อรรถกถา อสิตาภุชาดก
ว่าด้วย โลภมากลาภหาย
ณ ดินแดนแห่งแสงธรรม พระศาสดาเสด็จประทับ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ขณะนั้นมีเรื่องราวของหญิงสาวผู้หนึ่งเป็นที่กล่าวขานในหมู่ภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้เริ่มต้นจากตระกูลหนึ่งในกรุงสาวัตถี หญิงสาวในตระกูลนี้นามว่า กุมาริกา ผู้เลอโฉมงามพร้อม นางเติบโตและแต่งงานกับชายหนุ่มผู้มีฐานะเท่าเทียมกัน ทว่าชีวิตคู่ของนางกลับไม่ได้สมหวังดังฝัน สามีของนางเริ่มห่างเหินและมักไปตามใจตนเองที่อื่น
แม้จะถูกละเลยเช่นนั้น แต่กุมาริกาก็ไม่เศร้าโศก นางหันมาปฏิบัติธรรมโดยนิมนต์พระอัครสาวกทั้งสองมาถวายทาน และตั้งใจสดับพระธรรมจนบรรลุโสดาปัตติผล ตั้งแต่นั้น นางใช้ชีวิตอย่างสงบในแสงธรรมและตัดสินใจบวช หลังจากออกบวชไม่นาน นางก็สำเร็จอรหัตผล
วันหนึ่งในโรงธรรม ภิกษุทั้งหลายสนทนาถึงเรื่องนี้ พระศาสดาเสด็จมาถามว่า “พวกเธอสนทนาเรื่องใดกันหรือ?” ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องของกุมาริกา พระศาสดาจึงตรัสเล่าเรื่องในอดีตว่า
กาลครั้งหนึ่ง...ในยุคสมัยของพระเจ้าพรหมทัต กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บวชเป็นฤาษีและพำนักอยู่ในป่าหิมพานต์ มีพรหมทัตกุมาร โอรสของพระเจ้าพรหมทัต ถูกเนรเทศออกจากแคว้น พระองค์พร้อมพระชายานามว่า อสิตาภู ต้องลี้ภัยเข้าสู่ป่าลึก
ทั้งสองทรงใช้ชีวิตเรียบง่ายในป่า เสวยปลา เนื้อ และผลไม้ ทว่าไม่นาน พรหมทัตกุมารก็หลงใหลนางกินรีผู้เลอโฉม พระองค์ติดตามรอยเท้าของนางกินรีโดยไม่คำนึงถึงพระชายาที่เฝ้ารอในบรรณศาลา
พระนางอสิตาภูเมื่อเห็นความเมินเฉยของพรหมทัตกุมาร ก็ทรงเข้าใจว่าความรักนี้สิ้นสุดแล้ว พระนางจึงเสด็จไปเฝ้าพระฤาษีเพื่อขอเรียนกสิณสมาบัติ หลังจากบำเพ็ญจนสำเร็จ พระนางกลับมายืนอยู่ ณ บรรณศาลา รอคอยการกลับมาของพรหมทัตกุมาร
เมื่อพรหมทัตกุมารกลับมาในสภาพอิดโรยด้วยความสิ้นหวัง พระนางอสิตาภูกล่าวด้วยเสียงมั่นคงว่า “ข้าแต่องค์โอรส หม่อมฉันขอบคุณพระองค์ที่ทำให้หม่อมฉันพ้นจากพันธนาการแห่งรัก หม่อมฉันไม่อาจกลับไปเป็นดังเดิมได้อีก ความรักนี้เปรียบเสมืองาช้างที่ถูกตัดขาดแล้ว ไม่มีวันจะประสานได้อีก”
พระนางตรัสจบก็บินขึ้นสู่เวหาด้วยสีดั่งแก้วมณี พรหมทัตกุมารทอดพระเนตรด้วยความปวดร้าว พระองค์กล่าวรำพันว่า “เพราะความโลภและหลงเกินประมาณ เราจึงสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตไป เช่นเดียวกับที่เราสูญเสียพระนางอสิตาภู”
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุมาริกาผู้นั้นเป็นผู้แสวงหาประโยชน์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน นางมุ่งมั่นในความสุขสงบแห่งธรรม อันเป็นแบบอย่างของผู้รู้จักปล่อยวางและบรรลุความพ้นทุกข์”
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดก.
ราชบุตรและราชธิดาในครั้งนั้น ได้เป็นชนทั้งสองในครั้งนี้
ส่วนดาบส คือ เราตถาคต นี้แล.