อรรถกถา อุททาลกชาดก
ว่าด้วย จรณธรรม
ณ วัดเชตวันมหาวิหาร วันหนึ่งพระพุทธเจ้าทรงปรารภถึงภิกษุรูปหนึ่งที่ชอบหลอกลวงเพื่อหาปัจจัย ทรงกล่าวว่า การกระทำเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีมาตั้งแต่อดีตชาติ
ในอดีต มีพราหมณ์หนุ่มนามว่า อุททาลกะ เขาเกิดจากความสัมพันธ์ลับระหว่างพราหมณ์ปุโรหิตในพระราชวัง และหญิงคนหนึ่งในเมือง เมื่อเติบโตขึ้น อุททาลกะได้ออกเดินทางศึกษาพระเวทจนกลายเป็นผู้มีความรู้มาก แต่เขากลับใช้ความรู้นั้นเพื่อหลอกลวงผู้คน โดยแต่งตัวเป็นดาบสและตั้งตนเป็นผู้นำกลุ่มฤาษี
อุททาลกะพากลุ่มฤาษีเดินทางไปยังนครพาราณสี เขาใช้วิธีการแสดงอภินิหาร เช่น นอนบนหนาม แช่น้ำเย็น หรือสวดมนต์ท่ามกลางเปลวไฟ เพื่อดึงดูดความศรัทธาของชาวบ้าน จนได้รับทรัพย์สินและปัจจัยจำนวนมาก เมื่อข่าวลือถึงพระราชา พระองค์จึงเสด็จไปพบที่อุทยานหลวง ทรงเลื่อมใสในฤาษีเหล่านี้ และตรัสถามถึงธรรมะ
ในที่นั้น ปุโรหิตประจำราชสำนัก ซึ่งเป็นพ่อแท้ๆ ของอุททาลกะ (แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นลูก) ได้ถกเถียงกับอุททาลกะเกี่ยวกับ จรณธรรม หรือการประพฤติชอบ ปุโรหิตแย้งว่า การบำเพ็ญตบะอย่างเดียวไม่ได้ทำให้คนพ้นทุกข์ ต้องมีคุณธรรมและความสำรวมจึงจะบรรลุเป้าหมายแห่งชีวิต
อุททาลกะพยายามตอบโต้ แต่เมื่อไม่สามารถเอาชนะปุโรหิตได้ จึงเผยความจริงว่าเขาคือบุตรของปุโรหิต พร้อมยื่นแหวนที่พ่อเคยมอบให้เป็นหลักฐาน
ปุโรหิตกล่าวเตือนลูกชายว่า แม้เจ้าจะมีความรู้มาก แต่หากขาดคุณธรรม เจ้าก็ไม่ต่างจากคนหลอกลวง ขึ้นชื่อว่าพราหมณ์หรือผู้บำเพ็ญธรรมแท้จริง ต้องปล่อยวางทรัพย์สมบัติ ความโลภ และความยึดมั่นในตัวตน “คนจะดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับชาติกำเนิดหรือการแสดงตบะอัศจรรย์ หากแต่ขึ้นอยู่กับความสงบและความบริสุทธิ์ในใจ” คำสอนนี้ทำให้อุททาลกะตระหนักในความผิด เขาละทิ้งการกระทำหลอกลวง และตั้งใจปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในครั้งก่อน เธอก็เคยหลอกลวงเหมือนกัน
ทรงประชุมชาดกว่า
อุททาลกะในครั้งนั้น ได้มาเป็น ภิกษุผู้หลอกลวง
พระราชาได้มาเป็น พระอานนท์
ส่วนปุโรหิตได้มาเป็น เราตถาคต แล.