ว่าด้วย เหยี่ยวนกเขา
ในเช้าวันหนึ่งที่พระเชตวันมหาวิหาร แสงแดดยามรุ่งส่องกระทบหลังคาวิหารสีทองอร่าม พระพุทธเจ้าทรงเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสโอวาทว่า“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย…พวกเธอพึงเที่ยวไปใน ‘โคจร’ ที่ปลอดภัย เหมาะแก่การบำเพ็ญเพียร อย่าเที่ยวไปในสถานที่อโคจร ซึ่งเต็มไปด้วยภัยและสิ่งล่อลวง”
เหล่าภิกษุต่างนิ่งสงบ เงี่ยหูฟังอย่างเคารพพระพุทธองค์ตรัสต่อ...“แม้สัตว์เดียรัจฉาน หากละถิ่นของตนแล้วเที่ยวไปในแดนที่ไม่สมควร ยังต้องถึงแก่ความพินาศ แต่เมื่อกลับมาอยู่ในที่ที่ตนคุ้นเคย ก็สามารถเอาชนะภัยร้ายได้ด้วยปัญญา เราจักเล่าให้ฟังถึงเรื่องในอดีตกาล...”
วันหนึ่ง...นกมูลไถน้อยเกิดความคิดว่า“ทำไมเราต้องวนเวียนอยู่แค่ในนาเก่า ๆ ด้วยล่ะ? ลองไปท้ายป่าดูบ้าง บางทีอาจจะมีของแปลก ๆ อร่อยกว่าก็ได้” แล้วเขาก็บินออกไป...ไกลจากโคจรของตน
ไม่ทันไร...เสียงหวีดลมก็ดังขึ้น พร้อมเงาทะมึนแผ่ผ่านท้องฟ้า เหยี่ยวนกเขา ผู้หิวโหย กำลังโฉบมาอย่างรวดเร็ว! มันแผ่ปีกอันทรงพลัง บินโถมเข้าหานกมูลไถที่เพิ่งลงพื้นหาแมลง กรงเล็บยาวแหลมใกล้เข้ามาทุกที ทันใดนั้น...นกน้อยร้องขึ้นว่า“โอ๊ย! ฉิบหายแล้ว! ถ้าเราบินอยู่ในคันนานะ เจ้าคงไม่ได้แตะขนเราหรอก!”
เหยี่ยวหัวเราะเยาะ“ถิ่นเจ้าหรือ? แล้วถ้าไปอยู่ในที่เดิมจะรอดเรางั้นหรือ?”“ใช่! บนก้อนดินสูง ๆ แถวคันนา ที่พ่อข้าบินหนีเหยี่ยวได้ทุกครั้ง ข้ารู้ทางหลบซ่อนดี!”
เหยี่ยวจ้องมองด้วยความสนุก“งั้นก็ดี...ไปสิ ข้าจะตามไปจับเจ้าถึงที่!” เหยี่ยวปล่อยนกมูลไถลงพื้น ปีกมันยังเต็มพลัง ไม่มีความกลัวใด ๆ เลย แต่นกมูลไถพอได้อิสรภาพก็บินกลับถิ่นของตนอย่างรวดเร็ว ไปยังดินก้อนใหญ่ที่ตั้งอยู่บนคันนา แล้วส่งเสียงท้าทาย“มาเลย เจ้าเหยี่ยว! ถ้าแน่จริงก็มาจับข้าที่นี่!”
เหยี่ยวแผ่ปีกพุ่งตรงลงมาด้วยความเร็วสูง มันหมายจะปิดเกมในพริบตา แต่พอใกล้ถึง... ฟึ่บ!นกมูลไถหายวับเข้าไปในช่องเล็ก ๆ ระหว่างดินพอดีเหยี่ยวเบรกไม่ทัน! โครม!อกมันกระแทกกับก้อนดินเต็มแรง กระดูกหัก ตาถลน ตายคาที่!
นกมูลไถค่อย ๆ โผล่ออกมายืนบนอกเหยี่ยวใบหน้าเปื้อนฝุ่นของมันยิ้มอย่างภาคภูมิใจ“โชคดีที่เราไม่ใช่แค่นก แต่เรามีสติ รู้จักทางหนีทีไล่ในถิ่นของเราเอง!”
แล้วพระองค์ตรัสสรุปว่า“ในครั้งนั้น เหยี่ยวผู้หยิ่งยะโสคือตัว เทวทัต
ส่วนนกมูลไถผู้รู้เท่าทันและรอดพ้นภัยนั้น…คือ เราตถาคต เอง”