อรรถกถา ขันติวรรณนชาดก
ว่าด้วย ต้องอดใจในคนที่หาคุณธรรมยาก
ณ พระเชตวันมหาวิหาร ในยามเช้าที่แสงตะวันสาดส่องต้องใบโพธิ์ พระเจ้าโกศลเสด็จเข้ามาเฝ้าพระพุทธองค์ สีพระพักตร์ของพระองค์นั้นเคร่งขรึม แฝงด้วยร่องรอยของความอึดอัดใจที่เก็บมานานเมื่อพระศาสดาประทับนั่งอยู่ในท่ามกลางภิกษุทั้งหลาย พระเจ้าโกศลจึงกราบทูลอย่างกล้ำกลืนว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า... อำมาตย์ผู้หนึ่งที่ข้าพระองค์เคยไว้ใจ มีอุปการะแก่ราชสำนักมาเนิ่นนาน บัดนี้เขาได้ลอบเป็นชู้กับนางสนมของเรา ข้าพระองค์... แม้จะรู้ ก็เลือกที่จะนิ่งเงียบไว้ ด้วยเคยเป็นผู้มีอุปการะมาก ใจหนึ่งก็อดไม่ได้ อีกใจก็ไม่อาจลงโทษเขา” พระพุทธองค์ทรงรับฟังด้วยสายพระเนตรอ่อนโยน ตรัสด้วยสุรเสียงสงบเย็นว่า
“ดูกรมหาบพิตร แม้ในอดีตกาล พระราชาผู้ยิ่งใหญ่ก็เคยเผชิญสถานการณ์เช่นนี้ และทรงอดกลั้นไว้ด้วยขันติธรรม เราจักเล่าธรรมบทเรื่องหนึ่งให้ฟัง...”
ย้อนอดีตสู่กรุงพาราณสี ในรัชสมัยพระเจ้าพรหมทัต ผู้ครองกรุงพาราณสีอย่างสงบร่มเย็น พระองค์มีอำมาตย์คนหนึ่งผู้ซื่อสัตย์ ฉลาดหลักแหลม และรับราชการมาเนิ่นนาน ถือเป็นมือขวาที่พระราชาวางพระทัยยิ่ง แต่...
แม้มือขวาจะเก่งกล้าเพียงใด หากใจมิยับยั้งชั่วดี ย่อมกลายเป็นภัยร้ายไม่ต่างจากคมดาบ วันหนึ่ง อำมาตย์ผู้นั้นกลับลอบเป็นชู้กับนางสนมในวังอย่างลับ ๆ กระทำความผิดที่ไม่อาจลบล้างได้ง่ายดาย พระราชาทรงรู้เรื่องในที่สุด แต่ก็ไม่ทรงลงโทษแม้แต่คำพูด เพียงแค่พระเนตรที่เคยเต็มด้วยความไว้วางใจ... กลับกลายเป็นสายตาแห่งความผิดหวังเงียบ ๆ
อำมาตย์ยังไม่รู้ว่าพระราชาทรงทราบสิ่งใด จนกระทั่ง...วันหนึ่ง เขาเกิดเรื่องร้อนใจขึ้นเสียเองคนใช้ของเขาแอบลักลอบเป็นชู้กับภรรยาของตนความโกรธแล่นพล่านไปทั้งร่าง กิเลสที่เขาเคยควบคุมผู้อื่นไม่ได้ บัดนี้ย้อนกลับมาเผาใจเขาเองเขารีบพาตัวคนใช้ขึ้นท้องพระโรง ตั้งใจจะให้พระราชาทรงลงโทษหนัด้วยใจที่ปะทุราวไฟลาม เขากราบทูลด้วยเสียงเข้มว่า
“ข้าแต่มหาราชผู้ทรงธรรม ข้าพระบาทมีคนใช้ผู้ซื่อสัตย์ ทำกิจทุกอย่างให้ แต่บัดนี้ เขากลับเป็นชู้กับภรรยาข้าพระบาท ข้าควรจัดการเขาอย่างไร พระเจ้าข้า?”
เขาพูดอย่างมั่นใจ ไม่รู้เลยว่าตนเองกำลังเดินเข้าสู่กระจกแห่งกรรมพระราชาทรงฟังแล้ว แทนที่จะทรงโกรธกลับแย้มพระโอษฐ์บางเบา ตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบสงบแต่เปี่ยมด้วยสติว่า
“อำมาตย์เอ๋ย บุรุษผู้มีคุณมากเช่นนี้... เราเองก็มีอยู่แต่บุรุษผู้มีคุณพร้อมทั้งกาย วาจา และใจนั้น หาได้ยากยิ่งนักเราจึงต้องอดกลั้นไว้ ทั้งที่ใจไม่อาจยอมรับได้ง่าย ๆ เช่นกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น อำมาตย์ถึงกับหน้าชา สะดุดกับคำว่า “อดกลั้น” ของพระราชา ใจเต้นแรงอย่างรู้สึกผิด“พระองค์หมายถึงเรา... พระองค์ทรงรู้... แต่ไม่เคยตำหนิเราสักคำ...” หัวใจเขาเหมือนถูกบีบด้วยมือที่มองไม่เห็น นับแต่นั้นมา เขากลับตัวเป็นคนใหม่ หยุดการกระทำนั้นโดยเด็ดขาด และข่าวเรื่องนี้... ก็ล่วงรู้ถึงหูคนใช้ของเขาเช่นกันเมื่อรู้ว่าพระราชายังตรัสถึงตน เขาก็สลดใจ และไม่กล้าทำผิดซ้ำอีก
กลับสู่พระเชตวัน พระพุทธองค์ทรงเล่าจบ เหล่าภิกษุและพระเจ้าโกศลต่างน้อมใจรับธรรม เสียงสายลมพัดใบโพธิ์สั่นไหว ราวกับธรรมชาติเองก็พยักหน้าในคุณค่าของ “ขันติธรรม” “อำมาตย์ในเรื่องนั้น คือคนที่มหาบพิตรเอ่ยถึงในวันนี้ ส่วนพระราชาพาราณสีนั้น... คือเราตถาคตเอง” พระเจ้าโกศลเงยพระพักตร์ขึ้น สีหน้าเปลี่ยนเป็นแจ่มใสขึ้น “ขันติของพระองค์ เป็นดั่งกระจกเงาให้หันกลับมามองตน ข้าพระองค์เข้าใจแล้ว”
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดก.
พระราชาพาราณสีในครั้งนั้น คือ เราตถาคต นี้เอง
อำมาตย์นั้นรู้ว่า พระราชากราบทูลแด่พระศาสดา ตั้งแต่นั้นมา ก็ไม่อาจทำกรรมนั้น