อรรถกถา คชกุมภชาดก
ว่าด้วย ช้าๆ จะได้พร้าสองเล่มงาม
ณ พระวิหารเชตวัน กลางเมืองสาวัตถี เช้าวันหนึ่ง เสียงสนทนาเบา ๆ ของภิกษุหลายรูปดังขึ้นในโรงธรรมสภา “ท่านผู้นั้นน่ะหรือ…บวชเข้ามาในพระธรรมวินัยอันเป็นหนทางพ้นทุกข์แท้ ๆ แต่กลับวัน ๆ เอาแต่นั่ง เอาแต่นอน เหมือนท่อนไม้” “ใช่แล้ว อุทเทสไม่ท่อง บาลีไม่เรียน สมาธิก็ไม่ฝึก นิวรณ์ห้าครอบใจอยู่ทุกเมื่อ” ไม่นานนัก พระศาสดาเสด็จเข้ามา พระพักตร์สงบเย็น พระเนตรมองกลุ่มภิกษุอย่างเมตตา
“ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอกำลังสนทนาเรื่องอะไรอยู่หรือ?” เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า พวกเขากำลังพูดถึงภิกษุรูปหนึ่งซึ่งเกียจคร้านมาก พระพุทธองค์ทรงพยักหน้าเบา ๆ แล้วตรัสว่า “มิใช่เพียงในบัดนี้เท่านั้น ภิกษุรูปนี้ในอดีตชาติก็เคยเกียจคร้านเช่นเดียวกัน” จากนั้น พระองค์ทรงเริ่มเล่าเรื่องในอดีตอันไกลโพ้น…
ย้อนกลับไปในอดีตกาล ในนครพาราณสี อันรุ่งเรืองด้วยศิลปะและวัฒนธรรม พระเจ้าพรหมทัตเสวยราชย์อยู่บนบัลลังก์ทอง พระองค์เป็นกษัตริย์ที่เฉื่อยชา มิสนพระทัยการบ้านการเมืองนัก แต่โชคดีที่พระองค์มี อำมาตย์บัณฑิต ผู้เปี่ยมปัญญา คอยถวายคำปรึกษาอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย และบัดนี้ เขาคิดจะสั่งสอนพระราชาให้รู้จักคุณค่าของความเพียร
วันหนึ่ง พระราชาเสด็จพร้อมข้าราชบริพารไปยังพระราชอุทยาน ท่ามกลางแมกไม้เขียวขจี เสียงนกขับขาน และกลิ่นหอมของดอกไม้ป่า พระราชาเสด็จทอดพระเนตรเห็น สัตว์กำลังคลานช้า ๆ
“สัตว์อะไรนั่น…ดูมันเดินสิ ทั้งวันคงไม่ถึงไหน!” อำมาตย์ยิ้มมุมปากแล้วกราบทูล “ข้าแต่มหาราชเจ้า นั่นคือตัวเต่าสัตว์ประเภทหนึ่งที่เฉื่อยช้ายิ่งนัก แม้จะเดินทั้งวันก็ยังไปได้แค่ไม่ถึงสองนิ้ว” พระราชาทรงหัวเราะเบา ๆ แล้วหันมาถาม
“หากเกิดไฟป่าในที่นี้ขึ้นมา แล้วมันจะทำอย่างไร?” อำมาตย์ฉวยโอกาสนี้สนทนากับเจ้าตัวโยกด้วยถ้อยคำเปรียบเปรย “ดูเจ้าตัวโยกเอ๋ย…หากวันใดไฟป่าลุกไหม้ เจ้าเคลื่อนที่ช้าเช่นนี้ จะเอาตัวรอดอย่างไร?”
เต่าเงยหน้าช้า ๆ ตอบเสียงเรียบว่า “โพรงไม้ และช่องดินมีอยู่มากนัก หากพวกข้าไปไม่ทัน ก็คงถึงแก่ชีวิต นั่นแหละคือโชคชะตา” พระราชาทรงนิ่ง — คำตอบช่างเฉยชานัก เหมือนผู้ยอมแพ้ต่อชะตาโดยไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย
อำมาตย์เห็นจังหวะเหมาะ จึงกล่าวธรรมเทศนาด้วยคาถาสองบทว่า“ผู้ใด ในเวลาที่ควรทำสิ่งใดอย่างรอบคอบ กลับรีบเร่งจนเสียของและในเวลาที่ควรรีบ กลับเฉื่อยชา ผลลัพธ์ของเขาก็ย่อมแตกยับเหมือนคนเหยียบใบตาลแห้งจนแหลกเป็นผง”
“แต่ผู้ใด เมื่อถึงเวลาควรทำช้า ก็ทำอย่างสุขุมและเมื่อถึงเวลาควรเร่ง ก็ไม่รีรอ ผลแห่งความเพียรของเขาย่อมเต็มเปี่ยมประหนึ่งแสงจันทร์เต็มดวง ส่องฟ้ากลางราตรีให้สว่างไสว” คำสอนของอำมาตย์นั้น เหมือนพัดแรงแห่งสติที่โบกเปลวแห่งความเกียจคร้านให้มอดดับ
พระราชาทรงสดับแล้ว หัวใจเหมือนได้ตื่นขึ้นจากหลับไหลตั้งแต่เยาว์วัยตั้งแต่นั้นมา พระองค์ไม่ทรงละเลยพระราชกิจอีกเลยกลับสู่ปัจจุบัน ณ พระเชตวันเมื่อเล่าจบ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
“เจ้าคชกุมภะในกาลก่อน ก็คือภิกษุผู้เกียจคร้านในวันนี้
ส่วนอำมาตย์บัณฑิต…ก็คือ เราตถาคต นี้เอง”
เสียงลมพัดผ่านใบโพธิ์เหนือเศียรพระองค์ ราวกับเป็นเสียงธรรมที่ลูบไล้ใจภิกษุรูปนั้น
ดวงตาของเขาเริ่มมีแววสำนึก
และจากวันนั้นเป็นต้นมา เขาก็มุ่งมั่นฝึกตน ไม่ปล่อยชีวิตให้เกียจคร้านครอบงำอีกต่อไป