ชาดก 500 ชาติ รวมนิทานชาดกพร้อมภาพประกอบ คติธรรม ข้อคิดสอนใจ

ชาดก 500 ชาติ : ชาดก 500ชาติรวมชาดก 500 ชาติพร้อมภาพประกอบ  ข้อคิดสอนใจ

ชาดก คือ เรื่องราวหรือชีวประวัติในอดีตชาติของพระโคตมพุทธเจ้า คือ สมัยที่พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีอยู่ พระองค์ทรงนำมาเล่าให้พระสงฆ์ฟังในโอกาสต่าง ๆ เพื่อแสดงหลักธรรมสุภาษิตที่พระองค์ทรงประสงค์ เรียกเรื่องในอดีตของพระองค์นี้ว่า ชาดก ชาดกเป็นเรื่องเล่าคล้ายนิทาน บางครั้งจึงเรียกว่า นิทานชาดก

ชาดก 500 ชาติ :: อรรถกถา สุมังคลชาดก ว่าด้วย คุณธรรมของกษัตริย์

อรรถกถา สุมังคลชาดก ว่าด้วย คุณธรรมของกษัตริย์


               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภราโชวาทสูตร จึงตรัสเรื่องนี้ 


               ก็ในครั้งนั้น พระศาสดา อันพระเจ้าปเสนทิโกศลทูลอาราธนาให้ตรัสเรื่องราว จึงได้ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ 
               

               ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี ทรงบำเพ็ญมหาทาน พระองค์มีคนเฝ้าพระราชอุทยานคนหนึ่ง ชื่อสุมังคละ. 


               ครั้งนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งออกจากเงื้อมภูเขานันทมูลกะ จาริกไปถึงพระนครพาราณสี อาศัยอยู่ในพระราชอุทยาน วันรุ่งขึ้นเข้าไปบิณฑบาตในพระนคร


               พระราชาทอดพระเนตรเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นแล้ว ทรงเลื่อมใส ไหว้แล้วนิมนต์ให้ขึ้นไปสู่ปราสาท นั่งบนราชอาสน์ ทรงอังคาสด้วยของเคี้ยวของฉันมีรสเลิศต่างๆ ครั้นได้ทรงสดับอนุโมทนาแล้ว ทรงเลื่อมใสยิ่งขึ้น ขออาราธนาให้อยู่ในพระราชอุทยานของพระองค์ 
               
               ส่วนพระปัจเจกพุทธเจ้าเสด็จไปพระราชอุทยาน แม้พระองค์เองพอเสวยพระกระยาหารเช้าแล้ว ก็เสด็จไปจัดแจงที่พักกลางคืน และที่พักกลางวันเป็นต้น ให้คนเฝ้าพระราชอุทยานทำหน้าที่ไวยาวัจจกร แล้วเสด็จเข้าพระนคร


               จำเดิมแต่นั้นมา พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ฉันที่พระราชมณเฑียรเป็นนิตย์ อยู่ที่พระราชอุทยานนั้น สิ้นกาลนาน. แม้นายสุมังคละก็บำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้าโดยเคารพ

15-11-67-01br.jpg 


                อยู่มาวันหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าเรียกนายสุมังคละมาบอกว่า เราจักอยู่อาศัยบ้านโน้น ๒-๓ วันแล้วจักมา ท่านจงกราบทูลพระราชาด้วย ดังนี้แล้วก็หลีกไป. นายสุมังคละก็ได้กราบทูลพระราชาแล้วพระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่ที่บ้านนั้น ๒-๓ วัน เวลาเย็นพระอาทิตย์อัสดงคตแล้ว กลับมาสู่พระราชอุทยานนายสุมังคละไม่รู้ว่าพระปัจเจกพุทธเจ้ามา ได้ไปเรือนของตน


               
                พระปัจเจกพุทธเจ้าเก็บบาตรจีวร แล้วจงกรมหน่อยหนึ่ง นั่งอยู่บนแผ่นหิน ก็ในวันนั้นมีแขกมาเรือนของคนเฝ้าพระราชอุทยานหลายคน นายสุมังคละคิดว่า เราจักฆ่าเนื้อที่พระราชาไม่ห้ามในพระราชอุทยาน เพื่อปรุงเลี้ยงแขก จึงถือธนูไปสู่สวน สอดสายตาหาเนื้อเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เข้าใจผิดว่า ชะรอยจักเป็นเนื้อใหญ่ จึงเอาลูกศรพาดสายยิงไป
               

                พระปัจเจกพุทธเจ้าเปิดผ้าคลุมศีรษะกล่าวว่า สุมังคละ เขามีความกลัว กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผมไม่รู้ว่าท่านมาแล้ว เข้าใจว่า เป็นเนื้อจึงยิงไป ขอท่านได้โปรดงดโทษแก่กระผมเถิด เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า ข้อนี้ยกไว้เถอะ บัดนี้ท่านจะกระทำอย่างไร จงมาถอนเอาลูกศรไปเสีย เขาไหว้แล้วถอนลูกศร เวทนาเป็นอันมากเกิดขึ้นแล้ว พระปัจเจกพุทธเจ้าปรินิพพาน ณ ที่นั้นเอง คนเฝ้าสวนคิดว่า ถ้าพระราชาทรงทราบจักไม่ยอมไว้ชีวิตเรา จึงพาลูกเมียหนีไป
             

               ในทันใดนั้นเอง ด้วยเทวานุภาพได้ดลบันดาลให้เกิดโกลาหลทั่วพระนครว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว

              

                วันรุ่งขึ้น ผู้คนพากันไปพระราชอุทยาน เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว กราบทูลพระราชาว่า คนเฝ้าสวนฆ่าพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วหนีไป พระราชาเสด็จไปด้วยบริวารเป็นอันมาก ทรงบูชาศพเจ็ดวัน แล้วทรงทำฌาปนกิจด้วยสักการะใหญ่ เก็บพระธาตุ ก่อพระเจดีย์บรรจุพระธาตุ บูชาพระเจดีย์นั้น ครอบครองราชสมบัติโดยธรรม
               
                ฝ่ายนายสุมังคละ พอล่วงไปหนึ่งปี คิดว่า เราจักรู้วาระน้ำจิตของพระราชา จึงมาหาอำมาตย์คนหนึ่ง กล่าวว่า ท่านจงรู้ว่า พระราชาทรงรู้สึกในเราอย่างไร? อำมาตย์นั้นกล่าวพรรณนาคุณของนายสุมังคละในสำนักของพระราชา พระราชาทำเป็นไม่ได้ยินเสีย อำมาตย์ไม่ได้กล่าวอะไรๆ อีก กลับมาบอกนายสุมังคละว่า พระราชาทรงไม่พอพระทัย

15-11-67-02br.jpg               


                พอล่วงไปปีที่สอง นายสุมังคละย้อนมาอีก พระราชาได้ทรงนิ่งเสียเช่นคราวก่อน

15-11-67-03br.jpg           

               พอล่วงไปปีที่สาม นายสุมังคละได้พาลูกเมียมา อำมาตย์รู้ว่า พระราชามีพระทัยอ่อนลงแล้ว จึงพานายสุมังคละไปยืนที่ประตูพระราชวัง แล้วกราบทูลพระราชาว่า นายสุมังคละมา พระราชารับสั่งให้เรียกนายสุมังคละมา ทรงทำปฏิสันถาร แล้วตรัสว่า สุมังคละ เหตุไรท่านจึงฆ่าพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เป็นบุญเขตของเราเสีย? 

15-11-67-04br.jpg        
               นายสุมังคละกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระองค์มิได้มีเจตนาฆ่าพระปัจเจกพุทธเจ้า ข้าพระองค์เข้าใจผิด คิดว่าเป็นเนื้อจึงได้ยิงไป ดังนี้แล้วได้กราบทูลเหตุการณ์เป็นมานั้นให้ทรงทราบ


               ลำดับนั้น พระราชาทรงปลอบโยนเขาว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านอย่ากลัวเลย แล้วตั้งให้เป็นผู้เฝ้าพระราชอุทยานอีก
               
               ลำดับนั้น อำมาตย์ได้กราบทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ เหตุไรพระองค์ แม้ได้ฟังคุณของนายสุมังคละถึง ๒ ครั้ง ก็ไม่ตรัสอะไรๆ แต่พอได้ฟังในครั้งที่ ๓ เหตุไรจึงทรงเรียกมาอนุเคราะห์

15-11-67-05br.jpg
               พระราชาตรัสว่า ธรรมดาพระราชากำลังพิโรธ ทำอะไรลงไปด้วยความผลุนผลันไม่สมควร ฉะนั้นครั้งก่อนๆ เราจึงนิ่งเสีย ครั้งที่ ๓ เรารู้ใจของเราว่า ความโกรธนายสุมังคละอ่อนลงแล้ว จึงให้เรียกเขามา 


               เมื่อจะทรงแสดงราชวัตร ได้ตรัสคาถาเหล่านี้ความว่า 


               พระเจ้าแผ่นดินทรงรู้ว่า เรากำลังกริ้วจัดไม่พึงลงอาชญาอันไม่สมควรแก่ตนโดยไม่ใช่ฐานะก่อน พึงเพิกถอนความทุกข์ของผู้อื่นอย่างร้ายแรงไว้


               เมื่อใดพึงรู้ว่าจิตของตนผ่องใส พึงใคร่ครวญความผิดที่ผู้อื่นทำไว้ พึงพิจารณาให้เห็นแจ่มแจ้งด้วยตนเองว่า นี่ส่วนประโยชน์ นี่ส่วนโทษ เมื่อนั้นจึงปรับไหมบุคคลนั้นๆ ตามสมควร


               อนึ่ง พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใดไม่ถูกอคติครอบงำ ย่อมแนะนำผู้อื่นที่ควรแนะนำและไม่ควรแนะนำได้ พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้น ชื่อว่าไม่เผาผู้อื่นและพระองค์เอง 


               พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใดในโลกนี้ ทรงลงอาชญาสมควรแก่โทษ พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้น อันคุณงามความดีคุ้มครองแล้ว ย่อมไม่เสื่อมจากสิริ


               กษัตริย์เหล่าใดถูกอคติครอบงำ ไม่ทรงพิจารณาเสียก่อนแล้วทำลงไป ทรงลงอาชญาโดยผลุนผลัน กษัตริย์เหล่านั้นประกอบไปด้วยโทษน่าติเตียน ย่อมละทิ้งชีวิตไป และพ้นไปจากโลกนี้แล้วก็ย่อมไปสู่ทุคติ


               พระราชาเหล่าใดทรงยินดีแล้วในทศพิธราชธรรม อันพระอริยเจ้าประกาศไว้ พระราชาเหล่านั้นเป็นผู้ประเสริฐด้วยกาย วาจาและใจ 
           

               พระราชาเหล่านั้นทรงดำรงมั่นอยู่แล้วในขันติโสรัจจะ และสมาธิ ย่อมถึงโลกทั้งสอง โดยวิธีอย่างนั้น


               เราเป็นพระราชาผู้เป็นใหญ่ของสัตว์และมนุษย์ทั้งหลาย ถ้าเราโกรธขึ้นมา เราก็ตั้งตนไว้ในแบบอย่างที่โบราณราชแต่งตั้งไว้ คอยห้ามปรามประชาชนอยู่อย่างนั้น ลงอาชญาโดยอุบายอันแยบคาย ด้วยความปราณี

 

               พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงด้วยการประทานโอวาทแก่พระเจ้าโกศลแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า 


               พระปัจเจกพุทธเจ้าในครั้งนั้น ได้ปรินิพพานแล้ว 
               นายสุมังคละ คนเฝ้าพระราชอุทยานในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระอานนท์ ในบัดนี้ 
               พระราชาในครั้งนั้น ได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

* * ชาดก 500 ชาติ แนะนำ * *

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล