาตย์ฟังทั้งหมด เมื่อการสนทนาจบลง พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า "พระองค์เคยตรัสเรื่องนี้ในสำนักของพระราชาหรือเปล่า" พระเทวีตรัสว่า "ทำไมฉันจะไม่เคยเล่า" "ถ้าอย่างนั้นกระหม่อมจะทูลถามก่อนจากนั้นพระเทวีเอ่ยขึ้นนะพะยะข้า" ได้สิพระเทวีพยักหน้าพร้อมกับเอ่ยขอบคุณพระโพธิสัตว์พักใหญ่
ในวันหนึ่งพระมเหสีเสด็จไปเฝ้าพระราชา พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า "พระเทวี ไม่ได้ของขวัญอะไรจากพระองค์เลย ไม่ใช่หรือ?" ยังไม่ทันที่องค์กษัตริย์จะเอ่ย พระชายาสำทับอีกครั้ง "เราไม่ได้อะไรเลย พระองค์จะประทานอะไรให้แก่ภรรยาบ้าง" พร้อมกับเล่าเรื่องราว ที่เคยเกิดขึ้นอีกครั้ง
เมื่อพระมเหสีเอ่ยจบ พระราชาก็เอ่ยขึ้น "แล้วทำไมหรือ?ก็ข้าทำอย่างที่เคยพูดไง ตำแหน่งพระมเหสีก็ประทานให้แล้วไงจะเอาอะไรอีก" เมื่อพระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นก็เอ่ยขึ้น "ถ้าพระองค์ทรงไม่ให้อะไรพระเทวีเลย เอาแต่ให้ของขวัญเหล่าสนม จะถูกข้อครหาได้นะพะย่ะข้า"
แต่ท่าทีพระราชาไม่ได้ สะทกสะท้านอะไรเลยแม้แต่น้อย พระองค์ยังคงนิ่งเงียบ เมื่อพระเทวีเห็นท่าทีของสามีเช่นนี้ จึงยกมือประนมขึ้น พร้อมเอ่ยด้วยถ้อยคำว่า "ขอให้พระองค์ทรงประสบความพินาศ ถ้าไม่ทำตามสัจจะที่เคยเอ่ยไว้" ท่านอำมาตย์ได้ฟังคำของพระเทวี คิดว่า "หญิงใด เมื่อสามีขัดสน ก็ขัดสนด้วย เมื่อสามีมั่งคั่ง ก็พลอยมั่งคั่งมีชื่อเสียงด้วย หญิงนั้นแหละ นับว่าเป็นยอดภรรยาของเขา"
จากนั้นท่านอำมาตย์กล่าวถึงคุณงามความดีที่พระเทวีมีต่อ องค์กษัติริย์" ข้าแต่มหาราช พระเทวีนี้ เวลาเมื่อพระองค์มีความทุกข์ ก็ทรงเป็นผู้ร่วมทุกข์อยู่ในป่า ควรจะทรงกระทำความยกย่องพระเทวีนี้"
พระราชาทรงระลึกถึงคุณความดีของพระเทวี เพราะคำพูดของพระโพธิสัตว์นั้น จึงตรัสว่า ดูก่อนบัณฑิต เราระลึกถึงคุณของพระเทวีได้ เพราะถ้อยคำของท่าน จึงพระราชทานอิสริยยศทั้งปวงแก่พระเทวีนั้นแล้วตรัสว่า เธอทำให้ฉันระลึกถึงคุณความดีของพระเทวี จึงได้พระราชทานสักการะนับถืออย่างใหญ่หลวงแก่พระโพธิสัตว์
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประกาศสัจจะ แล้วประชุมชาดก.
ในเวลาจบสัจจะ ผัวและเมียทั้งสองได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล.
พระเจ้าพาราณสีในครั้งนั้น ได้เป็น กฎุมพีนี้
พระเทวีในครั้งนั้น ได้เป็น อุบาสิกานี้
ส่วนอำมาตย์ผู้เป็นบัณฑิตในครั้งนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.