อรรถกถา ชัมพุขาทกชาดก
ว่าด้วย การสรรเสริญกันและกัน
ณ พระเชตวันมหาวิหาร อากาศในยามบ่ายอบอวลด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ป่า ภิกษุทั้งหลายพากันนั่งสนทนาในโรงธรรม เสียงหัวเราะเบา ๆ ปนเสียงกระซิบดังเป็นระยะๆ แว่วถึงพระศาสดาผู้เสด็จมาอย่างเงียบสงบ พร้อมสายพระเนตรอ่อนโยนแต่แฝงด้วยปัญญาอันลึกซึ้ง
พระพุทธองค์ตรัสถามว่า“ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอสนทนาเรื่องใดอยู่หรือ?”ภิกษุรูปหนึ่งกราบทูลว่า“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้ากำลังวิจารณ์เรื่องพระเทวทัตและพระโกกาลิกะ ทั้งสองเที่ยวพรรณนาคุณซึ่งหาเป็นจริงไม่ให้กันและกัน แล้วเที่ยวฉันภัตตาหารอยู่ในตระกูลต่าง ๆ พวกเราจึงสงสัยในความชอบธรรมของการกระทำนี้”
พระพุทธองค์ประทานรอยแย้มเล็กน้อย ตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นว่า“ดูกรภิกษุทั้งหลาย มิใช่เพียงในบัดนี้เท่านั้น ที่บุคคลทั้งสองกล่าวสรรเสริญกันโดยไม่สัตย์ แม้ในกาลก่อนก็เคยเป็นเช่นนั้น...”
ย้อนอดีตสู่ป่าชมพู่ในแคว้นพาราณสี กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อพระเจ้าพรหมทัตปกครองกรุงพาราณสี อากาศในฤดูผลิสดชื่นเย็นสบาย แสงแดดกรองผ่านเรือนยอดไม้กระทบพื้นดินเป็นลวดลาย เงาไม้โยกไหวราวกับธรรมชาติร่วมเต้นระบำ ในป่าชมพู่ซึ่งผลดกเต็มต้น รุกขเทวดาองค์หนึ่งสถิตอยู่ ณ ต้นไม้ใหญ่กลางป่า นิ่งเงียบดั่งผู้เฝ้ามองความเป็นไปของโลกด้วยใจเมตตา
กาตัวหนึ่งสีดำขลับ นั่งอยู่บนกิ่งไม้สูง มันส่งเสียงร้องเบา ๆ ขณะใช้จะงอยปากแหวกเปลือกชมพู่สุก หยาดน้ำหวานเยิ้มออกมา เป็นอาหารที่มันเฝ้ารอทั้งวัน ในขณะเดียวกัน สุนัขจิ้งจอกผอมโซตัวหนึ่ง เดินดุ่มฝ่าพงหญ้าด้วยความเหนื่อยล้า กลิ่นของผลไม้สุกดึงดูดมันให้มาหยุดอยู่ใต้ต้นชมพู่ สายตามันเหลือบเห็นกา แล้วเกิดความคิดเจ้าเล่ห์ในใจ
“หากเราสรรเสริญมันสักหน่อย อาจได้ลิ้มรสชมพู่เหมือนกัน” มันเงยหน้าขึ้น ส่งเสียงหวานเสียจนผิดธรรมดาของสุนัขจิ้งจอกว่า “โอ้ ท่านผู้มีเสียงอันไพเราะยิ่ง ดังกังวานกลมกล่อมเกินกว่าปักษาใด ข้าเปรียบท่านประหนึ่งลูกนกยูงรุ่นหนุ่มผู้ร้องขับกล่อมป่า อะไรจะไพเราะเสนาะหูถึงเพียงนี้!” กาหยุดกิน หรี่ตาลงอย่างพอใจ คำสรรเสริญนั้นเป็นดั่งเสียงเพลงกล่อมหัวใจ จึงตอบกลับด้วยเสียงกระแหนะกระแหนผสมปลื้มใจว่า
“สหายผู้มีขนพรรณประหนึ่งลูกเสือโคร่งผู้กล้าหาญ เจ้ารู้จักสรรเสริญผู้อื่นยิ่งนัก เราชื่นชมในกิริยาท่านนัก เชิญกินเถิด! ผลไม้เหล่านี้เรายกให้” เขย่ากิ่งไม้เบา ๆ ผลชมพู่สุกหล่นลงมาราวกับฝนโปรย สุนัขจิ้งจอกรีบกัดกินด้วยความหิวโหย หางกระดิกไปมาอย่างลิงโลด
แม้ฉากจะแลดูงดงามและเต็มไปด้วยมิตรภาพ แต่ผู้ที่เห็นความจริง กลับมีอีกผู้หนึ่ง รุกขเทวดา สถิตอยู่เหนือกิ่งไม้บนสุด ทอดพระเนตรสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วถอนหายใจเบา ๆ ก่อนเปล่งวาจาด้วยเสียงดังกังวานแต่เปี่ยมด้วยเมตตา“ผู้สรรเสริญกันและกันด้วยวาจาไม่สัตย์ เราเห็นมานานแล้ว กาที่เคยเคี้ยวสิ่งที่คนคายแล้ว กับสุนัขจิ้งจอกผู้กินซากศพ พวกเจ้ามาร่วมกลุ่มกัน พูดจาหวานหูเพื่อหลอกกินผลไม้ มันคือการหลอกลวง หาใช่คุณธรรมไม่!”
ทันใดนั้น บรรยากาศเปลี่ยนไป เมฆหมอกเริ่มก่อตัว ท้องฟ้ามืดครึ้ม ลมพัดแรงขึ้นอย่างผิดธรรมชาติ รุกขเทวดาแผ่รัศมีปรากฏร่างสูงใหญ่ในท่าทีขึงขัง กาและสุนัขจิ้งจอกเห็นแล้วตกใจกลัวสุดขีด พากันบินและวิ่งหนีหายไปในป่า
กลับสู่ปัจจุบันพระพุทธองค์ตรัสสรุปธรรมเทศนาให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
สุนัขจิ้งจอกในกาลนั้น ได้เป็น พระเทวทัต
กาในกาลนั้น ได้เป็น พระโกกาลิกะ
ส่วนรุกขเทวดาได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.